วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 430 ฟื้นแล้ว
ไม่นาน เสียงร้องไห้อันกังวานของทารกก็ดังไปทั่วห้อง
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจิ้นกั๋วกงถอนหายใจยาวออกมา นางเวินเดินไปหยุดตรงหน้าประตูด้วยความตื่นเต้น นางอยากจะผลักประตูเดินเข้าไปข้างในจริงๆ
เมื่อประตูเปิดออก หมอตำแยผู้หนึ่งก็เดินอุ้มทารกที่ถูกห่อด้วยผ้าสีแดงเดินออกมา นางเผยรอยยิ้มเต็มหน้า “ยินดีกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วย เป็นบุตรชายเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าขยับเข้าไปใกล้เพื่อมองให้ชัด ตามหลักแล้วทารกแฝดมักจะตัวเล็กสักหน่อยและไม่ค่อยแข็งแรง แต่ทารกนี้กลับหน้าอ้วนกลมยิ่ง แม้ผิวตัวจะย่นไปสักหน่อยทั้งยังหลับตานิ่ง แต่ดูแล้วช่างน่ารักน่าชังนัก
“ขอบคุณฟ้าดิน!” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมา
ทารกน้อยถูกหญิงรับใช้อุ้มไปที่ห้องด้านข้างทันที ที่นั่นมีแม่นมหลายคนคอยท่าอยู่นานแล้ว
แต่เวลานี้เอง ในห้องคลอดกลับมีเสียงร้องตกใจดังขึ้น “เหตุใดทารกจึงไม่ร้องเล่า”
“แย่แล้ว เด็กน้อยไม่หายใจแล้ว!”
ฮูหยินผู้เฒ่าหน้าซีดลง นางเวินทนไม่ไหวอีกต่อไป นางพุ่งเข้าไปด้านในทันที
“รีบตามหมอหลวงเร็ว!” ฮูหยินผู้เฒ่ามีสติคืนมาจึงเอ่ยด้วยเสียงดุดัน
หมอหลวงสวีที่รอท่าอยู่นานแล้วก็รีบเข้ามาทันที เมื่อเห็นสภาพของทารก เขาก็หยิบเข็มทองที่เตรียมไว้ฝังลงไปที่นิ้วมือนิ้วเท้าของทารก มือหนึ่งประคองหลังทารกเอาไว้อีกมือหนึ่งก็ดีดปลายนิ้วเท้าเบาๆ
เสียงร้องไห้อันอ่อนแรงดังขึ้น ผู้คนทั้งหลายที่อยู่ในห้องต่างก็ถอนหายใจอย่างโล่งอก
เมื่อได้ยินเสียงทารกร้องไห้ดังขึ้น เจินเมี่ยวเองก็โล่งใจ ไม่นานนางจึงสูญสิ้นแรงทั้งหมดที่มีแล้วจมดิ่งเข้าสู่ความมืดมิด
หลัวเทียนเฉิงพลันเงยหน้าขึ้น เขากุมมือนางแน่นแล้วร้องเรียกนาง “เจี๋ยวเจี่ยว”
เขายื่นมืออันสั่นเทาไปอังที่ปลายจมูกเจินเมี่ยว แม่ทัพหนุ่มที่มิเคยหวั่นเกรงอันใดแม้ยามต้องเผชิญกับกองทัพนับพันนับหมื่น แต่เวลานี้กลับนั่งล้มลงไปกับพื้น ความเจ็บปวดเสียใจดุจภูผาถล่มมหาสมุทรทลายถาโถมเข้าใส่ ทุกอย่างต่างมาจุกอยู่ตรงลำคอ แต่เขากลับเอ่ยอันใดออกมามิได้ มีเพียงริมฝีปากขาวซีดที่สั่นระริกอยู่เช่นนั้น
หมอหญิงรีบเข้าไปตรวจดูด้วยใจหวาดหวั่นแล้วก็ต้องร้องออกมาด้วยความตกใจ “แย่แล้ว เซี่ยนจู่ไม่หายใจแล้ว!”
