วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 418 เสื้อนวม
เดิมยังมีคนแนะนำให้ทำทั้งเสื้อและกางเกงขายให้แก่ทหารระดับรองหัวหน้าขึ้นไป แต่เสื้อนวมกลับมาถึงเร็วกว่าที่คิด ทว่าหลัวเทียนเฉิงยังคงให้ทำเสื้อกล้ามขนสัตว์ต่อไป เพราะหากมีเสื้อกล้ามเหลือ ทหารทั่วไปก็ยังพอจะเอาเบี้ยหวัดของตนมาซื้อไว้ใส่ได้
เขาได้คิดถึงเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้วด้วยซ้ำ หากเสื้อนวมถึงช้าไปวันหนึ่งก็มีเสื้อกล้ามให้ใส่เพิ่มขึ้นอีกตัว คนที่หนาวตายก็จะน้อยลงอีกหนึ่ง
“แม่ทัพเหยา ท่านมาได้อย่างไร” เจินเมี่ยววางเสื้อขนสัตว์ขนหน้าบนตักตนไว้ด้านข้างแล้วลุกขึ้น
นางมีจมูกรับกลิ่นอันว่องไว การต้องมาหมกตัวอยู่กับขนสัตว์กองพะเนินนี้ทำให้นางเวียนหัวจนแทบจะอาเจียนออกมาแล้ว
เหยาเยี่ยกุยเห็นใบหน้าเหยเกของนางก็เกิดสงสัยขึ้นมา ปกติแล้วผู้ที่เป็นเจ้านายก็มักทำทีทำท่าให้น่าดูก็พอมิใช่หรือ
แต่เพราะเหตุนี้เอง สายตาที่เหยาเยี่ยกุยมองเจินเมี่ยวจึงยิ่งเป็นมิตรมากขึ้น นางยื่นมือไปดึงนางออกมา “บอกแล้วอย่างไรว่าเรียกข้าว่าเยี่ยกุยก็พอ ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าท่านจะทุ่มเทเพียงนี้”
“อย่างไรก็อยู่ว่างๆ พวกท่านคอยออกรบหลั่งเลือดอยู่ด้านหน้า พวกข้าแค่ออกแรงนิดหน่อยเท่านั้น” เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างมิเห็นเป็นเรื่องใหญ่ อากาศอันเย็นสบายนี้ทำให้นางสดชื่นขึ้นมา
“เยี่ยกุย ท่านมาที่นี่มีเรื่องใดหรือ” นางยังจำได้ดีว่าคราแรกนางยังคิดจะให้เหยาเยี่ยกุยมาช่วยด้วย จะได้เป็นแบบอย่างให้กับสตรีทั้งหลายในเมือง คิดไม่ถึงว่าจะทำให้เหยาเยี่ยกุยตกใจจนลนลานหนีตายแทบไม่ทัน ทั้งยังเอ่ยออกมาตามตรงว่าหากให้นางไปเย็บปักถักร้อยก็มิสู้เอาชีวิตนางเสียดีกว่า
เหยาเยี่ยกุยคล้ายปกปิดสิ่งใด นางมองซ้ายแลขวา เมื่อเห็นว่าไม่มีคนสนใจก็ล้วงเอาของบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อ
ของสิ่งนั้นมีลักษณะเป็นก้อนกลม มันถูกห่อไว้ด้วยผ้าฝ่ายเนื้อละเอียดสีฟ้าอ่อนอย่างแน่นหนาจึงดูไม่ออกว่าคืออันใด
“มันคืออะไรหรือ” เจินเมี่ยวถาม
เหยาเยี่ยกุยเผยรอยยิ้มสดใสออกมา “ท่านเปิดออกดูเองเถิด”
เจินเมี่ยวรับมา เมื่อความเย็นสัมผัสกับมือ นางก็ยิ่งแปลกใจ เมื่อเปิดออกดู ความงุนงงก็ปรากฏขึ้นในแววตานาง “มันแข็งมากเลย…”
ความยินดีระคนแปลกใจพาดผ่านใบหน้านางไป น้ำเสียงแฝงด้วยความสงสัยอยู่หลายส่วน “หรือจะเป็นสาลี่”
เหยาเยี่ยกุยยิ้ม “ใช่แล้ว มันคือสาลี่แช่แข็ง ท่านไม่เคยเห็นกระมัง”
