วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 423 อยู่ด้วยกัน
“ประสบเคราะห์ร้าย?” หลัวจือหยาถามอย่างเหม่อลอย
“ใช่แล้ว นอกจากนี้ฝ่าบาทยังพระราชทานบรรดาศักดิ์เต๋อซินเซี่ยนจู่ให้นางในภายหลังอีกด้วย”
“เต๋อซินเซี่ยนจู่?” หลัวจือหยาเอ่ยพึมพำออกมา นางส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่ง “ประเคราะห์ร้ายอันใดกัน ข้ายังมีชีวิตอยู่แท้ๆ เพราะองค์ชายรองแห่งหมานเหว่ยชั่วช้านั่นส่งข้ามาที่ชิงเป่ย!”
เจินเมี่ยวรู้สึกสงสัยอยู่ในใจว่าหลัวจือหยาตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อย่างไร ทว่าหากให้นางยอมรับว่าคนตรงหน้าคือคุณหนูใหญ่ของจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นไม่มีทางเป็นไปได้แน่
โทษหลอกลวงเบื้องสูง…หากเรื่องนี้เป็นปัญหาขึ้นมา จวนกั๋วกงคงหนีความผิดไม่พ้นแน่
นางเม้มริมฝีปากไม่พูด หลัวจือหยากลับร่ำไห้เอ่ยออกมาโดยมิต้องรอให้ผู้ใดถาม “ข้าแค่ไม่อยากแต่งกับคนป่าเถื่อนเช่นนั้น จึงได้โกหกว่ามีบุรุษในดวงใจแล้วคือญาติผู้พี่ตระกูลท่านยาย แต่คิดไม่ถึงว่าคนชั่วช้านั่นจะส่งข้ามาที่นี่จริงๆ”
หลัวจือหยาที่อยู่ตรงหน้านี้ผ่ายผอมจนดูไม่ได้ ทั้งที่กำลังเป็นสาวสะพรั่ง แต่กลับดูอายุมากกว่าเจินเมี่ยวเสียอีก ทว่าเมื่อเจินเมี่ยวได้ยินวาจานี้แล้ว แม้แต่ความเห็นใจก็ยากจะเกิดขึ้นได้
อันใดที่เรียกว่าทำตัวเอง น้องสาวผู้นี้ได้อธิบายให้นางเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว
“แม่นาง เจ้าพูดเรื่องป่าเถื่อนอันใด ข้าไม่เข้าใจ แต่ในเมื่อเจ้าได้พบกับญาติผู้พี่ตระกูลท่านยายแล้ว เหตุใดจึงมีสภาพเช่นนี้เล่า”
หลัวจือหยาเอ่ยด้วยโทสะเต็มหน้าว่า “พี่สะใภ้ ท่านจำข้าไม่ได้จริงๆ หรือ”
นางเบิกตากลมโตขึ้น ริมฝีปากอันแตกแห้งนั้นสั่นระริกไม่หยุด แต่เมื่อเห็นท่าทีนิ่งงันของเจินเมี่ยวแล้วก็ได้แต่กดข่มโทสะอันมากมายของตนไว้และยิ้มเยาะอยู่ในใจ
ความจริงพี่สะใภ้ก็พูดถูก นางที่มีสภาพเช่นนี้จะเป็นคุณหนูใหญ่แห่งจวนเจินกั๋วกงได้อย่างไร นางในตอนนั้นจะยอมลดตัวไปอ้อนวอนบุรุษเพียงเพื่อจะได้กินข้าวสักมื้องั้นหรือ
ไม่ นางในตอนนั้นยอมตายดีกว่าที่จะทำมัน แต่นางในตอนนี้กลับทำ ไม่เพียงแต่ทำมันเท่านั้นแต่จะทำต่อไปเรื่อยๆ อีกด้วย หากไม่ได้พบพี่สะใภ้ นางต้องทำมันต่อไปอย่างแน่นอน
หลัวจือหยาสูดลมหายใจเข้าลึก ท่ามกลางความเงียบนี้นางกลับค่อยๆ สงบจิตใจลงได้
