วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 417 เมื่อยามเหมันต์ใกล้เข้ามา
ระยะนี้หลัวเทียนเฉิงรู้สึกมิใคร่เบิกบานเท่าใดนัก เขาพลันพบว่าเวลาของเจี๋ยวเจี่ยวได้ถูกคนจำพวกหนึ่งยึดครองไปเสียแล้ว
แรกเริ่มก็เป็นบรรดาหมอที่มักจะมาขอพบด้วยสีหน้าตื่นเต้น ต่อมากลับเป็นพวกทหารที่หายจากอาการบาดเจ็บซึ่งคอยมาวนเวียนอยู่ใกล้ๆ หากในมือมิถือน้ำพริกเนื้อวัวมาก็เป็นไก่ย่างสองตัว เขาอยากจะไล่ไปเหลือเกิน แต่พวกเขามาเพื่อกล่าวขอบคุณ ทั้งอาหารที่นำมาก็อร่อยกว่าอาหารในกองทัพยิ่ง เขาจึงอดกลั้นเอาไว้
ทว่าเหยาเยี่ยกุยนั้นคืออันใดกัน
แรกเริ่มแค่เพียงส่งคนมาหา แต่ภายหลังหากมีเวลาก็จะมาด้วยตนเอง ทั้งยังเลือกมาตอนที่กินข้าวเสียด้วย!
นางรู้ตัวหรือไม่ว่าเพราะเจี๋ยวเจี่ยวเข้าใจผิดเรื่องระหว่างพวกเขาจนกระทั่งลงโทษเขาด้วยวิธี ‘มองได้แต่ห้ามกิน’ มาแล้ว
ไม่ได้เด็ดขาด หากเจี๋ยวเจี่ยวเกิดเข้าใจไปว่าเหยาเยี่ยกุยหวังจะใช้โอกาสนี้เพื่อมาพบเขา มิได้มาเพื่อกินข้าวจริงๆ เขาคงแย่แน่
แม้จะรู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่หลัวเทียนเฉิงก็คิดว่าเขาควรต้องแสดงจุดยืนของตนออกมาอย่างชัดเจนที่สุด
เขาเป็นของเจี๋ยวเจี่ยว สตรีอื่นหรือแม้แต่สหายร่วมรบที่เป็นสตรี เขาล้วนมิอาจเข้าใกล้ได้
“แม่ทัพหลัว ท่าน…” ตอนที่เหยาเยี่ยกุยมาถึง เจินเมี่ยวกำลังคอยดูไป๋เสาและคนอื่นๆ ทำอาหารอยู่ในห้องครัว หลัวเทียนเฉิงจึงลอบเรียกนางไปยังสถานที่ลับตาคน
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกประหม่ายิ่ง เขาลูบจมูกตนก่อนเอ่ยว่า “แม่ทัพเหยา ที่ข้าเรียกเจ้ามาเพราะมีเรื่องอยากจะพูด…”
เหยาเยี่ยกุยดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
หลัวเทียนเฉิงเห็นแล้วก็ใจหายวาบ จากท่าทีของเหยาเยี่ยกุยแล้ว หรือนางอาจจะมีความรู้สึกฉันหนุ่มสาวกับตนจริงๆ เขาจึงมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้นมา
แต่กลับได้ยินเหยาเยี่ยกุยเอ่ยว่า “ข้าก็มีเรื่องที่จะพูดกับแม่ทัพหลัวเช่นกัน”
“ไม่ทราบว่าแม่ทัพเหยามีเรื่องอันใดหรือ” หลัวเทียนเฉิงยอมถอยให้นางครึ่งก้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เหยาเหยี่ยกุ้ยถอนหายใจออกมา “อากาศเริ่มร้อนแล้ว ถึงเวลาที่ต้องให้ทหารชิงเป่ยที่คอยโจมตีหมู่บ้านต่างๆ นั้นหายไปเสียที แม่ทัพหลัวคิดว่าจะออกเดินทางไปเมื่อใดหรือ”
“แม่ทัพเหยาก็จะไปด้วยหรือ”
“ไม่ ข้ายังคงต้องคอยเฝ้าระวังอยู่ที่นี่ หากเสบียงที่เก็บไว้ในตอนนี้มีปัญหาขึ้นมาอีก ทหารที่อยู่ในเมืองคงลำบากแน่”
