วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 420 ตั้งครรภ์
“แม่ทัพหลี่ แม่ทัพเจี่ยงเรียกให้ท่านเข้าไปหา”
หลี่อวี้ได้ยินก็ยืนขึ้น แล้วเดินตามหลัวเทียนเฉิงเข้าไปในห้องลับ
“ท่านแม่ทัพเรียกข้าหรือ…” เขาเอ่ยไปได้เพียงครึ่ง เมื่อเห็นมีดสั้นที่จ่ออยู่ที่คอตน หน้าก็เปลี่ยนสีไปทันที จึงเอ่ยเสียงดุดันว่า “คนสกุลหลัว ต่อหน้าท่านแม่ทัพเจ้ายังกล้าทำเช่นนี้อีกหรือ”
เจี่ยงต้าหย่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาว เขาเอ่ยอย่างกดข่มโทสะเอาไว้ว่า “หลี่อวี้ เสื้อนวมยัดดอกหลูคือเรื่องราวใดกัน”
หลี่อวี้ได้ฟัง สีหน้าก็ยิ่งย่ำแย่ลงไปกว่าเดิม ครู่หนึ่งจึงเอ่ยตะกุกตะกักขึ้นว่า “ท่านแม่…แม่ทัพ ท่านพูดอันใด ข้าไม่เข้าใจ…”
เจี่ยงต้าหย่งมองหลัวเทียนเฉิงแล้วเอ่ยว่า “เอาล่ะ แม่ทัพหลัว ข้าไม่มีอะไรจะถามแล้ว เจ้าฆ่าเขาได้เลย”
หลี่อวี้ถึงกับอึ้งไป
แม่ทัพเจี่ยง ท่านเห็นชีวิตคนไร้ค่าเช่นนี้จะดีหรือ
“เขาติดตามข้ามาสิบกว่าปี ข้าแค่เห็นสีหน้าเขาก็รู้แล้วว่าเขาทำ เอาล่ะ แม่ทัพหลัว ในเมื่อข้าตัดใจลงมือมิได้ ก็รบกวนเจ้าช่วยสังหารเขาแทนข้าทีเถิด”
หลัวเทียนเฉิงขยับมีดสั้นคราหนึ่ง
หลี่อวี้ตกใจจนวิญญาณแทบออกจากร่าง “แม่ทัพหลัว โปรดยั้งมือด้วย!”
เขาแทบจะคุกเข่าอยู่แล้ว
นี่มันเรื่องราวใดกัน ต่อให้ความแตกจริงก็ควรต้องไต่สวนก่อนว่ามีผู้ใดร่วมกระทำผิดด้วย กระทั่งสาวไปถึงตัวผู้อยู่เบื้องหลังในเมืองหลวงมิใช่หรือ
การลงมือสังหารเขาทันทีเลยคือเรื่องบ้าใดกัน มิจำเป็นต้องกระทำการผิดแปลกเช่นนี้ก็ได้
เมื่อมีดสั้นจ่ออยู่ที่คอ การข่มขู่ด้วยความตายทำให้หลี่อวี้ร้อนใจจนตาเหลือกแล้ว เขาจ้องหลัวเทียนเฉิงและเอ่ยถามอย่างร้อนรนว่า “แม่ทัพหลัว ท่านไม่อยากทราบหรือว่ายังมีผู้ใดร่วมมือด้วยอีกหรือไม่ เราได้รับคำสั่งจากใครกันแน่ หากท่านเอาชีวิตข้าไปเช่นนี้มิใช่มักง่ายไปหน่อยหรือ”
ทั้งที่เขาสามารถให้เบาะแสได้อีกมากแท้ๆ ความรู้สึกไม่มีค่าใดๆ เลยในสายตาของสองคนนี้ ช่างทำให้คนเสียใจเหลือเกิน!
หลัวเทียนเฉิงถอนหายใจออกมาแล้วหันไปถามเจี่ยงต้าหย่งว่า “แม่ทัพเจี่ยง คนสนิทท่านช่างพูดมากเสียจริง ข้าว่ารีบสังหารเขาให้ตายไปเถิด!”
เขาแค่ขยับมือ มีดสั้นนั้นก็กดลึกลงไปอีก
อาวุธเย็นเฉียบที่จ่ออยู่บนลำคอร้อนผ่าวทำให้ขาของหลี่อวี้อ่อนลงพร้อมทั้งเอ่ยเสียงแหลมขึ้นว่า “ข้ามิได้ทำคนเดียว ยังมีเซียวหู่ด้วย!”