การพบกับพี่สะใภ้เป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้นางหลุดพ้นจากมหาสมุทรอันขมขื่นนี้ นางไม่อาจทำตัวโง่เขลาอีกจนทำให้เรื่องทั้งหมดพังไม่เป็นท่า
นางยกมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาตน แล้วระบายยิ้มอ่อนออกมา “ข้าทำให้ฮูหยินต้องขบขันแล้ว ท่านกับพี่สะใภ้ข้าหน้าตาคล้ายกันหลายส่วน ตอนพบท่าน ข้ามัวแต่ตื่นเต้นดีใจทำให้ดูผิดไปจนล่วงเกินท่าน ข้าต้องขออภัยท่านด้วย”
เจินเมี่ยวรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง ต่างกล่าวกันว่าความผิดพลาดจะทำให้คนเติบโต คงใช่จริงๆ หลัวจือหยาในอดีต ไหนเลยจะเข้าใจอันใดได้รวดเร็วเพียงนี้เล่า
ในเมื่อหลัวจือหยายอมปล่อยความเป็นคุณหนูใหญ่จวนเจิ้นกั๋วกง เช่นนั้นอะไรที่ช่วยเหลือได้นางก็เต็มใจช่วยอย่างเต็มที่
“แต่ว่าฮูหยินอยากจะลองฟังเรื่องราวของข้าดูสักหน่อยหรือไม่” เมื่อสติของหลัวจือหยากลับมาอย่างสมบูรณ์แล้ว ดวงตาของนางก็เป็นประกายขึ้นทันที
“แม่นางลองเล่าให้ข้าฟังสักหน่อยเถิด”
หลัวจือหยายกมือเขี่ยปอยผมที่หลุดลุ่ยขึ้นเหน็บหลังหู ขนตากระเพื่อมไหวเล็กน้อย แล้วเอ่ยปากขึ้นว่า “เพราะกระทำผิดบางอย่างทำให้บุรุษในตระกูลท่านยายต่างถูกส่งมาที่ชิงเป่ยเพื่อทำงานหนักชดใช้ความผิด แต่ข้า…ท่านพ่อท่านแม่ให้ข้าแต่งกับบุรุษที่ข้าไม่ชอบทั้งยังอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิดอีก ระหว่างเดินทางพบโจรท้องถิ่น ข้าจึงพลัดหลงจากขบวน ภายหลังที่ได้พบกับคนผู้นั้น เขาเองก็ไม่ชอบข้าเช่นกัน ตอนนั้นข้าอยากกลับบ้าน จึงบอกเขาว่ามีใจให้กับญาติผู้พี่ตระกูลท่านยาย สุดท้ายเขากลับส่งข้ามาหาญาติผู้พี่จริงๆ แล้ว…”
นางเงียบไป เมื่อสบตากับเจินเมี่ยวแล้วจึงเผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา “หลังจากนั้นฝันร้ายฉากหนึ่งก็เริ่มขึ้น”
“ฝันร้าย?”
สายตาหลัวจือหยาทอดมองออกไปไกล บนโต๊ะที่ตั้งอยู่ข้างหน้าต่างมีกระถางสีม่วงอันเรียบง่ายใบหนึ่งตั้งอยู่ ใบของดอกสุ่ยเซียนมีสีเขียวสด แต่นางกลับมิใช่สตรีสูงศักดิ์ที่มีเวลาว่างและมีอารมณ์เลี้ยงดอกไม้อีกแล้ว
เจินเมี่ยวมองตามสายตาของนางไป
เดิมกระถางดอกสุ่ยเซียนวางอยู่ในห้องนาง แต่นางกำลังตั้งครรภ์จึงย้ายมาวางที่นี่
หลัวจือหยาเก็บสายตา แล้วก้มหน้าลงมองมืออันหยาบกร้านของตน แล้วเอ่ยต่อว่า “หลังจากที่ข้าไปถึงที่นั่นจึงทราบว่าท่านตาสิ้นลมระหว่างการเดินทางเพราะทนความลำบากตรากตรำไม่ไหว ส่วนท่านอาก็ถูกส่งตัวไปตามพื้นที่ต่างๆ แรกเริ่มญาติผู้พี่ดีต่อข้าไม่น้อย แต่หลังจากนั้น…”