หลัวเทียนเฉิงอึ้งไป
เรื่องนี้ออกจะแปลกแปร่งอยู่บ้าง เหยาเยี่ยกุยแม้เป็นสตรีแต่กลับชอบนำทัพออกศึกยิ่ง นางมักจะคอยเสนอตัวออกไปรบเสมอ เมื่อใดกันที่เกิดถ่อมตนอยากจะคอยอยู่เฝ้าอารักขาเมืองเช่นนี้
“แค็กๆ แม่ทัพหลัววางใจได้ มีข้าอยู่ รับรองว่าจะมิให้เซี่ยนจู่ต้องเป็นอันตรายเด็ดขาด ข้าคิดว่าเมื่อท่านไปแล้วจะเชิญเซี่ยนจู่ไปพักที่เรือนข้าเสียเลย”
แม่ทัพหลัวนั้นเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่จริงๆ ตั้งแต่เขากลับมา ทุกครั้งที่นางส่งของไปให้ก็แทบจะมิเคยได้อะไรกลับไปอีกเลย จนนางต้องทำตัวเป็นคนหน้าหนามาขอกินข้าวด้วย แต่คนผู้นี้กลับกินดั่งเป็นถังข้าว นางกลัวว่าหากตนไปแย่งกินกับเขาแล้วจะทำให้จยาหมิงเซี่ยนจู่ตกใจ จึงได้แต่ฝืนทนแสร้งทำตัวสง่างาม
หากต้องกินไม่อิ่มเช่นนี้ทุกวันคงแย่แน่ ดังนั้นไล่แม่ทัพหลัวไปน่าจะดีที่สุด
“อืม เมื่อครู่แม่ทัพหลัวจะพูดเรื่องใดกับข้าหรือ”
หลัวเทียนเฉิง “…”
มิใช่บอกว่านางแอบมีใจให้เขาอยู่หรือ เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าโกหก!
เมื่อมองแววตาเฝ้ารอของเหยาเยี่ยกุย หลัวเทียนเฉิงก็สูดปากตนคราหนึ่ง ระฆังระวังภัยดังสนั่นขึ้นในใจเขา
ปัดโธ่เอ๊ย ที่แท้นางมาเพื่อแย่งภรรยากับเขาต่างหาก! เหตุใดคอยกันบุรุษแล้วยังต้องมากันสตรีอีก ไม่รู้จะป้องกันอย่างไรแล้ว!
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าสวรรค์กำลังทำร้ายเขาอยู่
ยามคิมหันต์ในชิงเป่ยค่อนข้างจะเย็นสบาย อากาศไม่ร้อนเท่าเมืองหลวง แต่ด้านการศึกกลับเริ่มตึงเครียดขึ้นมาอีกครา
จู่ๆ ก็มีกองทัพหนึ่งระบุว่าตนเป็นคนของรัชทายาทในรัชสมัยก่อนโผล่เข้ามาบุกแดนใต้หนานไหว อาหารเสบียงที่ชิงเป่ยก็ขาดแคลน กองทัพชิงเป่ยจึงอาศัยโอกาสนี้เข้ามาประชิดเมืองเฮยมู่
เพราะแรกเริ่มนั้นแม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรเสียท่าไปก่อน ทำให้จำนวนทหารของต้าโจวเหลือไม่มากนัก ทั้งกองทัพชิงเป่ยยังเป็นคนในพื้นที่รู้ภูมิศาสตร์อย่างดีจึงได้เปรียบในการรบครั้งนี้ กระทั่งหลัวเทียนเฉิงมาถึง สถานการณ์จึงพลิกฟื้นคืนมาได้
แต่ในสภาพที่กำลังทหารน้อยเสบียงขาดแคลน ทหารชิงเป่ยจึงยิ่งได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด
เพราะเหตุนี้เองการรบของทุกสองฝ่ายจึงยิ่งดุเดือดขึ้นทุกขณะ
เวลาเปลี่ยนผลัดหมุนไปท่ามกลางกลิ่นคาวของพิรุณโลหิตกระทั่งถึงสารทฤดู อากาศเริ่มหนาวขึ้นมาแล้ว