“ดีมาก” เจี่ยงต้าหย่งลุกขึ้นเดินไปเตะหลี่อวี้คราหนึ่งแล้วด่าว่า “ละโมบโลภมาก รักตัวกลัวตายทั้งยังโง่เง่าอีก เจ้าทำให้ตาเฒ่าเช่นข้าขายหน้าจริงๆ!”
เดิมเขาไม่เชื่อว่าคนสนิทที่ติดตามตนมาหลายปีจะทำเรื่องเช่นนี้ได้ แต่สุดท้ายก็ยอมทำตามวิธีของหลัวเทียนเฉิงว่าให้ลองขู่หลี่อวี้ดู คิดไม่ถึงว่าจะลากเซียวหู่ที่เป็นคนสนิทอีกคนของเขาออกมาด้วย ความรู้สึกดั่งถูกคนตบหน้าจนบวมช้ำไปหมดไม่มีผิด
เมื่อจัดการหลี่อวี้และเซียวหูเรียบร้อยแล้ว เรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลูจึงมิอาจปิดบังได้อีกต่อไป ข่าวนี้จึงแพร่ไปทั่วกองทัพอย่างรวดเร็ว
ครั้นทหารเหล่านั้นทราบว่าเสื้อนวมที่ตนใส่นั้นยัดด้วยดอกหลูถึงได้หนาวจนมือเท้าช้าไปหมดก็มิอาจใจเย็นได้อีก ในระยะเวลาเพียงไม่กี่วันก็มีเรื่องวิวาทกับกองพลพยัคฆ์มังกรไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง
“ซื่อจื่อ ข้าไม่เข้าใจ การเปิดเผยเรื่องนี้ออกมายิ่งจะทำให้เหล่าทหารโกรธแค้น เรื่องราวจะมิยิ่งบานปลายไปกันใหญ่หรอกหรือ ข้ายังคิดว่าจะส่งคนไปเมืองทางใต้ของเป่ยปิงเพื่อกว้านซื้อขนสัตว์มาอีก แล้วเรียกสตรีทั้งหลายมาช่วยกันทำเสื้อกล้ามขนสั้นอีกจำนวนหนึ่ง”
หลัวเทียนเฉิงส่ายหน้า “นั่นช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าไม่มีเวลาแล้ว”
เจินเมี่ยวกะพริบตาด้วยความงุนงง
หลัวเทียนเฉิงยกถ้วยขึ้นมาดื่มชาร้อนไปอึกหนึ่งแล้วเอ่ยต่อว่า “เมื่อเรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลูแพร่ออกไป กองทัพชิงเป่ยก็ต้องทราบข่าวนี้แน่ นี่จึงเป็นโอกาสอันดีที่ยากจะหาได้ พวกเขามีหรือจะนั่งมองให้เราส่งคนออกไปกว้านซื้อขนสัตว์ได้ เกรงว่าระหว่างทางคงมีคนซุ่มโจมตีอยู่ไม่น้อย พบเห็นใครก็ฆ่าผู้นั้น”
“ดังนั้นจึงมิควรเปิดเผยเรื่องนี้ออกมาอย่างไรเล่า” เจินเมี่ยวยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ
หลัวเทียนเฉิงยิ้มออกมา “ไม่เปิดเผยแล้วกองทัพชิงเป่ยจะรู้ได้อย่างไรเล่า”
เจินเมี่ยวอดฟาดเขาคราหนึ่งมิได้ “ถ้ายังอมพะนำอยู่อีก ข้าจะไม่สนใจท่านแล้ว”
“เจี๋ยวเจี่ยว หากเจ้าเป็นกองทัพชิงเป่ย เมื่อรู้ว่าทหารส่วนใหญ่ในกองทัพข้าใส่เสื้อนวมยัดดอกหลู จะทำอย่างไร”
เจินเมี่ยวครุ่นคิดคราหนึ่งจึงตอบว่า “อากาศที่นี่หนาวขึ้นทุกวัน หากข้าเป็นกองทัพชิงเป่ย คงสั่งให้ทหารหยุดการเคลื่อนไหว แล้วรอไปอีกสักเดือนสองเดือน ทหารต้าโจวก็คงหนาวตายไปมากกว่าครึ่งโดยที่มิต้องออกแรงสู้รบกันเลย”
“ก็เพราะเหตุผลนี้อย่างไรเล่า ต้องให้กองทัพชิงเป่ยหยุดการเคลื่อนไหวเราจึงจะรอดพ้นจากความตายได้อีกครั้ง”
