วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 433 นางหลี่ลงมือแล้ว
พิธีอาบน้ำของบุตรชายซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงถูกจัดขึ้นอย่างคึกคัก ตั้งแต่เช้าตรู่ก็มีคนหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย หน้าประตูมีรถม้ามากมายยาวยาวเหยียดดุจมังกร ผู้ที่มาล้วนเป็นเชื้อพระวงศ์และบุคคลสำคัญของราชสำนัก
ยามนี้หยุดเอ่ยถึงความคึกคักที่เรือนหน้าก่อน ที่ห้องโถงตรงนี้กลายเป็นแหล่งรวมสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายไปในทันทีเมื่อเจินเมี่ยวอุ้มเด็กน้อยออกมา
“หึ ผู้คนต่างกล่าวว่าครรภ์แรกได้บุตรชายนั้นมีวาสนายิ่ง แต่ข้าว่าวาสนาของจยาหมิงเซี่ยนจู่คงมากมายเหลือเกินแล้ว ตั้งครรภ์ครั้งแรกก็มีบุตรชายถึงสองคน ช่างทำให้คนรู้สึกอิจฉาจริงๆ!” ผู้ที่พูดคือฮูหยินของขุนนางสกุลเมิ่ง
นางหลี่มองแล้วแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง
ก่อนหน้านี้นางคิดจะให้ปิงเอ๋อร์แต่งกับบุตรชายของขุนนางสกุลเมิ่ง แต่เมิ่งฮูหยินเป็นพวกวางท่าว่าดี สุดท้ายนางจึงรู้ว่าบุตรที่ว่านั้นเป็นบุตรภรรยาเอกแค่เพียงในนาม ความจริงเขาเป็นบุตรของอนุ ช่างรังแกคนเกินไปแล้วจริงๆ!
ชอบวางท่านกับนางนักมิใช่หรือ เหตุใดวันนี้จึงเดินตามเมี่ยวเอ๋อร์จนแทบจะเลียเท้านางไม่ต่างอันใดกับสุนัขตัวหนึ่งเล่า
“โอ๊ะโอ๋ เด็กน้อยสองคนนี้ช่างน่ารักน่าชังนัก แค่เห็นก็รู้แล้วว่าภายหน้าต้องเป็นบุรุษองอาจไม่ธรรมดา” ไม่นานเมิ่งฮูหยินก็ถูกผู้อื่นเบียดออกไปอีกด้าน สตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายที่ปกติมักวางทีท่าสูงศักดิ์ ทระนงตน ยามนี้ต่างเอ่ยชื่นชมเด็กน้อยทั้งสองด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า
นางหลี่แค่นยิ้มเย็นอีกครา
เด็กน้อยที่ยังไม่ลืมแม้ตาประหนึ่งลูกวานร แล้วมองออกได้อย่างไรว่าภายหน้าจะองอาจเหนือผู้คน
ความโกรธและโมโหพุ่งขึ้นในใจนางจึงเผลอขย้ำผ้าเช็ดหน้าโดยมิรู้ตัว
“โอ๊ะโอ๋” เสียงแผ่วต่ำหนึ่งดังขึ้น แล้วตามด้วยเสียงหัวเราะของคนทั้งหลาย ที่แท้เพราะเสียงเกอฉี่รดนางจัง หลานสะใภ้จวนหย่งจยาโหวนั่นเอง
เด็กน้อยทั้งสองมีชื่อเล่นกันแล้ว คนโตชื่อว่าเสียงเกอ มีความหมายว่าโชคดี ส่วนคนรองชื่ออี้เกอ มีความหมายว่าสมปรารถนา เป็นชื่อที่มีความหมายดีและดูเรียบง่าย ฟังครั้งแรกก็รู้สึกว่าต้องเลี้ยงง่ายแน่ๆส่วนนางจังก็คือจังเฉาหวา ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์พระราชนัดดาตัวปลอม สุดท้ายนางถูกไท่โฮ่วตำหนิจนไม่มีตัวตนในจวนโหวไปชั่วระยะหนึ่งเลยทีเดียว
“ต้องขออภัยจริงๆ เด็กๆ มาพาจังฮูหยินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที” เจินเมี่ยวเอ่ยกำชับ
