วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 426 ลูกแฝด
หลัวเทียนเฉิงเห็นท่าทีของหมอแล้วก็ใจหาย ความรู้สึกย่ำแย่แผ่ไปทั่วร่าง เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้โดยพลัน แต่เดินไปเพียงสองก้าวก็เกิดกลัวว่าจะเป็นการรบกวนการตรวจของท่านหมอจึงบังคับตัวเองให้หยุดอยู่กับที่
เขานั่งลงเช่นเดิมแล้วลุกขึ้นอีกครั้ง เป็นเช่นนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นแล้วตาลายจึงเอ่ยถามออกมาอย่างทนไม่ไหว “ท่านหมอ เป็นอันใดกันแน่หรือ”
ท่านหมอมิได้เอ่ยอันใด แต่ทำท่าทีให้เจินเมี่ยวยื่นมืออีกข้างมาให้ตรวจ
หลัวเทียนเฉิงกลั้นหายใจจ้องมอง เพียงรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาอยากจะเอาชกท่านหมอที่เอาแต่นิ่งเงียบผู้นี้เพื่อคล้ายความกังวลใจเหลือเกิน แต่กลับมิอาจทำได้จึงร้อนใจมากขึ้นไปอีก
แม้แต่ฮูหยินผู้เฒ่ายังร้อนใจขึ้นมาแล้ว นางคิดในใจว่าชิงเป่ยเหน็บหนาวเพียงนั้น ทั้งหลานสะใภ้ยังเดินทางไกลมาอีกด้วย คมิได้เกิดเหตุผิดพลาดอันใดขึ้นแล้วกระมัง
อายุครรภ์มากถึงเพียงนี้แล้ว หากมีปัญหาใดเกิดขึ้นจะทำอย่างไรดีเล่า!
ภายในห้องเต็มไปด้วยความตึงเครียด สาวใช้ที่อยู่คอยรับใช้ต่างไม่กล้าแม้แต่จะหายใจดัง ด้วยกลัวว่าจะทำให้นายท่านทั้งหลายไม่พอใจ จนถูกขายทิ้งไป สถานการณ์เช่นนี้มิใช่ไม่เคยมี
ในที่สุดท่านหมอก็ปล่อยมือแล้วค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมาภายใต้การจับจ้องของทุกคน
รอยยิ้มนี้คล้ายมือที่มองไม่เห็นได้แหวกเอาม่านอันหนาหนักซึ่งปิดห้องนี้ไว้ให้เปิดออก บรรยากาศจึงผ่อนคลายขึ้นมาทันที
มุมปากของฮูหยินผู้เฒ่าเคลือบด้วยรอยยิ้มขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง”
มีเพียงหลัวเทียนเฉิงที่ยังคงเป็นกังวลยิ่ง จึงจ้องมองท่านหมอด้วยสีหน้าเคร่งขรึมอยู่เช่นเดิม หากเขาเอ่ยอันใดที่ไม่น่าฟังขึ้นมาอาจจะโยนตาเฒ่านี้ออกไปทันทีเลยก็ได้
“ขอแสดงความยินดีกับฮูหยินผู้เฒ่าและแม่ทัพหลัวด้วย” เห็นชัดว่าท่านหมอเข้าใจตระกูลสูงศักดิ์เช่นนี้ดี เขาลูบเคราอันขาวสะอาดของตนแล้วยิ้มตาหยีพลางเอ่ยว่า “เซี่ยนจู่ตั้งครรภ์ครานี้เหมือนจะมีชีพจรสองจุด”
“ชีพจรสองจุด? หมายความว่าอย่างไร” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามอย่างโง่งม
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มจนหน้าบานไปเสียแล้ว “จริงหรือ”
ท่านหมอยกมือขึ้นประกบกันแล้วเอ่ยว่า “ข้าได้ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว คิดว่าคงไม่มีอันใดผิดพลาดแน่ขอรับ”
“ดีเหลือเกิน!” ฮูหยินผู้เฒ่าลุกขึ้นด้วยความดีใจ นางเอ่ยเสียงสูงว่า “หงฝู ยกน้ำชามาให้ท่านหมอเร็ว”
ความหมายของวาจานี้คือจะต้องตกรางวัลให้อย่างงามนั่นเอง
“ท่านย่า ชีพจรสองจุดคืออันใด…”
ฮูหยินผู้เฒ่ามองหลัวเทียนเฉิงด้วยรอยยิ้ม ในใจก็เอ่ยว่าเหตุใดจึงมาโง่งมในเวลาสำคัญเช่นนี้เล่า แต่เมื่อคิดว่าจะมีเหลนถึงสองคน ทั้งยังหน้าตาเหมือนกันอีกก็มิคิดจะถือสาเขาอีก หลานโง่เง่าของนางควรต้องหลบไปเสียที
“หลานผู้โง่เขลาเอ๋ย ภรรยาเจ้ามีลูกแฝดอย่างไรเล่า!”