เจินเมี่ยวยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี หลัวเทียนเฉิงจึงหัวเราะพลางเอ่ยว่า “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงแผนการใหญ่อันเป็นความลับ ข้าพูดมากมิได้ เจี๋ยวเจี่ยว ข้าเตรียมคนไว้แล้ว พรุ่งนี้จะไปส่งเจ้ากลับเมืองเป่ยปิงพร้อมกับแม่ทัพเหยาและทหารที่บาดเจ็บ
เจินเมี่ยวหน้าเสียเล็กน้อย “ข้าไม่ไป”
นางเริ่มเข้าใจความหมายของหลัวเทียนเฉิงขึ้นมาบ้างแล้ว
ทหารต้าโจวส่วนใหญ่ในตอนนี้ไม่มีเสื้อผ้าป้องกันความหนาว ย่อมไม่มีแรงมากพอจะไปรบ หากต้องสู้กันจริงๆ คงไม่ต่างอันใดกับการส่งคนไปตาย กองทัพชิงเป่ยคิดว่าหากยืดเวลาออกไปก็จะชนะโดยมิต้องสู้รบ และในเวลาอันสั้นนี้เองจึงกลายเป็นโอกาสรอดเพียงหนึ่งเดียวของกองทัพต้าโจว
เพียงแต่โอกาสรอดอยู่ตรงไหน นางยังคิดไม่ออก ทว่านางเชื่อในตัวหลัวเทียนเฉิง
เขาต้องการจะส่งนางออกไปนอกเมืองเช่นนี้เกรงว่าโอกาสรอดที่ว่าคงมีอันตรายนับหมื่นรออยู่เป็นแน่
“เจี๋ยวเจี่ยว…”
เจินเมี่ยวเอ่ยตัดบทเขาเสียก่อน “ซื่อจื่อ ไม่ต้องพูดแล้ว อย่างไรข้าก็ไม่ไป ข้าอยู่ในเมืองจะมีอันตรายใดได้เล่า หาก…”
นางชะงักไปแล้วจึงเอ่ยต่อว่า “หากเมืองเฮยมู่แตก ข้าก็ไม่อยากทิ้งท่านไว้เพียงคนเดียว”
“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงคว้ามือนางมากุมไว้อย่างอดใจไม่ไหว “เจ้าคิดจะร่วมเป็นร่วมตายกับข้าอยู่ที่นี่หรือ”
เจินเมี่ยวรู้สึกขัดเขินขึ้นมาจึงเม้มปากคราหนึ่งแล้วตอบว่า “จะว่าเช่นนั้นก็ได้”
หลัวเทียนเฉิงตาเป็นประกายขึ้นมาดั่งดาราที่ส่องแสงมานับชาติภพ
“ ‘จะว่าเช่นนั้นก็ได้’ นั้นคือใช่หรือไม่ใช่เล่า”
เจินเมี่ยวกลอกตาให้เขาคราหนึ่ง “พูดมาก”
หลัวเทียนเฉิงจึงเพียงยิ้มโง่งมออกมา ในใจก็เอ่ยว่าที่แท้เจี๋ยวเจี่ยวก็ยอมได้เพื่อเขาได้เช่นกัน
พรุ่งนี้ก็ทำให้นางหมดสติแล้วกัน เพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็อยากจะให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไป
“กินอาหารให้อุ่นท้องสักหน่อยเถิด” เจินเมี่ยวลุกขึ้นเดินไปที่ห้องด้านข้างแล้วยกหม้อเนื้อต้มผักดองที่อุ่นร้อนอยู่บนเตาตลอดเวลาเข้ามาให้เขา
เมื่อกลิ่นหอมปนเปรี้ยวก็ทำให้นางน้ำลายสอขึ้นมา ทั้งยังรู้สึกพะอืดพะอมแปลกๆ
ครั้นหลัวเทียนเฉิงเห็นเนื้อต้มผักดองเต็มหม้อ ดวงตาก็เป็นประกายขึ้น เขาสูดจมูกไปพลางเอ่ยว่า “หอมจริงๆ เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าทำอาหารของที่นี่เป็นแล้วหรือ”
“ไป๋เสาเป็นคนทำ สองสามวันนี้ข้าคงยุ่งมากเกินไป เข้าครัวคราใดก็รู้สึกแน่นหน้าอกทุกที”
“แน่นหน้าอกหรือ มา ข้าจะช่วยนวดผ่อนคลายให้”
เจินเมี่ยวฟาดมือสุกรที่ยื่นออกมานั้นโดยแรง “รีบกินเสีย เวลานี้แล้วยังมีแก่ใจคิดเรื่องเหลวไหลอีก!”