“ไม่เคยเห็นจริงๆ” เจินเมี่ยวพิจารณาสาลี่สีนิลนั้นแล้วก็กลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
ชิงเป่ยนั้นเป็นพื้นที่แสนเหน็บหนาว ผักผลไม้จึงน้อยยิ่ง ยามคิมหันต์และสารทฤดูค่อนข้างดีหน่อย แต่ยามอื่นๆ นั้นแทบไม่มีอันใดเลย หลังจากเกิดเหตุสงครามขึ้นยิ่งหาซื้อยากไปเสียทุกสิ่งแม้มีเงินก็ตาม
นางมิได้กินผลไม้มาหลายเดือนแล้ว
“เอามาจากที่ใดหรือ”
“บังเอิญได้มาไม่มาก จึงเอามาให้ท่านชิมดูสักหน่อย”
ครั้นเห็นเจินเมี่ยวยกสาลี่ขึ้นจะกัดกินก็รีบห้ามไว้ “อย่าเพิ่ง ต้องรอให้มันละลายเสียก่อนค่อยกิน ท่านเก็บไว้ก่อนครู่หนึ่ง ข้ามีธุระต้องขอตัวไปก่อนแล้ว”
“อืม ขอบคุณท่านมาก เยี่ยกุย”
“ขอบคุณอันใดกัน ช่วงที่พักรบอยู่นี้ท่านเองก็เหนื่อยมากเช่นกัน”
เมื่อเห็นเหยาเยี่ยกุยไปแล้ว เจินเมี่ยวก็อดยิ้มออกมามิได้ นางเอาสาลี่แช่แข็งอันหายากนี้ห่อด้วยผ้าอีกชั้นแล้วยัดใส่ไว้ในแขนเสื้อ
หลังจากเจินเมี่ยวกลับมาและนั่งอยู่เพียงครู่เดียวก็มีคนมารายงานนางว่า “เซี่ยนจู่ แม่ทัพหลัวมา กำลังรอท่านอยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ”
นางวางเข็มลงแล้วออกไปทันที เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิงยืนรออยู่หน้าประตูก็อดยิ้มออกมามิได้ “ท่านก็มาที่นี่เช่นกันหรือ”
ที่แห่งนี้เป็นสถานที่ที่มีไว้สำหรับให้เหล่าสตรีเย็บเสื้อกล้ามขนสัตว์ จึงน้อยนักจะมีบุรุษย่างกรายเข้ามา
อย่าได้เข้าใจผิดไป ทหารหนุ่มเลือดพล่านมากมายเพียงนี้ แม้เห็นแมลงวันตัวเมียก็ยังอยากจะเข้าไปหา ยิ่งมิต้องพูดถึงสตรีเลย แรกเริ่มนั้นมีทหารหนุ่มใจกล้าหลายคนคอยมาวนเวียนอยู่ด้านหน้าไม่น้อย แต่ภายหลังถูกเหยาเยี่ยกุยที่มาหาเจินเมี่ยวเตะเสียจนสลบไปอยู่หลายคน จึงไม่มีใครกล้ามาอีก
ดังนั้นเจินเมี่ยวจึงเอ่ยเย้าเขาว่า “ไม่กลัวเยี่ยกุยเตะเอาหรือ”
“เยี่ยกุย? เมื่อใดกันที่เจ้าเรียกแต่ชื่อของนาง” หลัวเทียนเฉิงหน้าบึ้งขึ้นมา
“เอาละ มีเรื่องอันใดอันแน่ ท่านจะยืนอยู่ตรงนี้นานเกินไปมิได้ มันไม่เหมาะสม”
“ก็เอาของมาให้เจ้าอย่างไรเล่า” หลัวเทียนเฉิงค่อยๆ ล้วงเอาของบางอย่างออกมาจากอกเสื้อ
ผ้าเช็ดหน้าสีขาวที่มุมขวาด้านล่างปักลายกอไผ่ถูกใช้ห่อของสิ่งหนึ่งที่ดูแข็งยิ่งไว้
เจินเมี่ยวรู้สึกคุ้นตาอยู่ไม่น้อย
“มันคือ…” นางยื่นมือไปเปิดออก เมื่อเห็นสาลี่แช่แข็งสีนิลลูกหนึ่งก็อดอึ้งไปไม่ได้
หลัวเทียนเฉิงยิ้มพลางเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าทายสิว่ามันคือสิ่งใด”
“สาลี่แช่แข็ง”