นางเวินมิอาจทนได้อีกต่อไป นางถึงกับล้มพับลงตรงนั้นในทันที
หมอหลวงสวีรีบเข้าไปฝังเข็มสีทองที่ชีพจรหกจุดของเจินเมี่ยวอย่างรวดเร็ว
หลัวเทียนเฉิงจ้องการกระทำของหมอหลวงสวีนิ่งอย่างไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตา เขาอยากให้เวลาหยุดไว้เพียงเท่านี้ด้วยกลัวเหลือเกินว่าในเวลาต่อมาหมอหลวงสวีจะลุกข้นแล้วส่ายหน้าให้เขาพลางเอ่ยว่าเสียใจด้วย
ตอนนี้เขาคล้ายดั่งลูกศรที่กำลังจะพุ่งออกจากคันธนู มันตึงแน่นไปหมด ไม่รู้ว่าหลังจากที่ปล่อยคันธนูแล้วจะกระทำเรื่องอันบ้าคลั่งเช่นใดออกมาบ้าง
กระทั่งถึงตอนนี้เขาจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า ไม่ว่าเขาจะมีตำแหน่งสูงส่งอำนาจมากล้น โดดเด่นกว่าผู้ใด เมื่อต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตาย เขากลับไม่ต่างอันใดกับคนที่อ่อนแอและไร้ความสามารถที่สุดคนหนึ่ง
“ใต้เท้า…” หมอหลวงสวีเห็นหลัวเทียนเฉิงนิ่งไป จึงลองเรียกเขาคราหนึ่ง
หลัวเทียนเฉิงพลันมีสติคืนมา เขามองหมอหลวงสวีแต่กลับไม่กล้าเอ่ยปากถาม
“เมื่อครู่จยาหมิงเซี่ยนจู่หมดลมไป ตอนนี้กลับมาหายใจแล้ว เพียงแต่การคลอดครั้งนี้ทำให้จยาหมิงเซี่ยนจู่สูญเสียพลังไปมาก หลังจากนี้ต่อไปจะต้องดูแลบำรุงร่างกายให้ดี มิเช่นนั้นอาจจะทำให้เกิดการตกเลือดหลังคลอดได้”
ได้ยินว่าเจินเมี่ยวยังไม่ตาย หลัวเทียนเฉิงก็มีความรู้สึกดั่งตนเพิ่งมีชีวิตรอดจากอันตรายที่กำลังเผชิญอยู่มาได้ จึงเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีที่มาที่ไปว่า “ข้าจะเชื่อฟังท่านหมอทุกอย่าง!”
เขาคุกเข่าอยู่ข้างเตียงแล้วเรียกชื่อเจินเมี่ยวไม่หยุด
หมอหลวงสวีจึงเอ่ยเตือนสติว่า “ใต้เท้า ตอนนี้จยาหมิงเซี่ยนจู่อ่อนแรงยิ่ง ต้องให้นางนอนสักครู่ ถ้าจะให้ดีต้องไม่ไปรบกวนนาง”
หลัวเทียนเฉิงในเวลานี้ไม่มีความดุดันน่าเกรงขามอย่างที่ผ่านมาอีกแล้ว แม้แต่ราชโองการก็มิได้ผลเท่ากับวาจาของหมอหลวงสวี เขาจึงไล่ทุกคนที่ต่างกรูเข้ามาออกไปจนหมด เหลือเพียงคนที่จำเป็นเพื่อช่วยเปลี่ยนผ้าปูที่นอน ผ้าห่มและเช็ดตัวให้เจินเมี่ยวไว้
“ซื่อจื่อ ท่านออกไปเถิดเจ้าค่ะ ที่นี่เป็นห้องคลอด มีแต่กลิ่นคาวเลือดอันสกปรก ไม่ควรอยู่นาน” หญิงรับใช้ผู้หนึ่งเอ่ยเตือน
“หุบปาก สกปรกอันใด อย่าได้พูดจากส่งเดช ระวังลิ้นของเจ้าให้ดี! พวกเจ้ารีบทำความสะอาดให้เรียบแล้วออกไปเสีย ข้าจะอยู่เฝ้าต้าไหน่ไหน่เอง” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยน้ำเสียงดุดัน
คนภายในห้องล้วนไม่กล้าพูดอันใดอีก ได้แต่เร่งมือทำทุกอย่างให้เรียบร้อย
นางเวินที่ถูกประคองไปพักที่ห้องด้านข้าง ตอนนี้ฟื้นขึ้นมาแล้ว
“เมี่ยวเอ๋อร์ไม่เป็นอันใดใช่หรือไม่”
นางหลี่รู้สึกเสียดายอยู่บ้าง แต่นางยังคงเอ่ยปลอบใจอย่างไม่แสดงสีหน้าผิดปกติใดออกมา “น้องสะใภ้สาม เจ้าวางใจเถิด เมื่อครู่หมอหลวงได้ช่วยเมี่ยวเอ๋อร์กลับมาแล้ว เพียงแต่นางอ่อนเพลียมากจึงหลับไป”
เจินปิงพยักหน้าตามด้วยขอบตาแดงเรื่อ “ท่านน้าสาม พี่สี่ไม่เป็นอันใดแล้วจริงๆ เจ้าค่ะ ทารกทั้งสองก็ปลอดภัยดี”