นางอดยกมือขึ้นกดขอบตาตนไว้มิได้ “ต่อมาข้าจึงรู้ว่าความยากจนอย่างที่สุดมันทำให้คนเปลี่ยนไปเช่นไรได้บ้าง ญาติผู้พี่เริ่มกลายเป็นคนโมโหร้าย เขาจึงมักลงไม้ลงมือต่อข้า แรกเริ่มข้าก็สู้ สุดท้ายกลับกลายเป็นยอมอดทน”
นางเงยหน้าขึ้นมองเจินเมี่ยว แล้วยิ้มขมขื่นออกมา “ยามบุรุษมิไยดีเจ้าแล้ว หากมิอดทนจะทำเช่นไรได้ หากลงมือตอบโต้ สตรีย่อมมิใช่คู่ต่อสู้ของบุรุษอย่างแน่นอน ข้าจึงคิดว่าฝันร้ายนี้คงต้องเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แต่คิดไม่ถึงว่ามันกลับเป็นเพียงการเริ่มต้น”
เอ่ยถึงตรงนี้นางก็ห่อกายเข้าหาตัวเล็กน้อยคล้ายยากจะเอ่ยมันออกมาได้ แต่ก็ยังกัดฟันเอ่ยมันออกมา “ฐานะที่ญาติผู้พี่เป็นอยู่นั้นแค่จะกินข้าวสักมื้อยังยาก หลังจากมีข้าก็ยิ่งลำบากมากขึ้นไปอีก วันหนึ่งมีคนผู้หนึ่งเอาเนื้อหมูครึ่งจิน…”
หลัวจือหยาจึงหน้าซีดเผือดลง นางกัดริมฝีปากตนแล้วเอ่ยเน้นย้ำออกมาทีละคำว่า “มาแลกกับการอยู่กับข้าหนึ่งราตรี…”
เจินเมี่ยวนิ่งอึ้งไป
แรกเริ่มนางยังรู้สึกว่าหลัวจือหยาทำตนเอง จึงมิคิดสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยว แต่ยามนี้นางกลับมิอาจนิ่งเฉยได้อีก
ไม่ใช่เพราะเป็นคนใจอ่อนชอบสงสารคนอื่น และมิใช่เพราะหลัวจือหยาเป็นน้องของซื่อจื่อ แต่เพราะตนก็เป็นสตรีเช่นเดียวกัน!
หลัวจือหยาหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะนั้นแผ่วเบาคล้ายอยู่ไกลสุดขอบฟ้า “ฮูหยินก็น่าจะรู้ว่าเรื่องบางเรื่องหากมีครั้งที่หนึ่ง ย่อมมีครั้งที่สอง ถึงตอนนี้ตัวข้าเองก็ยังสงสัยว่าเหตุใดตนยังเลือกที่จะมีชีวิตอยู่อีก”
ใช่ เหตุใดนางถึงยังเลือกมีชีวิตอยู่เล่า
อาจเพราะนางเคยมีฐานะเช่นนั้น เคยเป็นสตรีที่สูงศักดิ์เทียมฟ้า ไหนเลยจะยอมตายด้วยฐานะอันสกปรกโสมมเช่นนี้
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว”
“ไม่ เหตุใดต้องไม่พูดด้วยเล่า ยากนักจะได้พบกับฮูหยิน ข้าอยากจะเล่าให้ท่านฟัง ต่อมาชิงเป่ยก็เกิดความวุ่นวาย นักโทษเสริมทัพบ้างตาย บ้างหลบหนี ญาติผู้พี่จึงฉวยโอกาสนี้พาข้าหลบหนีลงมาทางใต้จนถึงที่นี่”
หลัวจือหยาพูดจบก็นั่งหอบหายใจอย่างคนสิ้นแรงคล้ายเพิ่งถูกช่วยขึ้นมาจากน้ำ แล้วนั่งมองเจินเมี่ยวเงียบๆ
“งั้นเจ้าคิดจะทำเช่นใดต่อไป” เจินเมี่ยวถาม
“ข้าอยากจะขอคำปรึกษาจากฮูหยินเจ้าค่ะ สภาพข้าเช่นนี้ควรทำอย่างไรต่อไปดี”