“หืม?” หลัวเทียนเฉิงอึ้งไปแล้วอดถามมิได้ว่า “เจ้ารู้จักสิ่งนี้ได้อย่างไร”
ตอนที่เขาเห็นครั้งแรกยังพิจารณาอยู่นานถึงดูออก
“เมื่อครู่เยี่ยกุยเอามาข้าลูกหนึ่งแล้ว” เจินเมี่ยวล้วงเอาสาลี่แช่แข็งลูกนั้นออกมาแล้วยื่นให้หลัวเทียนเฉิงดูด้วยรอยยิ้มตาหยี
หลัวเทียนเฉิงรู้สึกย่ำแย่ไปทั้งร่าง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกัดฟันถามว่า “นางยังพูดอันใดอีก”
“อืม นางบอกว่าต้องรอให้มันละลายก่อนค่อยกินเพราะกลัวว่าท้องข้าจะรับไม่ไหว”
หลัวเทียนเฉิงหน้าด้ำคล้ำอย่างที่สุด เขายืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่พูดจา
“ซื่อจื่อ เหตุใดจึงเงียบเล่า”
หลัวเทียนเฉิงกำหมัดแน่น
วาจาเขาถูกคนที่มาขุดใต้กำแพงเรือนผู้นั้นพูดไปหมดแล้ว เขายังมีอันใดให้พูดอีก
เขาไม่รู้จะใช้ชีวิตต่อไปเช่นไรแล้ว!
พริบตาก็ผ่านไปสิบกว่าวัน เสื้อกล้ามขนสัตว์ที่ทำติดต่อกันมาหลายวันได้ถูกแบ่งไปหมดแล้ว แต่ยังมีขนสัตว์อยู่อีกจำนวนหนึ่งที่ยังมิได้เย็บ เสื้อนวมและเสบียงของใช้ก็มาถึงเสียก่อน
คนทั้งเมืองต่างดีใจกันยิ่ง ต่อให้ทำเสื้อกล้ามเพิ่มอีก ทหารเหล่านั้นก็ไม่อยากซื้อแล้ว
ในเมื่อมีเสื้อนวมให้ใส่โดยไม่ต้องซื้อแล้วพวกเขาจะควักเงินตนซื้อเสื้อกล้ามตัวหนึ่งไปไย แน่นอนว่าการมีเสื้อกล้ามขนสัตว์ใส่เพิ่มอีกตัวก็ย่อมต้องอุ่นกว่า แต่พวกเขาหนังหนาเนื้อแน่น ปีที่แล้วใส่แค่เสื้อนวมก็ยังผ่านมาได้ เหตุใดต้องฟุ่มเฟือย มิสู้เก็บเงินไว้ให้ลูกกับภรรยาที่บ้านใช้จะดีกว่า
“ไม่ต้องทำต่อแล้วหรือ”
“อืม ในเมื่อจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ ทหารพวกนั้นย่อมไม่มีทางควักเงินซื้อแน่ เจ้าเองก็เหนื่อยมากแล้ว เลิกทำเถิด หนังและขนสัตว์พวกนี้ก็เก็บไว้ก่อน” หลัวเทียนเฉิงเอ่ย
“ยากนักที่จะเรียกสตรีทั้งหลายมารวมตัวกันได้ ข้าว่าทำให้เสร็จแล้วเก็บไว้จะดีกว่า เช่นนี้หากเหมันต์หน้าเกิดเหตุเช่นนี้ขึ้นอีกจะได้ไม่ฉุกละหุกอีก”
หลัวเทียนเฉิงเห็นแล้วเป็นห่วงยิ่ง “ข้าเห็นเจ้ากลับไปเรือนทีไรก็กินข้าวน้อยลงหนึ่งถ้วยทุกครั้ง”
เจินเมี่ยวยิ้ม “เพราะหนังสัตว์พวกนี้กลิ่นแรงยิ่ง ทำให้ข้าเวียนหัว แต่ระยะนี้จมูกข้าเริ่มชินชากับมันแล้วจึงต้องรีบทำให้เสร็จไปเสียทีเดียว ปีหน้าข้าจะได้มิต้องทรมานเช่นนี้อีกอย่างไรเล่า”
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้ารับอย่างจนใจ “เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้าเถิด อย่าหักโหมเกินไปก็พอ”