“แฝด?” หลัวเทียนเฉิงอึ้งไปครู่หนึ่ง พลันผุดลุกขึ้นไปโอบบ่าเจินเมี่ยวไว้ “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าได้ยินหรือไม่ เรามีลูกแฝด!”
เจินเมี่ยวเองก็ตกใจกับข่าวนี้ยิ่งจึงยังคงมึนงงอยู่ นางพยักหน้าติดๆ กัน “ได้ยินแล้ว”
“ดีเหลือเกินจริงๆ ข้านี่ร้ายกาจจริงๆ!” คิ้วทรงดาบของคู่นั้นของหลัวเทียนเฉิงเลิกขึ้นสูงจนแทบจะโบยบินขึ้นฟ้าแล้ว
ฮูหยินผู้เฒ่าจึงกระแอมไอคราหนึ่งอย่างทนดูไม่ได้อีกต่อไป
หลานข้าโง่เขลาเพียงนี้ เหตุใดจึงชนะศึกกลับมาได้เล่า
ช่างเถิด เรื่องนี้คงเป็นสิ่งที่สืบทอดจากต้นตระกูล เขาคงได้พรสวรรค์ในการรบจากสามีของนางแน่ ไม่แปลกเสียหน่อยถ้าจะมีลูกแฝด สามีของนางช่างเก่งกาจเสียจริง
พรสวรรค์ด้านการรบกับการมีลูกแฝดนั้นเกี่ยวพันกันตรงใดหรือ ขออภัยด้วย เรื่องนี้ฮูหยินผู้เฒ่ามิได้ใคร่ครวญดูแม้แต่น้อย
ท่านหมอคล้ายจะพูดสิ่งใดอยู่ตลอด ในที่สุดก็หาโอกาสพูดได้เสียที “แต่ว่า…”
ครั้น ‘แต่ว่า’ ถูกเอ่ยออกมา บรรยากาศภายในห้องก็กระอักกระอ่วนขึ้นมาอีกครา มุมปากหงฝูเคลือบด้วยรอยยิ้ม นางยัดซองแดงหนาปึกที่เตรียมไว้ยัดใส่แขนเสื้อทันทีเมื่อได้ยินคำนั้น สีหน้ากลับเป็นเรียบเฉยดังไม่เคยยิ้มมาก่อน
สาวใช้ทั้งหลายเห็นเช่นนั้นต่างลอบนับถืออยู่ในใจ
มิน่าเล่าหงฝูอายุยังน้อยแต่ได้เป็นสาวใช้ขั้นหนึ่งข้างกายฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว ท่าทีสง่าเช่นนั้นแม่แต่คุณหนูตระกูลร่ำรวยยังเทียบไม่ได้ เจ้าดูสีหน้าของนางสิ รู้จักถอยรู้จักรุก สามารถแสดงท่าทีอันเหมาะสมและเปลี่ยนอารมณ์ได้อย่างแนบเนียน นี่ต่างหากที่เรียกว่าความสามารถที่แท้จริง!
“แต่ว่าอันใดหรือ” เห็นชัดว่าหลัวเทียนเฉิงตกใจกับคำนี้มาก
กองทัพนับพันอาชานับหมื่น โลหิตหลั่งรินเป็นสายธารนับเป็นอันใดได้ แท้จริงแล้วความน่ากลัวอันยิ่งใหญ่กลับอยู่ในคำว่า ‘แต่ว่า’ นี้ต่างหาก!
ท่านหมอเองก็รู้สึกตกใจขึ้นมาบ้างเช่นกัน
วาจาที่จะเอ่ยต่อไปนี้เป็นเพียงเรื่องที่คนเป็นหมอควรต้องตักเตือนไว้เท่านั้นเอง แต่ท่าทีของคนในห้องนี้กลับดูเคร่งเครียดขึ้นมา อยากจะมีเรื่องนักหรือไร ทำเอาเขาไร้หนทางไปต่อแล้วจริงๆ!