เจินเมี่ยวได้ยินนางถามเช่นนี้ก็คิดครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “เช่นนั้นเจ้าพักฟื้นร่างกายอยู่ที่นี่ก่อน ยามนี้สถานการณ์ไม่สู้ดีนัก ไม่ว่าคิดจะทำอย่างไรต่อไปก็ต้องรอให้สงครามสงบเสียก่อน”
ถ้าฝ่ายตนชนะสงครามซื่อจื่อจะต้องมารับนางแน่ การจัดการเรื่องของหลัวจือหยานั้นซื่อจื่อย่อมรู้ดีกว่านางว่าทำอย่างไรจึงจะเหมาะสม แต่หากแพ้…
หากแพ้ แม้แต่ชีวิตตน นางก็ยากจะรักษาเอาไว้ได้ ไหนเลยจะมีกำลังไปช่วยเหลือผู้อื่นเล่า
หลัวจือหยาฟังแล้วก็เข้าใจความหมายของเจินเมี่ยวทันที นางจึงได้แต่ผ่อนลมหายใจอยู่ในอก “เช่นนั้นก็ขอบพระคุณฮูหยินแล้ว”
ยามนี้นางไม่ขอมีชื่อเสียงเงินทองเทียมฟ้า เพียงขอมีชีวิตอย่างคนปกติทั่วไป ภายหน้าที่ต้องตายก็ตายอย่างสมเกียรติ เท่านี้นางพอใจแล้ว
“ข้าเองก็มาขออาศัยเรือนญาติอยู่ ไม่ทราบว่าญาติผู้พี่ท่านนั้นของเจ้า เจ้าคิดจะทำเช่นไรหรือ เขานับว่าเป็นนักโทษหนีความผิด แม้ยามนี้ไม่มีคนติดตามหา แต่ภายหน้าย่อมนับเรื่องยุ่งยากมาแน่ การให้เขาอยู่ที่นี่คงไม่ค่อยสะดวกนัก”
“ตอนนี้เขาอยู่ที่ใดหรือ”
“อ้อ เขาร่างกายค่อนข้างอ่อนแอจึงหมดสติไป ยามนี้น่าจะนอนหลับอยู่ในโรงม้า”
แววตาอันหม่นหมองทอประกายขึ้นมาวูบหนึ่ง
ต่อให้ถูกตีจนหมดสติก็ไม่เกี่ยวอันใดกับนางทั้งสิ้น
“ฮูหยินโปรดให้คนนำทางข้าไปทีเถิด ข้าอยากพบเขาสักหน่อย”
เจินเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้น “เจ้าอ่อนแรงถึงเพียงนี้ พักผ่อนสักครู่เถิด กินอันใดเสียก่อนค่อยไปก็ไม่สาย”
หลัวจือหยาคิดครู่หนึ่งจึงพยักหน้า ถูกของนาง เสียเวลาลับคมขวานกลับทำให้ตัดไม้ได้เร็วขึ้น!
เจินเมี่ยวให้คนยกอาหารเข้ามา เป็นโจ๊กใส่เนื้อหนึ่งถ้วย แต่เนื้อที่ใส่กลับน้อยมาก น้ำโจ๊กก็ข้นยิ่ง
หลัวจือหยารับมาแล้วกินอย่างที่เรียกได้ว่าตะกละตะกลาม เมื่อกินเสร็จแล้วก็เงยหน้าขึ้นมองเจินเมี่ยวอย่างน่าสงสาร
“เจ้าท้องว่างอยู่ ไม่ควรกินมากเกินไป เจ้าพักสักสองเค่อก่อน ข้าจะให้คนเอายามาให้ดื่ม” เจินเมี่ยวชี้ไปที่สาวใช้น้อยผู้หนึ่ง “นางชื่อว่าอาเสวี่ย หากเจ้ามีเรื่องอันใดก็บอกนางได้”
หลัวจือหยาฟังแล้วอึ้งไป แล้วรับคำเสียงเบา
เจินเมี่ยวจึงพาชิงไต้ออกไปจากห้อง
หลัวจือหยาไม่พูดอันใด เพียงหลับตานั่งพิงฉากบังลม ผ่านไปสองเค่อ ยาร้อนอุ่นก็ถูกยกมาจริงๆ นาจึงดื่มรวดเดียวจนหมด
เมื่อวางถ้วยที่สะอาดหมดจดนั้นลงบนถาด นางก็ได้แค่ยิ้มเยาะตนอยู่ในใจ