แรกเริ่มเขานั้นคัดค้านไม่ยอมให้นางลงมือทำเอง แต่เจินเมี่ยวบอกว่าในเมื่อนางมาที่ชิงเป่ยแล้ว ทั้งสงครามยังคงระอุ นางไม่อยากเป็นนกน้อยที่อยู่ในกรงทอง แต่อยากทำอันใดเพื่อเหล่าทหารบ้าง แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี
หลังจากที่เขาได้ยินเช่นนั้นก็ครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายก็มิไปห้ามปรามนางอีก
ด้วยเหตุนี้เสื้อกล้ามขนสัตว์ที่ยังทำไม่เสร็จจึงยังคงลงมือทำต่อไป ทว่าสงครามของกองทัพต้าโจวและกองทัพชิงเป่ยก็ได้เริ่มขึ้นอีกครั้งเช่นกัน
วันนั้นกองทัพต้าโจวกับกองทัพชิงเป่ยรบกันอยู่ที่หุบเขาปิงหลงซึ่งห่างจากเมืองเฮยมู่ไปร้อยลี้ หิมะห่าใหญ่โปรยปรายลงมาไม่ขาดสายเป็นครั้งแรก ทหารต้าโจวหนาวจนมือเท้าชาไปหมด กำลังก็ลดถอยลง มีคนมากมายที่ตายใต้คมดาบของศัตรู หลัวเทียนเฉิงนำทหารของต้าโจวกลับมาด้วยสภาพอเนจอนาถ
เกล็ดน้ำแข็งเกาะเต็มหน้าหลัวเทียนเฉิงไปหมด เขายืนถือดาบเปื้อนเลือดอยู่ค่อนคืน นิ่งงันดั่งคนไร้ชีวิต สุดท้ายเจินเมี่ยวต้องไปบังคับดึงเขาเข้ามาในห้อง
การรบครั้งต่อมากองทัพชิงเป่ยก็ชนะอีก เหยาเยี่ยกุยนำทัพออกไปรบก็บาดเจ็บสาหัสกลับมา กระทั่งเจี่ยงต้าหย่งส่งรองแม่ทัพหลี่อวี้และเซียวหู่ออกไปรบจึงสามารถชิงความได้เปรียบกลับมาได้
ทหารที่บาดเจ็บเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว บรรยากาศภายในเมืองตึงเครียดอย่างที่สุด
เจินเมี่ยวพาไป๋เสาและชิงไต้ออกไปช่วยท่านหมอทั้งหลายพันแผลเปลี่ยนยาให้กับทหารที่ได้รับบาดเจ็บโดยมิสนฐานันดรของตนสักนิด
ในห้องตำราของหลัวเทียนเฉิงมีแผนที่ภูมิศาสตร์อยู่แผ่นหนึ่ง เขาเรียกแม่ทัพและกุนซือรบทั้งหลายมาประชุมร่วมกันนานค่อนวันแล้ว
“การปะทะกันทั้งสามครั้งนั้นข้าได้ลองพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็มิเห็นว่าการรบครั้งที่สามจะมีอันใดที่แตกต่างจากสองครั้งก่อนหน้าเลย แต่ผลลัพธ์กลับตรงกันข้าม ครั้งแรกข้านำทัพ บาดเจ็บล้มตายกันมากที่สุด ครั้งที่สองแม่ทัพเหยา แม่ทัพหลี่เองก็มีฝีมือระดับทั่วไป” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเนิบนาบ
“ท่านแม่ทัพ วันที่ท่านนำทัพนั้นเกิดหิมะห่าใหญ่ อาจเพราะทหารของเรามิอาจทนต่อความหนาวได้จึงส่งผลต่อกำลังการรบ ข้าสอบถามมาแล้ว ทหารทั้งหลายต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าตอนนั้นหนาวเสียจนชาหนึบไปหมด แม้แต่ดาบยังกำแทบไม่ได้ ยิ่งมิต้องพูดถึงการออกรบเลย”
“ไม่ ข้าว่ามันต้องมีความผิดปกติบางอย่างเป็นแน่”
เวลานี้เองเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น “แม่ทัพหลัว จยาหมิงเซี่ยนจู่ขอพบขอรับ”