หลัวเทียนเฉิงกับแม่ทัพทั้งหลายต่างก็ประชุมหารือเรื่องการรบด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง ทั้งวันทั้งคืนแทบมิได้พักผ่อน กระทั่งทราบข่าวว่ากองทัพของรัชทายาทพระองค์ก่อนถูกกำจัดไปจนสิ้นแล้ว ทหารกองหนุนก็จะตามมาสมทบที่ชิงเป่ยในอีกไม่กี่วันนี้ ทุกคนจึงเริ่มคลายใจลงมาได้บ้าง
คล้ายว่ากองทัพชิงเป่ยเองก็ทราบข่าวนี้เช่นกัน จึงรุกโจมตีอย่างหนักก่อนที่กองทัพเสริมกำลังของต้าโจวจะมาจนสามารถพลิกสถานการณ์ขึ้นมาได้อีก พวกมันล้อมเมืองเฮยมู่ไว้แต่กลับบุกเข้าโจมตีเมืองเป่ยปิงในยามราตรี โชคดีที่หลัวเทียนเฉิงได้เตรียมการเอาไว้แล้ว จึงทำให้กองทัพชิงเป่ยถูกโจมตีอย่างหนักจนถอยร่นไปถึงร้อยลี้
เมื่อสาส์นรายงานไปถึงเมืองหลวง เจาเฟิงตี้ก็พอใจยิ่ง คนทั้งเมืองต่างดีใจกันใหญ่ แต่กลับมีคนจำนวนหนึ่งที่มิได้ดีใจอันใดตามไปด้วย
ภายในห้องลับที่มิได้จุดตะเกียงใดไว้เลย คนผู้หนึ่งเอ่ยถามขึ้นว่า “ชนะอีกแล้วหรือ คิดไม่ถึงว่าหลัวเทียนเฉิงจะมีความสามารถในการรบถึงเพียงนี้ ทั้งยังทำให้กองทัพชิงเป่ยถอยร่นไปได้อีก หากกองทัพเสริมกำลังเพิ่มเข้าไปอีก เช่นนั้นกองทัพชิงเป่ยมิสูญสลายเป็นควันไปเลยหรือ”
“นายท่าน คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าความสามารถของรัชทายาทพระองค์นั้นจะอ่อนด้อยเพียงนี้ ยังรบกันไปไม่ถึงยามเหมันต์ด้วยซ้ำก็แพ้ราบคาบเสียแล้ว”
คนที่อยู่ในความมืดแค่นยิ้มเย็น “รัชทายาทพระองค์ก่อนหลบซ่อนตัวมานับสิบปี ยามนี้เปิดเผยตนแล้ว อย่างมากก็แค่สร้างความวุ่นวายให้ต้าโจวได้พักหนึ่งเท่านั้น คิดว่าจะฝากความหวังไว้ที่พวกเขาได้จริงๆ หรือ”
“แต่นายท่าน หากกองทัพชิงเป่ยแตก คิดว่าเรื่องบางเรื่องที่เราจะทำคงมิง่ายแล้ว”
คนในความมืดถอนใจยาว “ใช่ หากกวนน้ำให้ขุ่นได้เท่าใดเราก็ได้ผลประโยชน์มากเท่านั้น ทางด้านกรมพระคลังเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
“ขอนายท่านโปรดวางใจ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วขอรับ”
“เรียบร้อยแล้ว? ดี เช่นนี้ต่อให้กองหนุนไปเสริมทัพทันแต่กองทัพชิงเป่ยยืนหยัดไปจนถึงยามเหมันต์ได้ เราก็แค่นั่งรอเป็นประมงเก็บปลาเท่านั้น”
ที่เมืองเฮยมู่ก็มีการประชุมลับเช่นเดียวกัน
“ท่านแม่ทัพ หากแม่ทัพหลัวยังคงทำเช่นนี้ต่อไป เราคงไม่มีที่ยืนแล้วจริงๆ!”
เจี่ยงต้าหย่ง แม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรมีสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น แล้วเอ่ยเสียงเย็นว่า “จะมีที่ยืนหรือไม่นั้นเป็นเรื่องของอนาคต ตอนนี้การกำจัดกองทัพชิงเป่ยนั้นสำคัญที่สุด!”