ก่อนหน้านี้ที่นางป่วย นางไม่มีทางดื่มยาที่ขมเพียงนี้ได้เลย จนท่านแม่ต้องมากำชับให้ดื่ม ดื่มคำหนึ่งก็กินผลไม้เชื่อมตามคำหนึ่ง ไม่รู้ใช้เวลาไปมากเท่าใดจึงหมดถ้วย ตอนนี้ถึงรู้ว่าการดื่มยารสขมลงท้องไปในรวดเดียวโดยไม่ต้องกินผลไม้เชื่อมนั้นรู้สึกดีกว่าเป็นไหนๆ
ไม่รู้ว่าท่านแม่เป็นอย่างไรบ้างแล้ว รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว นางคงต้องลองสอบถามดูสักหน่อย
เมื่อพักผ่อนไปครู่หนึ่งแล้ว หลัวจือหยาจึงเอ่ยว่า “อาเสวี่ย ช่วยหาเสื้อผ้าตัวนอกมาให้ข้าเปลี่ยนที”
“เจ้าค่ะ” อาเสวี่ยรับคำเสร็จ ไม่นานก็ถือเสื้อและกางเกงผ้านวมที่เรียกได้ว่าใหม่เอี่ยมอยู่ถึงเก้าส่วน “นี่เป็นเสื้อผ้าที่ไท่ไท่ของเราใส่ไปเพียงครั้งเดียว แม่นางใส่ไปพลางๆ ก่อนเถิดเจ้าค่ะ”
“ไท่ไท่ของพวกเจ้า?” หลัวจือหยาชำเลืองมองเนื้อผ้าของชุดนวมนั้นก็รู้ทันทีว่าไท่ไท่ที่นางพูดถึงมิใช่เจินเมี่ยว
“ไท่ไท่ของเราคือฮูหยินนายอำเภอ เป็นญาติผู้พี่ของฮูหยินท่านนั้นเจ้าค่ะ”
หากเป็นเมื่อก่อน เนื้อผ้าเช่นนี้หลัวจือหยาคงไม่แลเพราะคิดว่าเป็นของสาวใช้ที่มีเกียรติสักหน่อยเท่านั้น แต่นางอยู่ที่ชิงเป่ยมาหลายปี ที่นี่มิได้เจริญเช่นเมืองหลวง ขุนนางน้อยใหญ่และสตรีมีศักดิ์ทางแถบนี้ต่างสวมอาภรณ์เช่นนี้ยามอยู่เรือนตน เป็นเรื่องธรรมดายิ่ง
เมื่อสวมเสื้อผ้าเสร็จแล้ว หลัวจือหยาก็ถามว่า “ห่อผ้าของข้าเล่า”
อาเสวี่ยขมวดคิ้ว นางหมุนกายไปหยิบมันออกมาจากตู้เสื้อผ้าแล้วนำมาให้หลัวจือหยา
หลัวจือหยาเบี่ยงกายเล็กน้อยแล้วเปิดห่อผ้าออกดู เมื่อเห็นสายตาสงสัยของอาเสวี่ย นางจึงยิ้มพลางเอ่ยว่า “ในนี้มีต่างหูเงินคู่หนึ่ง ข้าจึงอยากดูว่ามันได้หล่นหายไปตอนที่ข้าหกล้มหรือไม่”
อาเสวี่ยมิได้เอ่ยอันใด เพียงหลุบม่านตาปิดบังความดูแคลนที่อยู่ในดวงตาตนไว้
แค่ต่างหูเงินคู่เดียว คิดว่าผู้อื่นจะขโมยหรือไร
แม้จวนแห่งนี้จะประหยัด ทว่าทุกวันตรุษไท่ไท่ก็ตกรางวัลให้เสมอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงช่วงเวลาหลังจากที่ฮูหยินผู้นั้นมาพักที่นี่เลย นางได้กระทั่งปิ่นทองด้วยซ้ำ
หลัวจือหยากำมือแน่นซ่อนไว้ใต้แขนเสื้อ เมื่อความเย็นเยียบจากกรรไกรนั้นไหลผ่านมือ นางจึงสงบใจลงได้แล้วเผยยิ้มออกมา “อาเสวี่ย พาข้าไปที่โรงม้าที”
ลานภายในของศาลาว่าการนั้นมิได้ใหญ่อันใด ไม่นานก็มาถึงโรงม้า
หลัวจือหยายืนอยู่หน้าประตูมองบุรุษสวมชุดขาดเก่าที่นอนอยู่บนกองฟาง ในก้นบึ้งของดวงตามีความเย็นเยียบสายหนึ่งอยู่ นางค่อยๆ เปิดประตูออก แล้วเดินเข้าไปข้างใน