นางเวินพยายามฝืนลุกขึ้น “ข้าจะไปดูนางสักหน่อย”
นางหลี่รีบห้ามไว้ วาจาที่เอ่ยแฝงความไม่พอใจโดยไม่รู้ตัว “อย่าเพิ่งเข้าไปเลย เมื่อครู่เรายังถูกหลัวซื่อจื่อไล่ออกมาแล้ว หมอหลวงบอกว่านางต้องพักผ่อน มิอาจไปรบกวนได้”
สำหรับวาจาของหมอหลวงที่ช่วยชีวิตบุตรสาวตนกลับมาได้นั้นนางเวินย่อมเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย นางจึงพยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ในเมื่อหมอหลวงพูดเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็ไม่ไปแล้ว พี่สะใภ้รอง ข้าได้ยินคนต่างเรียกเขาว่าหมอหลวงสวี ข้ามิได้ฟังผิดใช่หรือไม่ กลับไปคงต้องแสดงความขอบคุณต่อเขาอย่างจริงใจสักครั้ง”
“ใช่ ข้าก็ได้ยินผู้อื่นเรียกเขาว่าเช่นนี้เหมือนกัน ไม่เสียทีที่เป็นหัวหน้าสำนักหมอหลวง หลายปีมานี้จวนปั๋วของเรายังมิเคยเชิญเขามาได้เลย”
เอ่ยถึงตรงนี้นางหลี่ก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้
เมื่อครู่หมอหลวงสวีบอกว่าเมี่ยวเอ๋อร์อาจจะตกเลือดหลังคลอดได้ ยามนี้นางฟื้นขึ้นมาแล้ว หากรักษาจนหาย เช่นนั้นปิงเอ๋อร์ย่อมไม่มีโอกาสอีก…
“เช่นนั้นเราไปดูทารกน้อยกันเถิด”
ตอนที่นางเวินไปถึง ฮูหยินทั้งหลายในจวนเจิ้นกั๋วกงต่างกำลังล้อมวงกันหยอกล้อเด็กน้อยอยู่ภายในห้อง
เมื่อเห็นนางมา ฮูหยินผู้เฒ่าก็ยิ้มรับ “ไท่ไท่ดีขึ้นแล้วกระมัง รีบมาดูเด็กน้อยทั้งสองเร็ว หน้าตาเหมือนกันยิ่ง”
นางเวินผลิยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว นางเดินเข้าไปอย่างรวดเร็วแล้วพินิจดูหลานชายทั้งสองอย่างละเอียด
“คนนี้ดูจะอ้วนกว่าอยู่สักหน่อย” นางเอ่ยพลางยิ้ม
“ส่วนผู้นี้เป็นน้องชาย แรกคลอดใบหน้ายังดูเขียวช้ำอยู่ แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยด้วยความกลัวเมื่อนึกย้อนไป
ความจริงแล้วในสถานการณ์เช่นนี้ การที่ทารกน้อยจะจากไปนั้นง่ายมาก แต่อาจเพราะเป็นทายาทรุ่นที่สี่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงค่อนข้างให้ความสำคัญมิได้มีท่าทีเฉยชาอย่างเช่นปกติ
“ยินดีกับฮูหยินผู้เฒ่าด้วยเจ้าค่ะที่ได้เหลนถึงสองคน” นางหลี่เอ่ยแทรกขึ้น
เวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าอารมณ์ดียิ่ง เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงยิ้ม “ขอบใจฮูหยินหลี่แล้ว”
นางหลี่ยิ้มรับไปพลางหยิกเจินปิง
เจินปิงมองอย่างไม่เข้าใจ ทำให้นางหลี่โกรธจนต้องหยิกแรงขึ้น
เจินปิงเป็นคนสุขุม แม้จะเจ็บแต่นางก็ยังอดทนไม่ร้องออกมา เมื่อก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าข้อมือเขียวไปหมดแล้ว
“ไท่ไท่กับฮูหยินหลี่คงเหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนที่เรือนปีกข้างก่อนเถิด คนแก่อย่างข้าไม่มีประโยชน์อันใดแล้วก็จะไปเอนหลังสักหน่อยเช่นกัน”
นางหลี่และบุตรสาวถูกจัดให้อยู่ห้องเดียวกัน เมื่อเดินเข้าไปในห้อง นางหลี่ก็กลอกตาใส่เจินปิงทันที “มิน่าเล่าเจ้าถึงไม่เป็นที่ชมชอบเหมือนน้องสาวเจ้า เหตุใดถึงทำตัวดั่งท่อนไม้เช่นนี้!”