เสือสองตัวย่อมอยู่ถ้ำเดียวกันมิได้ เขาย่อมไม่ชอบใจหลัวเทียนเฉิงแน่นอน กระทั่งถึงจุดที่เป็นกังวลด้วยซ้ำ แต่อย่างไรเขาก็เป็นแม่ทัพมานานหลายปี ประโยชน์ของบ้านเมืองย่อมมาก่อนเสมอ เรื่องแพ้ชนะส่วนตัวต้องเก็บไว้ด้านหลังชั่วคราว ทุกอย่างต้องรอให้ชนะการรบแล้วค่อยว่ากัน
“แต่ท่านแม่ทัพ หากรอให้กองทัพชิงเป่ยแพ้ ผู้ที่จะได้รับคำชมและปูนบำเหน็จย่อมต้องเป็นหลัวเทียนเฉิงอยู่แล้ว เกรงว่าพวกเราคงมิได้กินแม้แต่น้ำแกงสักถ้วยด้วยซ้ำ” คนอีกผู้หนึ่งเอ่ยขึ้น
“พอแล้ว!” เจี่ยงต้าหย่งตบโต๊ะคราหนึ่ง “วาจาเช่นนี้ข้าไม่อยากได้ยินอีก หากอยากจะกินเนื้อซดน้ำแกงก็จงแสดงฝีมือตนออกมา อย่าปล่อยให้เกียรติยศใดตกไปอยู่ในมือคนสกุลหลัวเสียหมด!”
คนผู้นั้นจึงไม่พูดอันใดอีก
เมื่อเห็นเจี่ยงต้าหย่งออกไป คนทั้งสองในห้องลับก็สบตากันแล้วพยักหน้าให้กันช้าๆ
ครั้นคนทั้งสองพบหน้ากันอีกครั้ง หนึ่งในนั้นก็เอ่ยว่า “ดูท่าแม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรคงแก่เกินไปแล้วจริงๆ”
“ใช่ คนเราเมื่ออายุมากขึ้นก็มักจะเลอะเลือนเสมอ มิเช่นนั้นจะอยู่สู้รบที่แดนตะวันออกหลายปีเพียงนั้นหรือ”
ทั้งสองสบตากันแล้วหัวเราะออกมา
ตงหลิงแดนตะวันออกมักมีเรื่องวุ่นวายอยู่ไม่จบไม่สิ้น ด้านหนึ่งเพราะเป็นมหาสมุทร เมื่อมีโจรสลัดก็ยากจะต่อกรกับมันได้ ส่วนอีกด้านเพราะพวกเขาคอยลอบก่อเหตุสร้างความวุ่นวายอย่างไรเล่า
ควรทราบว่าการเป็นทหารนั้น จะต้องมีศึกให้รบจึงจะมีข้าวปลาให้กินสมบูรณ์และมีคนเคารพนับถือ หากแผ่นดินสงบสุข พวกเขาก็ไร้ประโยชน์ คงได้แต่ถูกพวกขุนนางฝ่ายบุ๋นเหยียบหัวให้ต่ำลงดั่งเป็นเพียงหลานพวกเขามิปาน
พวกเขาจะยอมพบจุดจบเช่นนั้นได้อย่างไรทั้งที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจแทบตาย
จากการสื่อสารอันไร้สุ้มเสียงนี้ หนึ่งในนั้นก็เอ่ยทำลายความเงียบออกมาในที่สุดว่า “ไม่กี่วันก่อน มีคนมาหาข้า…”
คนทั้งสองขยับเข้าหากัน ปล่อยให้น้ำชาเย็นชืดไปโดยไม่ได้ดื่มสักคำ เมื่อปรึกษากันอยู่นานก็แยกย้ายกันไป
ดูเหมือนว่าเพิ่งถึงเดือนสิบเท่านั้น แต่อากาศกลับหนาวยิ่ง แม้กองกำลังเสริมและเสบียงมาถึงแล้วแต่ของใช้ทุกอย่างกลับมิได้มีครบครัน โดยเฉพาะเสื้อนวมปุยฝ้ายและรองเท้าหนาอุ่นสำหรับทหาร
“ต้องสู้รบกับกองทัพของรัชทายาทองค์ก่อน ทั้งยังเกิดอุทกภัยที่ทางใต้อีก ทำให้คลังหลวงว่างเปล่า สิ่งของจำเป็นที่เหลือทางการกำลังรวบรวมอย่างด่วนที่สุด แต่คงมาถึงช้าสักหน่อย” คนที่ขนส่งเสบียงมาบอกเช่นนี้
แม้หลัวเทียนเฉิงและคนอื่นๆ ได้ยินแล้วจะโมโหแต่ก็ทำอันใดมิได้ ทว่าการรบครั้งนี้มิอาจปล่อยให้ยืดเยื้อ
