วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 419 ภายในมีหนอน ภายนอกมีศึก
การใส่เสื้อนวมเช่นนี้ในชิงเป่ยที่หนาวเสียดกระดูกเช่นนี้ คนไม่หนาวตายก็แปลกแล้ว หากยังใส่เสื้อนวมเช่นนี้ต่อไปแค่เพียงไม่นาน กองทัพชิงเป่ยมิจำเป็นต้องเปลืองแรงอันใดก็คงชนะศึกอย่างแน่นอน
“หนอนเน่าในเมืองหลวงพวกนั้นช่างไร้ความละอายสิ้นดี!” เซียวอู๋ซังกัดฟันอย่างแค้นเคือง
เซียวมั่วอวี่แค่นหัวเราะออกมา
สิ่งที่โสมมที่สุดในโลกนี้คือการปกครอง คำว่า ‘ไร้ความละอาย’ นั้นออกจะน้อยเกินไปสักหน่อย
บรรดาแม่ทัพทั้งหลายต่างมีโทสะ
หลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ตรงนั้น ทั้งที่เขาใส่เสื้อขนสัตว์ที่เจินเมี่ยวทำเองกับมือแต่ใจของเขากลับหนาวยะเยือกยิ่ง
การยัดดอกหลูใส่ในเสื้อนวมนั้นเป็นเพียงเพราะความโลภของขุนนางเท่านั้นหรือต้องการจะทำให้การรบครั้งนี้เกิดความเสียหายกันแน่
หากเป็นอย่างหลังก็คงต้องรีบจบการรบอันวุ่นวายนี้โดยเร็วที่สุด มิเช่นนั้นภายหน้าก็ยากจะควบคุมได้แล้ว
“จยาหมิง เจ้ากลับไปก่อนเถิด เรื่องนี้เราคงต้องหารือกันสักหน่อย”
เจินเมี่ยวมองหลัวเทียนเฉิง แล้วหันไปมองบรรดาแม่ทัพคราหนึ่ง
ด้วยความที่รู้ใจกันยิ่งหลัวเทียนเฉิงจึงเข้าใจทันที เขาเอ่ยว่า “ทุกคนล้วนเป็นคนที่ข้าเชื่อใจ จยาหมิง เจ้ามีเรื่องอันใดจะพูดใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้ก็พยักหน้ารับ แล้วหันไปเรียกชิงไต้คราหนึ่ง
เวลานี้เองพวกจึงเห็นว่าในมือของสาวใช้ที่ชื่อว่าชิงไต้ผู้สวมอาภรณ์สีเขียวนั้นมีห่อผ้าแบบเดียวกันอยู่
ชิงไต้เดินเข้ามาข้างหน้าแล้ววางห่อผ้าลงบนโต๊ะ เมื่อเปิดออกก็เห็นเสื้อนวมแบบเดียวกันอยู่ มองเช่นนี้ก็มิเห็นความแตกต่างอันใดเลย
คนทั้งหลายเริ่มสงสัยขึ้นมา
ต่อให้จยาหมิงเซี่ยนจู่พบเรื่องที่ทำให้คนตกใจ แต่ก็มิจำเป็นต้องนำมาถึงสองตัวกระมัง
หลัวเทียนเฉิงคล้ายคิดอันใดขึ้นมาได้ สีหน้าจึงย่ำแย่มากกว่าเดิมเสียอีก
เจินเมี่ยวเดินไปแล้วชี้ที่เสื้อนวมตัวนั้นพลางเอ่ยว่า “ข้ายังพบเรื่องน่าประหลาดอีกเรื่องหนึ่งด้วย”
“เรื่องใดหรือ” เซียวอู๋ซังขยับเข้ามาใกล้อย่างอดมิได้ เขามองเสื้อนวมตัวนั้นคราหนึ่งแล้วก็อุทานออกมาว่า “เสื้อนวมตัวนี้ยัดปุยฝ้ายทั้งตัวงั้นหรือ”
คนทั้งหลายต่างล้อมวงกันเข้ามาดู เมื่อพิจารณาอย่างละเอียดแล้วก็พยักหน้าตามๆ กัน
“ใช่ เสื้อนวมตัวนี้ไม่มีดอกหลูเลย”
“แปลกยิ่ง ในเมื่อหนอนเน่าพวกนั้นลงมือแล้ว แต่กลับทำเพียงครึ่งเดียว เหลือจิตใจอันดีงามไว้ครึ่งหนึ่งให้สุนัขกินหรือไร” เซียวอู๋ซังลูบคางตน
เซียวมั่วอวี่แสยะยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เกรงว่าคงมิได้อยากจะทำ แต่ทำมิได้ต่างหากเล่า!”