เจินปิงมองนางหลี่อย่างไม่เข้าใจ
นางหลี่เอ่ยเสียงต่ำลงอีกเล็กน้อย “เมื่อครู่เจ้าช่างไม่รู้จักเอ่ยยินดีอันใดสักหน่อยให้ฮูหยินผู้เฒ่าจดจำเจ้าได้”
“ท่านแม่ พี่สี่กับบุตรต่างปลอดภัยดี ข้าย่อมดีใจอยู่แล้ว แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นลูกจะเอ่ยสอดแทรกขึ้นได้อย่าง” เจินปิงรู้สึกแปลกใจยิ่ง “อีกอย่างเพราะข้าเป็นน้องสาวของพี่สี่ ปกติฮูหยินผู้เฒ่าก็เมตตาข้าอยู่แล้ว”
นางหลี่ยื่นมือออกไปจิ้มหน้าผากเจินปิง “เจ้าช่างโง่เขลานัก ฮูหยินผู้เฒ่าเมตตาเจ้าเพราะเห็นแก่หน้าเมี่ยวเอ๋อร์ แต่ข้าอย่างให้เจ้าทำตัวฉลาดน่ารักกว่านี้อีกสักหน่อย ฮูหยินผู้เฒ่าจะได้ชื่นชมเจ้ามากขึ้นกว่าเดิม”
“ท่านแม่ ลูกก็เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว เหตุใดต้องเอาอกเอาใจให้ฮูหยินผู้เฒ่าชมชอบด้วย นางดีต่อพี่สี่ก็พอแล้ว ลูกมาที่นี่บ่อยๆ เพราะเห็นว่าพี่สี่มีครรภ์ อยู่ลำพังอาจฟุ้งซ่าน ต่อไปพี่สี่มีบุตรถึงสองคนต้องดูแลคงไม่ว่างแล้ว ลูกก็มิจำเป็นต้องมาอีก ฮูหยินผู้เฒ่าจะรู้สึกกับข้าเช่นไรมีอันใดสำคัญเล่า”
เมื่อเห็นว่าบุตรสาวไม่เข้าใจเสียที นางหลี่จึงดึงนางลงไปนั่งบนเตียงแล้วเอ่ยเสียงต่ำว่า “เจ้าคิดบ้างหรือว่าต่อไปอาจมีโอกาสได้ใช้ชีวิตอยู่ข้างกายฮูหยินผู้เฒ่า”
“ท่านแม่หมายความว่าอย่างไร” เจินปิงยิ่งฟังยิ่งงุนงง
“หมอหลวงผู้นั้นบอกแล้วว่า พี่สี่เจ้าคลอดบุตรครั้งนี้ สุขภาพค่อนข้างย่ำแย่ นางอาจจะตกเลือดหลังคลอด…”
เจินปิงลุกขึ้นทันที “ท่านแม่ ท่านพูดอันใดกัน!”