“อืม” หลัวเทียนเฉิงคีบเนื้อชิ้นหนึ่งเข้าปาก แล้วถอนหายใจออกมาอย่างโล่งสบาย
เนื้อหั่นได้ขนาดที่พอดียิ่ง ไม่บางไม่หนาเกินไป ทั้งยังมีรสชาติผักดองและพริกที่เข้ากันอย่างลงตัว กินแล้วไม่รู้สึกเลี่ยนสักนิดทั้งที่อยู่ในช่วงที่น้ำกำลังจะกลายเป็นน้ำแข็ง ช่างเป็นรสชาติที่อร่อยเหลือเกิน
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าก็กินด้วยสิ” เขาคีบป้อนใส่ปากเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวเบือนหน้าหลบทันที “ข้าไม่หิว”
“จะไม่หิวได้อย่างไร หลายวันมานี้เจ้าผอมลงไปมาก หากเจ้าไม่กิน ข้าก็ไม่กินเช่นกัน”
เจินเมี่ยวชำเลืองมองเขาคราหนึ่ง เห็นสายตาแห่งการรอคอยจึงจำต้องกินเนื้อชิ้นนั้นเข้าไป แต่เมื่อแตะถูกลิ้นก็พลันรู้สึกคลื่นไส้อาเจียนขึ้นมาทันที นางหากระโถนไม่ทันแล้วจึงคายมันลงพื้นเสียเดี๋ยวนั้น
หลัวเทียนเฉิงหน้าเปลี่ยนสีไปทันที “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
ไป๋เสาและชิงไต้ที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องได้ยินเสียงก็รีบวิ่งเข้าไปทันที
“ต้าไหน่ไหน่?”
หลัวเทียนเฉิงกอดเจินเมี่ยวไว้แล้วเงยหน้าขึ้นเอ่ยว่า “ไปตามหมอมาเร็วเข้า ต้าไหน่ไหน่อาจจะกินของผิดสำแดงเข้าไปแล้ว!”
เวลานี้เจินเมี่ยวดีขึ้นมากแล้ว จึงเอ่ยเสียงแผ่วว่า “กินของผิดสำแดงอันใดกัน ข้ายังมิทันกินด้วยซ้ำ!”
หลัวเทียนเฉิงจึงเอ่ยด้วยความตกใจว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เช่นนั้นเจ้ากินของผิดสำแดงไปตั้งแต่เมื่อใด แล้วไยมิรีบบอกข้าเล่า”
“เหตุใดต้องคิดว่าข้ากินของผิดสำแดงด้วยเล่า ข้าจะตั้งครรภ์มิได้หรือไร!” เจินเมี่ยวเอ่ยเสียงขุ่น พูดจบนางก็อึ้งไป แล้วหันไปมองหลัวเทียนด้วยความตกตะลึง
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าพูดอันใด” หลัวเทียนเฉิงมึนงงไปหมด
“ข้า ข้ามิได้พูดอันใดทั้งนั้น…” เจินเมี่ยวปิดปากตนไว้
นางจะตั้งครรภ์ได้อย่างไร ตอนที่อยู่เมืองหลวงนางดูแลตนเองดีถึงเพียงนั้นยังไม่มีวี่แววเลย ที่นี่ไม่เพียงหนาวเหน็บแต่นางยังยุ่งวุ่นวายทั้งวัน แม้แต่ข้าวยังไม่ได้กินอิ่มดีด้วยซ้ำ
เอ๊ะ แต่มันก็ออกจะแปลกอยู่เหมือนกัน ระยะนี้นางกลับหมดความอยากอาหารไปเสียอย่างนั้น หากมิใช่ตั้งครรภ์แล้วยังจะมีเรื่องร้ายแรงอันใดกว่านี้อีกเล่า
หรือนางตั้งครรภ์จริงๆ
เจินเมี่ยวยกมือขึ้นลูบท้องตนโดยไม่รู้ตัว คล้ายฝันไปกระนั้น
หลัวเทียนเฉิงก็ยังไม่ได้สติคืนมาเช่นกัน กระทั่งหมอมาถึงแล้วเห็นสองสามีภรรยาเบิกตาเหม่อลอยอยู่ภายใต้บรรยากาศอันแปลกประหลาดนี้