“แม่ทัพเซียวหมายความว่าอย่างไรหรือ”
เซียวมั่วอวี่ชี้ไปที่ดอกหลูซึ่งดึงออกมาจากเสื้อนวมตัวแรกแล้วยิ้มเยาะพลางเอ่ยว่า “ดอกหลูคงมิได้มีมากพอให้ใช้ได้!”
คนทั้งหลายพลันเข้าใจขึ้นมาทันที
“ใช่ ดูท่าเจ้าพวกสารเลวนั่นยังคงรู้สึกเสียดายไม่หายแน่ที่มิอาจยักยอกเงินทั้งหมดไปได้!”
“ข้าอยากจะกลับเมืองหลวงไปสับพวกสารเลวนั่นเป็นพันชิ้นจริงๆ”
“ข้าด้วย พี่น้องพวกเราทุ่มเทเต็มกำลังอยู่ที่นี่โดยไม่ได้หวังให้พวกเขามาช่วย แต่ก็มิอาจดึงขาเราไว้ให้ต้องตายกันหมด แม่ทัพหลัว การศึกครั้งนี้มิอาจรบต่อไปได้แล้ว พี่น้องของเราใส่เสื้อนวมเช่นนี้คงทนได้เพียงไม่กี่วันก็หนาวตายไปเสียก่อนแน่ แล้วจะสู้รบได้อย่างไร”
“จยาหมิง เจ้ายังพบอันใดอีกหรือ” หลัวเทียนเฉิงกลับเงยหน้าขึ้นถามเจินเมี่ยวด้วยท่าทีสุขุม
คนทั้งหลายได้ยินเช่นนั้นก็หันไปมองเจินเมี่ยวโดยไม่รู้ตัว
ความโกรธเกรี้ยวผุดขึ้นบนใบหน้าเจินเมี่ยวทันที นางเม้มปากก่อนเอ่ยว่า “แรกเริ่มข้าก็คิดเช่นนี้ คงเพราะเวลากระชั้นชิดจึงมิอาจยัดดอกหลูมากมายเพียงนั้นใส่เสื้อนวมทุกตัวได้ ทำให้มีทั้งเสื้อที่มีดอกหลูและเสื้อที่ไม่มีดอกหลู แต่เมื่อเก็บเสื้อนวมพวกนั้นมาซ่อมและซัก ข้ากลัวว่ามันจะสลับกันจึงคิดจะปักชื่อของทหารลงบนเสื้อ แต่กลับพบจุดแปลกๆ อย่างหนึ่ง”
คนทั้งหลายต่างให้ความสนใจ พวกเขาจ้องเจินเมี่ยวตาไม่กะพริบทีเดียว
“พวกท่านดู ที่คอเสื้อจะมีอักษรใหญ่ กลาง เล็กปักบอกขนาดไว้ใช้หรือไม่”
ทุกคนต่างพยักหน้า
ทหารแต่ละคนรูปร่างไม่เหมือนกัน ย่อมต้องมีขนาดปักไว้เป็นธรรมดา
“แต่ข้ากลับพบเรื่องที่น่าสนใจอย่างหนึ่ง ด้ายที่ใช้ปักบอกขนาด บ้างก็เป็นสีแดง บ้างเป็นสีเขียว เสื้อที่ปักด้ายสีเขียวจะยัดด้วยปุยฝ้ายผสมดอกหลู ส่วนที่ปักด้ายสีแดงเป็นปุยฝ้ายทั้งหมด” เจินเมี่ยวเอ่ยถึงตรงนี้แล้วหันไปมองหลัวเทียนเฉิง“ซื่อจื่อ สิ่งที่ข้าจะพูดก็มีเพียงเท่านี้ ข้าคงต้องขอตัวกลับก่อน ยังมีทหารบาดเจ็บรออยู่ทางนั้นอีกมาก”
นางพาไป๋เสาและชิงไต้จากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงเสื้อนวมสองตัวที่วางแผ่หลาอยู่ตรงนั้น
ภายในห้องเงียบกริบเช่นนั้นอยู่นาน สุดท้ายคนผู้หนึ่งจึงตบโต๊ะแล้วเอ่ยขึ้นว่า “มารดามันเถอะ คนที่ร่วมมือกับพวกฉ้อฉลในเมืองหลวงคือใครกัน!”