“ท่านหมอ มีอันใดกันแน่ พูดมาเถิด” หลัวเทียนเฉิงกำหมัดแน่นโดยไม่รู้ตัว
สายตาของท่านหมอเคลื่อนไปมองที่กำหมัดทั้งสองของหลัวเทียนเฉิง ในใจก็คิดว่าโชคดีที่วาจาที่เขาจะเอ่ยต่อไปนี้มิได้เป็นเรื่องร้ายแรงอันใด มิเช่นนั้นแม้เรื่องจะย่ำแย่เพียงใดเขาคงไม่กล้าพูดออกมาแน่ เพราะท่าทีคุกคามดุร้ายของแม่ทัพหลัวช่างน่ากลัวนัก
“แต่ว่า…” ท่านหมอพลันนึกได้ว่าเพราะคำคำนี้ที่ทำให้บรรยากาศดูเคร่งเครียดขึ้นเขาจึงรีบแก้ว่า “ข้าจะบอกว่า เซี่ยนจู่ตั้งครรภ์ลูกแฝด โอกาสที่จะคลอดก่อนกำหนดนั้นมีค่อนข้างสูง ทั้งยังเป็นการตั้งครรภ์ครั้งแรก แม้ร่างกายจะแข็งแรงแต่ยามคลอดก็คงลำบากอยู่สักหน่อย จวนท่านต้องเตรียมทุกอย่างไว้แต่เนิ่นๆ น่าจะเป็นการดีที่สุดขอรับ”
ทุกคนภายในห้องพลันผ่อนลมหายใจออกมาพร้อมกัน
“หงฝู รีบยกน้ำชามาเร็วเข้า!”
“เจ้าค่ะ” หงฝูยิ้มพลางเอ่ยรับคำ
บรรยากาศในจวนเจิ้นกั๋วกงพลันเปลี่ยนเป็นคึกคักขึ้นมาทันที
หลัวเทียนเฉิงกลับมาพร้อมกับความดีความชอบอันใหญ่หลวง อาการป่วยของเจาเฟิงตี้ก็พลันดีขึ้นมา แม้ยังมิสามารถว่าราชการที่ท้องพระโรงได้ แต่ดูท่าราชบัลลังก์มังกรก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนผู้ครอบครองในช่วงนี้แน่
เมื่อเป็นเช่นนี้ หลัวเทียนเฉิงจึงกลายเป็นผู้ที่ทุกคนในราชสำนักอยากจะสนิทสนมด้วย
เพราะเรื่องที่เจินเมี่ยวได้ทำเมื่อคราอยู่ที่ชิงเป่ยนั้นเล่าลือจนมาถึงเมืองหลวงเสียนานแล้ว เมื่อนางกลับมาครั้งนี้ จึงมีรางวัลปูนบำเหน็จจากวังหลวง ไม่ว่าจะเป็นเจาเฟิงตี้ หวงโฮ่ว หรือแม้แต่ไท่โฮ่วที่มิใคร่โปรดนางเท่าใดก็ยังปูนบำเหน็จแก่นาง
ผู้มีบรรดาศักดิ์ทั้งหลายตั้งแต่ยศอ๋องไปจนถึงขุนนางทั่วไปล้วนอ้างเหตุผลที่นางตั้งครรภ์เพื่อส่งของขวัญต่างๆ มาให้นาง
ความคึกคักที่ว่านี้ต่างถูกขวางไว้ที่นอกเรือนชิงเฟิงทั้งสิ้น เจินเมี่ยวมีครรภ์แก่ใกล้คลอดแล้ว นอกจากการออกไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้ทุกวันก็เพียงพักผ่อนอยู่ในห้อง แม้แต่แมวขาวตัวนั้นก็ยังย้ายไปเลี้ยงที่เรือนข้างเคียงด้วยกลัวว่าจะเผลอทำร้ายนางเข้า เหลือเพียงจิ่นเหยียนที่พอจะให้นางได้หยอกล้อฆ่าเวลาเท่านั้น
“ต้าไหน่ไหน่ คนจากจวนปั๋วมาเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวที่กำลังป้อนเมล็ดข้าวสุกให้จิ่นเหยียนได้ยินก็หันกายไปล้างมือ นางเช็ดมือพลางเอ่ยถามว่า “ผู้ใดมาหรือ”
“ไท่ไท่กับฮูหยินรองเจ้าค่ะ”
“รีบเชิญเข้ามาเร็ว” เมื่อได้ยินว่านางเวินมา เจินเมี่ยวก็ดีใจยิ่ง