“เจ้าจะพูดเสียงดังไปไย แม่คิดทุกอย่างเพื่อเจ้าทั้งนั้นมิใช่หรือ…”
“ท่านแม่!” เจินปิงมองนางหลี่ด้วยความตกใจ “ท่านหมายความว่าการที่จะให้ข้าแต่งเป็นภรรยาใหม่ของพี่เขยนั้นเป็นการทำเพื่อข้าหรือ”
นางถอยหลังไปหนึ่งก้าวอย่างไม่อยากจะเชื่อว่าวาจานี้มารดาแท้ๆ ของนางจะเป็นคนเอ่ยออกมา หน้าอกนางกระเพื่อมขึ้นลง นางโกรธจนตัวสั่นไปหมด “ทั้งที่พี่สี่กับลูกน้อยปลอดภัยทั้งคู่ แต่ท่านกลับบอกว่าคิดเรื่องเช่นนี้เพื่อลูก ท่านต้องการให้ข้าอับอายจนตายหรือไร”
นางหลี่กลับไม่เข้าใจว่าเจินปิงโมโหด้วยเรื่องใด “เจ้าจะอับอายเรื่องใด ข้ามิได้ให้เจ้าไปแย่งบุรุษกับพี่สี่เจ้าเสียหน่อย ข้าแค่บอกว่าหากเกิดอันใดขึ้นกับนาง หลานสองคนของเจ้าก็ยังเล็กนัก หรือเจ้าไว้ใจสตรีที่หลัวเทียนเฉิงจะแต่งเข้ามาเลี้ยงหลานเจ้าเล่า ข้าแค่ซ่อมหลังคาก่อนฝนตกเท่านั้น หากมีวันนั้นจริงๆ การที่เจ้าแต่งเข้ามาก็เป็นเรื่องที่ดีกับเจ้าและเด็กน้อยทั้งสองนั่น ข้าถึงอยากให้เจ้าทำตัวดีๆ หน่อย…”
“ท่านแม่ ท่านตัดใจเถิด ต่อให้ข้าต้องแก่ตายอยู่ในเรือน เป็นหญิงทึนทึกไปชั่วชีวิตก็จะไม่ยอมแต่งเป็นภรรยาใหม่อันใดนี้แน่” เจินปิงแค่นยิ้มเย็น
“เจ้าช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักคิดจริงๆ!” นางหลี่โกรธยิ่ง
เจินเปิงมองนางด้วยสายตาเฉยชา “หากท่านแม่เกะกะสายตา รู้สึกขายหน้าที่ลูกมิได้ออกเรือนเสียที เช่นนั้นลูกจะโกนผมไปเป็นแม่ชีเสีย!”
นางพูดจบก็หันหลังเดินออกไป ตามด้วยเสียงปิดประตูดังปัง
นางหลี่เห็นเจินปิงเดินออกไปด้วยสีหน้าบูดบึ้งก็โกรธเคือง ด่าทอนางยกใหญ่ แต่มิได้ตามออกไป
หลังจากเดินออกมาแล้ว เจินปิงก็ยกแขนเสื้อขึ้นบังหน้าเพราะแสงแดดด้านนอกแยงตา นางรู้สึกว่าหากตนยืนอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงไปอีกสักหนึ่งเค่อก็จะมีคนคอยหัวเราะเยาะนางอยู่ด้านหลังจึงมิอาจอยู่ที่นี่ต่อไปได้อีก
เพราะตอนมานางนั่งรถม้าคันเดียวกับนางเวินและมารดา ยามนี้จะกลับย่อมมิอาจนั่งรถม้าคันนั้นได้แล้ว เวลานี้นางไม่อยากจะอยู่ในจวนเจิ้นกั๋วกงอีกแล้ว จึงสั่งให้คนไปจ้างรถม้ามาทั้งยังบอกให้บ่าวในจวนเจิ้นกั๋วกงไปแจ้งทุกคนด้วย เมื่อขึ้นบนรถม้าก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองแม้แต่น้อย
ตอนที่นางหลี่ได้ฟังคนที่มารายงานว่าเจินปิงกลับไปแล้ว นางก็โกรธจนกัดฟันแน่น เมื่อเห็นว่านางเวินจะรอจนเจินเมี่ยวฟื้น นางจึงต้องอยู่ที่นี่ต่อเพื่อรอเวลา
ครั้นอาทิตย์ลับหุบเขา แสงไฟถูกจุดขึ้น เจินเมี่ยวก็ฟื้นพอดี
ในระหว่างความเป็นความตายนั้นนางคล้ายฝันไป เป็นฝันที่เหมือนจริงอย่างที่สุด ในฝันนางเห็นญาติพี่น้องที่รักนางในชาติภพก่อนรายล้อมเต็มไปหมด เมื่อได้ยินว่านางจะออกเดินทางไปไกลก็ต่างเอ่ยเตือนนาง
แต่ตอนนั้นนางได้ยินเสียงอันคุ้นเคยคอยเรียกชื่ออยู่ตลอด สุดท้ายนางจึงเลือกจะจากมาอย่างเอาแต่ใจ
และตอนนี้สิ่งที่ปรากฏขึ้นตรงม่านตาก็คือใบหน้าอันคุ้นเคย
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าฟื้นแล้ว อยากดื่มน้ำหรือไม่”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า น้ำเสียงดูอ่อนแรงอยู่บ้าง “ข้าอยากกินขาหมู”