ที่เสื้อทั้งหมดมิได้ถูกยัดผสมดอกหลูอาจกล่าวได้ว่าคนที่เมืองหลวงมิได้กระเพาะใหญ่จนกินเรียบหมด แต่เสื้อทั้งสองแบบนี้กลับถูกทำสัญลักษณ์ไว้เรียบร้อยแล้ว เช่นนี้หมายความเช่นไรกันเล่า
นี่มิใช่เรื่องของคนละโมบโลภมาก แต่เป็นการฉวยโอกาสกำจัดคนเสียมากกว่า
“ง่ายมาก เซี่ยนจู่บอกแล้วมิใช่หรือว่าเมื่อรวบรวมเสื้อนวมไว้แล้วก็จะปักชื่อให้พวกเขา ขอเพียงเราทำรายชื่ออกมาแล้วดูว่าเสื้อนวมยัดดอกหลูพวกนั้นถูกส่งไปให้ใครบ้าง เรื่องก็กระจ่างภายในพริบตา แต่ต้องไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น ทุกท่านอย่าแสดงพิรุธอันใดออกไปเด็ดขาด”
อีกหนึ่งวันให้หลัง รายชื่อก็ได้มาวางอยู่ต่อหน้าคนทั้งหลายแล้ว
ทหารที่บาดเจ็บของแม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรไม่มีผู้ใดใส่เสื้อนวมยัดดอกหลูสักคน แต่ของหลัวเทียนเฉิงกลับตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิง ส่วนทหารที่แม่ทัพเหยานำทัพออกไปรบกลับมีเสื้อนวมปนอยู่ทั้งสองชนิด
เรื่องนี้กระจ่างแจ้งชัดยิ่ง แม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรได้ร่วมมือกับขุนนางในเมืองหลวงเพื่อใช้วิธีนี้ขัดขวางมิให้หลัวเทียนเฉิงได้รับความดีความชอบอีก
“ช่างไร้สำนึกอย่างที่สุด แม่ทัพหลัว เราควรทำอย่างไรต่อไปดี”
คนทั้งหลายต่างเริ่มรู้สึกหมดหวัง เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้วต่อให้ตรวจสอบจนรู้ความจริงและส่งข่าวกลับไปเมืองหลวงในทันที จนได้เสื้อนวมมาส่งถึงที่นี่อย่างราบรื่นก็ตาม แต่พวกเขาที่นี่คงหมดแรงกำลังไปเสียก่อนด้วยระยะเวลาไปกลับที่ยาวนานเช่นนั้น
หลัวเทียนเฉิงเม้มปากแล้วผุดลุกขึ้นทันที เสียงที่เอ่ยไม่มีความอบอุ่นอยู่เลยแม้สักนิด “ไม่ว่าอย่างไร ก็ต้องทำความสะอาดภายในก่อนค่อยว่ากัน!”
เขาไม่อยากถูกแทงข้างหลังในขณะที่กำลังทุ่มเทออกแรงสุดชีวิต
“ท่านแม่ทัพ แม่ทัพหลัวมีเรื่องจะหารือกับท่านขอรับ”
เจี่ยงต้าหย่งได้ยินแล้วก็เผยยิ้มภูมิใจออกมา “เชิญแม่ทัพหลัวเข้ามา”
เขาหันไปเอ่ยกับหลี่อวี้รองแม่ทัพว่า “รบแพ้แค่เพียงครั้ง แม่ทัพหลัวก็มีท่าทีดีขึ้นมากทีเดียว”
หลี่อวี้เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ก่อนหน้านี้เป็นเพียงความยโสแบบเด็กหนุ่มเพราะโชคดีรบชนะสองสามครา แต่ยามนี้คงรู้แล้วว่าผู้ใดเก่งกาจ เขาย่อมไม่กล้าวางอำนาจต่อหน้าท่านแม่ทัพอีกแน่ขอรับ”
เจี่ยงต้าหย่งหัวเราะชอบใจ แต่เมื่อคิดถึงสถานการณ์ตรงหน้าก็ต้องหุบยิ้ม แล้วเอ่ยอย่างหมดสนุกว่า “รู้แล้วอย่างไร ตอนนี้ฝ่ายของเราต่างหากที่บาดเจ็บล้มตายกันมาก”
“ท่านแม่ทัพวางใจเถิด ท่านอยู่ทั้งคนยังจะกลัวอันใดอีก”
เวลานี้เองหลัวเทียนเฉิงก็เดินเข้ามาพอดี
ไม่ว่าจะประสบการณ์หรือตำแหน่งเขาล้วนอยู่ใต้แม่ทัพกองพลพยัคฆ์มังกรทุกด้าน เมื่อพบหน้าจึงทำความเคารพแล้วเอ่ยว่า “แม่ทัพเจี่ยง”