หลังจากที่นางกลับมาถึงเมืองหลวง นางเวินก็เคยมาหานางแล้วครั้งหนึ่ง แต่คล้ายว่าสตรีมีครรภ์นั้นมักจะคิดถึงญาติตนเป็นมากเป็นพิเศษ เมื่อได้ยินว่านางเวินมา นางก็อารมณ์ดีขึ้นทันตาเห็น
ไม่นาน นางเวินกับนางหลี่ก็เดินเข้ามาพร้อมกัน
เจินเมี่ยวรีบดึงให้ทั้งสองนั่งลง
“ให้แม่ดูหน่อยเถิด โอ้ ไม่พบเพียงมิกี่วันดูเหมือนจะโตขึ้นมากเลยทีเดียว”
เจินเมี่ยวคลำท้อแล้วยิ้ม “ท่านหมอบอกว่าเป็นเพราะมีสองคนท้องจึงโตเร็วมากเจ้าค่ะ”
นางเวินจึงเอ่ยขึ้นว่า “มิน่าเล่า ตอนแม่ตั้งครรภ์พวกเจ้าแม้ยามใกล้คลอดก็มิได้ท้องใหญ่เพียงนี้ การตั้งครรภ์แฝดนั้นยากยิ่ง เจ้าช่างมีวาสนาจริงๆ”
นางหลี่เบ้ริมฝีปากตนคราหนึ่ง
ภาคภูมิใจอันใดกัน ลูกแฝดใครมีมิได้บ้าง สิบปีก่อนนางก็คลอดมาแล้ว ยามนี้แทบจะเป็นมารดาคนได้แล้วด้วยซ้ำ!
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางหลี่ก็ได้แต่ขย้ำผ้าเช็ดหน้า
ปีก่อนอวี้เอ๋อร์แต่ออกไปแล้ว แต่ปิงเอ๋อร์ต้องถอนหมั้น กระทั่งยามนี้ยังไม่มีคู่หมายเลย!
เจินเมี่ยวกวาดตามองไป๋เสาคราหนึ่ง ไป๋เสาเข้าใจทันที นางจึงยกกล่องไม้มากล่องหนึ่ง
เจินเมี่ยวหันไปมองนางหลี่ “ป้าสะใภ้รอง ตอนน้องหกแต่งงานข้าอยู่แดนไกลมิอาจกลับมา นี่ถือเป็นของขวัญที่ข้าอยากมอบให้นางไว้เป็นสินเดิมเจ้าค่ะ”
ความริษยาในใจของนางหลี่กำลังพุ่งพรวดขึ้นไปบนศีรษะแล้ว แต่นางกลับมิกล้าแสดงออกให้เจินเมี่ยวเห็นได้จึงรีบรับมาพลางยิ้มว่า “เช่นนั้นป้าสะใภ้รองคงต้องขอบใจเจ้าแทนอวี้เอ๋อร์แล้ว น่าเสียดายที่นางตามสามีกลับไปเยี่ยมตระกูลท่านยายจึงมิได้มาเยี่ยมเจ้า แต่ปิงเอ๋อร์…เดิมข้าคิดจะพานางมาด้วย แต่ก็กลัวว่าจะเป็นการรบกวนเจ้า”
“ป้าสะใภ้รองเย้าข้าเล่นอีกแล้ว น้องห้าเรียบร้อยที่สุด ข้าอยู่คนเดียวก็เบื่อเช่นกัน หากมีเวลาว่างก็ให้นางมาเยี่ยมข้าบ่อยๆ เถิด”
เจินเมี่ยวพอจะเดาถึงสถานการณ์ของเจินปิงในระยะนี้ได้ดี ตอนนี้นางสิบเจ็ดปีแล้วแต่กลับยังไม่มีคู่หมาย คิดว่าคงมิใคร่เบิกบานเท่าใดเป็นแน่
นางหลี่ดวงตาเป็นประกายขึ้นมาทันที นางหัวเราะฟันไม่หุบเลยทีเดียว “หากเจ้าไม่รังเกียจ คราวหน้าข้าจะพานางมาด้วย”
เอ่ยถึงตรงนี้ก็เปลี่ยนเรื่องทันที “ซื่อจื่อยังคงยุ่งมากใช่หรือไม่ คงไม่มีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนเจ้ามากนักกระมัง”
เจินเมี่ยวพยักหน้าเอ่ยว่า “เขายุ่งมากจริงๆ แต่ไม่ว่าดึกดื่นเพียงใดเขาก็จะกลับมาเสมอ”
เจาเฟิงตี้มิใคร่แข็งแรงนัก มิอาจว่าราชการในท้องพระโรงได้จึงสั่งให้กุ้ยอ๋องและเฉินอ๋องว่าราชการแทน ผู้ตามีแววย่อมดูออกว่าจักรพรรดิคนต่อไปย่อมต้องเป็นหนึ่งในสองพระองค์นี้แน่