หลัวเทียนเฉิงอึ้งไป
บรรดาทหารต่างหันมามองเขาแล้วเอ่ยในใจว่า ยามนี้จยาหมิงเซี่ยนจู่ซึ่งเป็นเพียงสตรีจะมาด้วยเรื่องอันใดกัน
โชคดีที่การปฏิบัติหน้าที่ในระยะเวลาหลายวันมานี้ของเจินเมี่ยวทำให้นางได้รับความเคารพจากบรรดาแม่ทัพไม่น้อย จึงมิได้เกิดความรู้สึกไม่พอใจเมื่อนางทำเช่นนี้
“ให้เซี่ยนจู่เข้ามา”
ไม่นานเจินเมี่ยวก็พาไป๋เสาและชิงไต้เดินเข้ามา
“จยาหมิงมีเรื่องใดหรือ” หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปรับนาง
คนทั้งหลายต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ทั้งคิดในใจว่าแม่ทัพหลัวช่างเปลี่ยนหน้าได้รวดเร็วเกินไปแล้วกระมัง เมื่อครู่ยังเคร่งขรึมตึงเครียด แต่ยามนี้กลับสดใสขึ้นมาเสียแล้ว
เจินเมี่ยวกลับหน้าขาวซีด แม้แต่มือยังสั่นไม่หยุด นางหายใจเข้าลึกคราหนึ่งจึงเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ซื่อจื่อ”
“เกิดอันใดขึ้น ใจเย็นๆ มีเรื่องอันใดค่อยๆ พูดมาเถิด”
เจินเมี่ยวมิได้เอ่ยตอบแต่หันไปมองไป๋เสาคราหนึ่ง
ไป๋เสาถือห่อผ้าธรรมดาห่อหนึ่งเดินเข้ามา แล้ววางมันลงบนโต๊ะที่มีแผนที่วางอยู่โดยเกรงกลัวต่อสายตาของคนทั้งหลายแม้แต่น้อย
“แม่นางไป๋เสา…” แม่ทัพผู้หนึ่งขมวดคิ้วขึ้นแล้วเอ่ยเรียกอย่างไม่พอใจ
ไป๋เสากลับไม่สนใจ นางยื่นมือไปเปิดห่อผ้านั้นออก จึงเห็นเสื้อนวมตัวหนึ่ง
“เอ่อ…” คนทั้งหลายต่างงุนงงไปหมด
เจินเมี่ยวสงบอารมณ์ได้บ้างแล้วนางจึงเอ่ยว่า “ซื่อจื่อ ข้าพาพวกนางสองคนไปช่วยพันแผลให้ทหารที่บาดเจ็บ เมื่อเห็นว่าเสื้อนวมของทหารขาดพรุนไม่มีชิ้นดีจึงให้ชิงไต้พาพวกเขาไปรับเสื้อกล้ามขนสัตว์ที่เหลืออยู่มาใส่กันความหนาวและเก็บเอาเสื้อนวมรวบรวมไว้ เมื่อเรียกสตรีทั้งหลายมาช่วยกันเย็บซ่อมกลับพบว่า…”
นางเอ่ยถึงตรงนี้สีหน้าก็เย็นชายิ่ง น้ำเสียงแฝงไปด้วยโทสะอย่างยากจะปิดบัง “พบว่าในเสื้อนวมเหล่านั้นมีสิ่งนี้อยู่!”
คนทั้งหลายต่างขยับเข้ามาพิจารณามองเสื้อนวมตัวนั้น
“ไม่เห็นมีอันใดผิดปกติเลย” คนผู้หนึ่งพึมพำขึ้น
แต่บางคนที่รอบคอบสักหน่อยถึงกับหน้าเปลี่ยนสี เขายื่นมือมาหยิบบางอย่างจากตรงบริเวณที่ขาดปริของเสื้อนวมออกมา แล้วเอ่ยเสียงสั่นว่า “มันคือ…ดอกหลู[1]งั้นหรือ”
เสื้อนวมตัวนี้ดูเหมือนหนาอุ่น แต่มันกลับยัดปุยฝ้ายและดอกหลู ดอกหลูอยู่ด้านในที่สุดส่วนปุยฝ้ายอยู่ด้านนอกสุด หากมิได้ฉีกเสื้อนวมออกมาจนหมดเช่นนี้ก็ยากจะรู้ว่ามันซ่อนอยู่ด้านใน นับประสาอันใดกับรอยขาดรูพรุนทั่วไปเล่า
——
[1] ดอกหลู พันธุ์ไม้ชนิดหนึ่งประเภทต้นอ้อ ต้นกก