เจี่ยงต้าหย่งกลับมามีสีหน้าเรียบเฉยเช่นเดิมแล้ว “แม่ทัพหลัวมาหาข้า มีเรื่องใดหรือ”
“ข้ามีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษาแม่ทัพเจี่ยงสักหน่อย” หลัวเทียนเฉิงพูดพลางชำเลืองมองหลี่อวี้คราหนึ่ง
เจี่ยงต้าหย่งจึงเอ่ยว่า “แม่ทัพหลัวมีเรื่องใดก็พูดมาเถิด ในห้องนี้ไม่มีคนนอก”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มบาง แล้วเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจังว่า “แม่ทัพเจี่ยง เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของกองทัพ เป็นแผนกำจัดศัตรูที่ข้าคิดขึ้นมา หากยังมิได้หารือกับท่านให้แน่ชัด ข้าก็มิอาจแพร่งพรายให้ผู้ใดรู้ได้”
เจี่ยงต้าหย่งครุ่นคิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “รองแม่ทัพหลี่ เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อน ประเดี๋ยวเราก็ออกมาแล้ว”
เขาลุกขึ้นแล้วผายมือให้หลัวเทียนเฉิง “แม่ทัพหลัว เชิญ”
ที่นี่เป็นอาณาเขตของเขา เขาไม่เชื่อว่าหลัวเทียนเฉิงจะกล้าทำบุ่มบ่าม
หลัวเทียนเฉิงเดินตามเจี่ยงต้าหย่งเข้าไปในห้องลับ
“แม่ทัพหลัวมีเรื่องอันใดกันแน่หรือ” เมื่อนั่งลง เจี่ยงต้าหย่งก็เอ่ยถามอย่างหงุดหงิดโดยมิได้ปิดบังอารมณ์อันแท้จริงของตนสักนิด
เขาทนกับเจ้าหนุ่มน้อยเหม็นโฉ่หยิ่งยโสผู้นี้มานานแล้ว
หลัวเทียนเฉิงนั่งลงตาม แล้วเอ่ยถามประโยคหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่า “เรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลู ท่านแม่ทัพคงทราบดีกระมัง”
“เสื้อนวมยัดดอกหลู หมายความว่าอย่างไร” เจี่ยงต้าหย่งรู้สึกงุนงงไม่น้อย
หลัวเทียนเฉิงพลิกมือขึ้นคราหนึ่ง มีดสั้นเล่มหนึ่งก็ปรากฏสู่สายตาทันที
เจี่ยงต้าหย่งเห็นเช่นนั้นก็ถอยหลังไปทันใด แต่น่าเสียดายที่ห้องลับออกจะแคบไปสักหน่อย เมื่อเกิดเรื่องไม่คาดฝันเช่นนี้ มิทันได้ตะโกนร้องก็ถูกมีดสั้นจ่อเข้าที่หัวใจเสียแล้ว
เขาคิดจะขัดขืน แต่กลับพบว่ามือที่กดบ่าเขาไว้นั้นมีแรงมหาศาลอย่างยิ่งจนเขามิอาจขยับตัวได้เลย
มาถึงยามนี้เขาจึงร้องขึ้นด้วยความตกใจว่า “หลัวเทียนเฉิง เจ้าปิดบังฝีมือที่แท้จริงเอาไว้หรอกหรือ!”
ใช่แล้ว ตั้งแต่หลัวเทียนเฉิงมาถึงชิงเป่ย เขาก็รบชนะมาตลอด เห็นชัดว่ามีฝีมือในการต่อสู้สูงส่งอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ในความคิดของตน หลัวเทียนเฉิงก็เป็นเพียงแม่ทัพอ่อนแอที่รู้จักจุดยุทธศาสตร์เป็นอย่างดีเท่านั้น
ผู้ใดจะคิดว่าคุณชายสูงศักดิ์ที่ได้รับการเลี้ยงดูมาอย่างดี ทั้งยังอายุแค่ยี่สิบต้นๆ นั้นจะมีพละกำลังอันน่ากลัวถึงเพียงนี้
มิน่าเล่าเขาถึงกินเก่งเหลือเกิน! เจี่ยงต้าหย่งคิดถึงตรงนี้ด้วยความแปลกใจ แล้วก็ต้องสะบัดศีรษะตนโดยแรงคราหนึ่ง คล้ายว่าการไปครุ่นคิดถึงเรื่องนั้นในยามนี้ออกจะไม่ค่อยถูกต้องนัก!