เมื่ออยู่ในช่วงเปลี่ยนถ่ายอำนาจ จักรพรรดิกลัดกลุ้มพระทัยทั้งประชวร ด้วยตำแหน่งที่หลัวเทียนเฉิงอยู่ หากไม่ยุ่งเลยต่างหากจึงจะแปลก
นางหลี่ปิดปากหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “บุรุษที่มีความสามารถย่อมต้องยุ่งเช่นนี้แล เอ่อ ที่ป้าสะใภ้รองมาวันนี้ ความจริงมีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าสักหน่อย”
“ท่านพูดมาเถิด”
นางหลี่ถอนหายใจแล้วเอ่ยว่า “ขอเอ่ยอย่างไม่กลัวเจ้าขบขันเลยแล้วกัน สองสามปีมานี้ข้ากลุ้มจนนอนไม่หลับเรื่องคู่ครองของปิงเอ๋อร์จนแทบจะป่วยทางใจแล้ว ซื่อจื่อนำกองทัพไปรบที่ชิงเป่ยครั้งนี้น่าจะทำให้รู้จักกับบุรุษองอาจหลายคนทีเดียว เจ้าว่า…พอจะให้เขาช่วยหาคนที่เหมาะสมหน่อยได้หรือไม่”
แม้เจินเมี่ยวจะไม่ค่อยชอบใจนางหลี่เท่าใด แต่นางเห็นเจินปิงเป็นดั่งน้องสาวแท้ๆ เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงเอ่ยว่า “รอซื่อจื่อกลับมา ข้าจะลองคุยกับเขาให้ แต่คนที่เขารู้จักล้วนเป็นทหารทั้งสิ้น ไม่ทราบ…”
นางหลี่รีบโบกมือไวๆ “ทหารแม่ทัพยิ่งดี ตอนนี้ข้าคิดว่าทหารนั้นดีกว่าพวกหนอนตำราที่แบกจับอันใดไม่ได้มากโขเลยทีเดียว”
หลังจากศึกครั้งนี้คงมีบุรุษมากมายที่ได้เลื่อนตำแหน่งเลื่อนยศ ตอนนั้นนางก็มีความคิดเช่นนี้แล้ว เพียงแต่วาจานี้คงต้องรอให้เจินเมี่ยวกลับมาเสียก่อนจึงจะพูดกับนางได้
เมื่อเจินเมี่ยวรับปากแล้ว นางหลี่ก็พอใจยิ่งจึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “ข้าอยากจะไปปลดทุกข์เบาสักหน่อย พวกเจ้าสองแม่ลูกคุยกันไปก่อนเถิด”
นางรู้ว่าหากยังคงเกาะติดต่อไปคงทำให้คนรังเกียจมากแน่ จึงปล่อยให้คนทั้งสองได้มีเวลาพูดคุยถามไถ่กันบ้าง
เมื่อนางหลี่ออกจากห้องไป บรรยากาศก็ยิ่งผ่อนคลายขึ้น นางเวินยื่นมือไปลูบท้องเจินเมี่ยวแล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “ในที่สุดบุตรของเจ้าก็มาแล้ว ต่อไปเจ้าจะได้มีที่ยืนอันมั่นคงอย่างแท้จริงเสียที”
“ท่านแม่ สองวันก่อนพี่รองมาเยี่ยมข้า ข้าเห็นว่านางผอมลงไปมา พอถามนาง นางก็บอกว่าสบายดี ไม่รู้เกิดเรื่องใดขึ้นกันแน่”
เรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลูนั้นสร้างความสั่นคลอนให้กับขุนนางในราชสำนักยิ่ง โดยเฉพาะขุนนางในกรมพระคลัง ส่วนใหญ่ล้วนได้รับผลกระทบทั้งสิ้น เสนาบดีกรมพระคลังถูกปลดจากตำแหน่ง รองเสนาบดีฝ่ายขวาถูกประหารทั้งตระกูล รองเสนาบดีฝ่ายซ้ายซึ่งเป็นตระกูลสามีของเจินเหยียนยังนับว่าโชคดีเพราะถูกลดตำแหน่งเท่านั้น แต่ยังคงอยู่ในแวดวงของขุนนางชั้นสูง