เสื้อนวมที่ส่งมาเมื่อปีที่แล้ว ส่วนมากทหารก็ใส่จนขาดพรุนไปเกือบหมด ยามนี้ต้องหาวิธีป้องกันความหนาว เพราะหากสู้รบไปเช่นนี้ต้องพ่ายแพ้เป็นแน่แท้
“เช่นนั้นเราก็พักรบกันสักระยะเถิด” เจี่ยงต้าหย่งเห็นหลัวเทียนเฉิงและคนอื่นๆ มิเอ่ยคัดค้าน จึงเอ่ยเช่นนี้ออกไป
กองทัพชิงเป่ยได้รับความเสียหาย ต้าโจวก็ขาดเครื่องนุ่งห่ม ทุกคนจึงได้ใช้ชีวิตอย่างปกติสุขอยู่ชั่วระยะหนึ่งอย่างยากจะเกิดขึ้นได้ แต่เมื่อเห็นหนาวสั่นไปทั้งกาย เจินเมี่ยวก็รู้สึกหนักอึ้งในใจขึ้นมา
“ไม่รู้ว่าเมื่อใดเสื้อผ้าจะมาถึง หากลากยาวไปถึงเดือนสิบเอ็ดเกรงว่าเหล่าทหารคงมิอาจทนไหว” เจินเมี่ยวเปิด**บผ้าแล้วหยิบเอาผ้าขนสัตว์ที่นำมาจากเมืองหลวงขึ้นมาวัดขนาด เตรียมตัดเสื้อให้หลัวเทียนเฉิง
หลัวเทียนเฉิงหน้าขรึมขึ้นมา “ข้าส่งคนไปสืบข่าวแล้ว น่ากลัวว่าจะมีคนก่อเรื่องขึ้นมากกว่า”
หุบเขาสูงใหญ่ห่างไกลจักรพรรติ และเพราะมันไกลเกินไป แม้ยามอยู่เมืองหลวงจะเตรียมพร้อมไว้ครบครันเช่นไร แต่เมื่อมาถึงที่นี่ก็ไม่มีผู้ใดคอยควบคุมแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลานี้ในชาติก่อนเลย ตอนนั้นลี่อ๋องยังมิได้ก่อกบฏ การศึกครั้งนี้ได้เกิดขึ้นก่อนกำหนดถึงสามปี เขาจึงมิอาจคาดเดาเรื่องราวใดได้เลย
“ซื่อจื่อ ข้ามีวิธี” เจินเมี่ยววางสายวัดลง
“เจ้าลองพูดมาที” หลัวเทียนเฉิงยื่นมือไปลูบเส้นผมเจินเมี่ยว แววตาอ่อนโยนยิ่ง
“ราษฎรของชิงเป่ยกล้าหาญ ส่วนมากล่าสัตว์เพื่อยังชีพ เป็นแหล่งที่มีหนังสัตว์และขนสัตว์ ในเมื่อยามนี้อยู่ในช่วงพักรบ เหตุใดจึงมิส่งคนออกไปซื้อขนสัตว์เพื่อนำมาทำเป็นเสื้อกล้ามขนสัตว์ แม้จะแก้ปัญหามิได้ทั้งหมดแต่ก็ดีกว่าไม่มีอันใดเลย”
แววตาหลัวเทียนเฉิงสว่างวาบขึ้น “เป็นความคิดที่ดี อย่างน้อยทหารระดับรองหัวหน้าไปจนถึงแม่ทัพยังได้แบ่งกันใส่สักตัว เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าช่างรอบคอบนัก”
เสื้อกล้ามขนสัตว์นี้มิใช่ของของกองทัพ แม้บอกว่า ‘แบ่ง’ แต่ก็ต้องจ่ายเงิน ทว่าในเวลาเช่นนี้คงไม่มีผู้ใดตระหนี่เงินทองแล้ว
เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “ท่านอย่าชมเลย ข้าไม่รู้เรื่องการนำทัพออกรบอันใด คงทำได้เพียงออกความเห็นในเรื่องพวกนี้เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระท่านเท่านั้น”
หลัวเทียนเฉิงส่งคนออกไปซื้อขนสัตว์ในทันที ไม่ว่าจะเป็นร้านขายขนสัตว์หรือชาวบ้านทั่วไป เขาไม่ปล่อยไว้แม้สักที่ ไม่นานนักก็ซื้อมาได้ไม่น้อยเลย
เจินเมี่ยวเป็นผู้นำสตรีทั้งหลายในเมือง คอยช่วยกันทำเสื้อกล้ามขนสัตว์ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