เวลานี้เขาจึงูกลับสู่ท่าทีลุ่มลึกอีกครา “แม่ทัพหลัวคิดจะทำอันใดหรือ ข้างนอกมีแต่คนของข้า ต่อให้เจ้าทำร้ายข้าได้ แต่คงออกไปจากที่นี่ไม่ได้แน่ อีกอย่าง เราสองคน ไม่ว่าใครคนใดคนหนึ่งบาดเจ็บหรือตายล้วนส่งผลกับกองทัพทั้งสิ้น เจ้าอยากให้ความผิดที่ทำต้าโจวแพ้ศึกตกใส่ศีรษะตนหรือไร”
หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็น “ความผิดที่ทำต้าโจวแพ้ศึกงั้นหรือ หากความผิดนี้ต้องเป็นของใครสักคนจริงๆ ข้าก็คงมิกล้าไปแย่งมันกับแม่ทัพเจี่ยงหรอก!”
“แม่ทัพหลัว เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่ ข้าไม่เข้าใจ”
หลัวเทียนเฉิงโยนรายชื่อแผ่นนั้นลงตรงหน้าเจี่ยงต้าหย่ง
“แม่ทัพเจี่ยงรู้หรือไม่ว่าเหตุใดเราถึงตายและบาดเจ็บกันมากในการออกรบสองครั้งแรก” หลัวเทียนเฉิงกดข่มโทสะเอาไว้ ทำให้เสียงที่เอ่ยแหลมสูงไปเล็กน้อย “เพราะทหารที่ยอมสละชีพเหล่านั้นใส่เสื้อนวมยัดดอกหลูอย่างไรเล่า!”
“เป็น…เป็นไปได้อย่างไร!”
“ใช่ เป็นไปได้อย่างไรกัน และที่ไม่น่าเชื่อที่สุดคือ เสื้อนวมยัดดอกหลูพวกนั้นมันเลือกคนใส่ด้วย มีแต่ทหารที่ร่วมรบกับข้าเท่านั้นที่ใส่มัน หากมิใช่ฮูหยินข้าสงสารจึงนำเสื้อนวมของทหารที่บาดเจ็บมาเย็บซ่อมให้พวกเขา ด้วยเกรงว่าพวกเขาจะหนาวตายไปเสียก่อน ข้าคงไม่มีวันรู้เรื่องนี้!”
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยวาจาเสียดแทง บีบคั้นคนจนทำให้เจี่ยงต้าหย่งโมโหจนอกแทบระเบิด หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราวคร่าวๆ แล้ว เขาก็เอ่ยอย่างแค้นเคืองว่า “แม่ทัพหลัว ไม่ว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่ แต่เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ข้าอยู่ในสนามรบมากว่าครึ่งชีวิต ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางเอาชีวิตของเหล่าทหารมาล้อเล่นแน่!”
หลัวเทียนเฉิงหลุบม่านตาลง แล้วค่อยๆ หยักยกมุมปากขึ้น
ไม่ผิดจากที่คิดเลย เขาคาดการณ์มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเจี่ยงต้าหย่งคงไม่รู้เรื่องนี้แน่ ดังนั้นเขาจึงค่อยๆ บีบให้เจี่ยงต้าหย่งโมโหจนถึงที่สุด เพื่อล่อให้ผู้ที่ร่วมมือกับพวกในเมืองหลวงออกมา หลังจากนั้นก็ฆ่ามันเสียแล้วผนึกกำลังกันต่อสู้กับข้าศึกต่อไป
มีแต่ต้องทำเช่นนี้เท่านั้นกองทัพต้าโจวจึงจะมีโอกาสรอด
มิเช่นนั้นหากเขาสังหารคนสนิทของเจี่ยงต้าหย่งโดยไม่ได้รับความเห็นชอบคงทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นในกองทัพแน่ และนั่นคงเป็นการแพ้อย่างราบคาบจนมิอาจพลิกฟื้นอันใดได้อีก