“แค็กๆ” หมอกระแอมไอเบาๆ เสียงหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงพลันตื่นจากภวังค์แล้วรีบลุกขึ้นเอ่ยว่า “ท่านหมอ รบกวนตรวจชีพจรให้ฮูหยินข้าด้วย”
ท่านหมออายุไม่น้อยแล้วไหนเลยจะทนรับกับสถานการณ์อันแปลกประหลาดเช่นนี้ได้ เขารู้สึกเข่าอ่อนจนแทบลงไปนั่งกองกับพื้นแล้ว โชคดีที่หลัวเทียนเฉิงใจร้อนจึงดึงเขาให้เข้ามาใกล้ๆ เขาจึงพอจะรักษาสีหน้าตนไว้ได้
“ฮูหยินโปรดยื่นมือออกมาให้ข้าที”
“อืม” เจินเมี่ยวยื่นมือให้เขาอย่างว่าง่าย
เมื่อเห็นข้อมือขาวเนียนดุจเนื้อหยกนั้นแล้ว หมอก็เริ่มลังเลขึ้นมา เขามองหลัวเทียนเฉิงแล้วพูดขึ้นว่า “ฮูหยินจะเอาผ้ามาคลุมที่มือสักหน่อยหรือไม่”
เขารู้ดีว่าสตรีสูงศักดิ์มักใส่ใจกับเรื่องพวกนี้ยิ่ง เขาเป็นหมอย่อมมิคิดอื่นใดอยู่แล้ว เพียงแต่กลัวว่าผู้อื่นจะถือสามากกว่า ถึงยามนั้นหากแม่ทัพหลัวเกิดประเคนฝ่าเท้าให้เขา ตาเฒ่าเช่นเขาคงต้องจบชีวิตแน่
“จะพิถีพิถันอันใดกัน หากคลุมไว้แล้วจะตรวจแน่หรือ ท่านหมอ ท่านช่วยตรวจชีพจรให้ฮูหยินข้าเร็วๆ เข้าเถิด” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นอย่างพยายามข่มกลั้นความร้อนใจของตนไว้ มิเช่นนั้นคงได้เตะชายแก่ชราผู้นี้กระเด็นออกไปแล้วเป็นแน่
“ขอรับ” หมอรีบวางมือลงบนข้อมือเจินเมี่ยวทันที ผ่านไปไม่นานก็เผยสีหน้าดีใจออกมา “ยินดีกับท่านแม่ทัพด้วย ฮูหยินมีข่าวดีแล้วขอรับ!”
“จริงหรือ”
หมอผู้นั้นลูบเคราแพะตนแล้วเอ่ยว่า “แม้ชีพจรจะยังไม่ชัดนัก แต่น่าจะเป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย”
“ท่านหมอช่วยเขียนสิ่งที่สตรีมีครรภ์ต้องระวังและอาหารการกินที่ควรต้องบำรุงและหลีกเลี่ยงให้ที” หลัวเทียนเฉิงเดินตามหมอออกไปด้านนอก
เจินเมี่ยวลูบท้องน้อยตนด้วยท่าทีเหม่อลอย
นางกำลังจะเป็นแม่คนในตอนที่อายุย่างเข้าสิบเก้าจริงๆ งั้นหรือ
ว่าไปแล้วการตั้งครรภ์ตอนอายุสิบเก้าในยุคสมัยเดิมของนางนั้นย่อมเป็นเรื่องที่เร็วไปสักหน่อย แต่ที่นี่กลับเป็นเรื่องที่ช้าจนควรต้องถูกลงโทษแล้ว
แต่ยามนี้เมื่อนางได้รู้ว่าตนเองมิใช่คนที่ไร้วาสนาจะมีบุตรไปจนชั่วชีวิต เจินเมี่ยวกลับรู้สึกดีใจที่นางมิได้ตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุสิบสี่สิบห้า เพราะการคลอดบุตรในช่วงอายุเท่านี้นั้นโอกาสคลอดบุตรอย่างปลอดภัยน่าจะมีมากอยู่สักหน่อย
Comments for chapter "ตอนที่ 420 ตั้งครรภ์"
MANGA DISCUSSION
Leave a Reply Cancel reply
This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.
ปักเป้า
ขอบคุณค่ะ