ช่วงเวลาที่พวกนางเป็นสาวน้อยนั้น จังเฉาหวาไม่ชอบหน้าเจินเมี่ยวยิ่ง แต่ตอนนี้กลับยิ้มแย้มเต็มหน้า ผู้ใดไม่รู้คงเข้าใจว่าทั้งสองเป็นสหายสนิทกัน
“เซี่ยนจู่เกรงใจเกินไปแล้ว เช่นนี้เรียกว่าข้าโชคดีต่างหาก”
คนผู้หนึ่งจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ฮูหยินถูกเด็กน้อยฉี่รด หากกลับไปแล้วตั้งครรภ์ขึ้นมาคงต้องเตรียมของขวัญชิ้นใหญ่มาขอบคุณจยาหมิงเซี่ยนจู่แล้ว”
จังเฉาหวาฝืนยิ้มคราหนึ่ง
นางเองก็แต่เข้าจวนหย่งจยาโหวมาหลายปีแล้ว การไม่มีบุตรได้กลายเป็นแผลใจอย่างหนึ่งของนาง ทั้งยังมีเรื่องที่ถูกไท่โฮ่วตำหนิในคราแรก และเรื่องที่ตาของนางสูญเสียความโปรดปรานจากจักรพรรดิเพราะเรื่องเสื้อนวมยัดดอกหลู วันเวลาในจวนหย่งจยาโหวของนางจึงยากลำบากอย่างหนัก ครานี้นางถึงยอมหักความละอายคอยพูดเอาใจเจินเมี่ยว
เมื่อคิดถึงตรงนี้นางจึงนึกบางอย่างขึ้นมาได้ ว่าไปแล้วนางกับเจินเมี่ยวก็คล้ายๆ กัน ต่างแต่งงานมาหลายปีจึงมีบุตร หรือว่านางจะมีวิธีอันใด
รอยยิ้มบนหน้าจังเฉาหวาจึงดูจริงใจขึ้นอีกมากนัก “ใช่แล้ว จยาหมิงเซี่ยนจู่เป็นผู้มีวาสนายิ่ง ไม่แน่ว่าข้าอาจมีบ้างก็ได้ หากเป็นเช่นนั้นคงต้องกลับมาขอบคุณเซี่ยนจู่แน่”
นางคิดในใจว่าคราวหน้าต้องหาโอกาสพบปะกับเจินเมี่ยวเป็นการส่วนตัวสักหน่อย จะได้สอบถามว่านางมีเคล็ดลับอันใดหรือไม่
เจินเมี่ยวฟังคำชื่นชมเยินยอของฮูหยินทั้งหลายด้วยรอยยิ้ม แต่สีหน้ากลับซีดขาวอยู่หลายส่วนจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อบนมือเงียบๆ
นางคิดไม่ถึงว่าการคลอดบุตรจะทำให้ร่างกายอ่อนแอเพียงนี้ นางออกมาแค่เพียงไม่นานแต่เหงื่อกลับไหลซึมไปทั่วกายแล้ว
แม้ว่านางจะเป็นมารดาของเด็กน้อยทั้งสอง แต่เพราะยังอยู่ในช่วงพักฟื้นจึงไม่จำเป็นต้องอยู่รับแขกนางเกินไป แค่ออกมาปรากฏตัวสักหน่อยก็เพียงพอแล้ว
แล้วนางก็ได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้นดั่งคาด “นางเจิน เจ้ากลับไปพักที่ห้องก่อนเถิด”
เจินเมี่ยวเอ่ยขออภัยกับทุกคนแล้วให้สาวใช้ประคองตนเดินจากไป
“น้องสะใภ้รองมองอันใดอยู่หรือ” นางเจี่ยงจิบชาไปคำหนึ่ง แล้วเอ่ยถามเสียงเรียบ
นางหลี่เก็บสายตาตนคืนมาแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าเมี่ยวเอ๋อร์ดูไม่ใคร่มีแรงนัก”
“นางเพิ่งคลอดบุตรครั้งแรก ทั้งยังเป็นแฝด ตอนคลอดต้องใช้กำลังไปมาก ไม่มีแรงก็เป็นเรื่องธรรมดา พักฟื้นสักระยะก็หายแล้ว”
เจินหนิงที่นั่งอยู่ด้านข้างจึงยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “ใช่แล้ว ข้าได้ยินว่าในวังพระราชทานสิ่งของมาให้ไม่น้อย แม้แต่แม่สามีข้าที่มิได้มาในครั้งนี้ยังให้ข้านำหลินจือชั้นดีมาให้นางด้วย มีของล้ำค่าหายากไว้บำรุงเช่นนี้ อย่างไรก็ต้องแข็งแรงในเร็ววัน”
“จริงของเจ้า” นางหลี่กระตุกมุมปากขึ้นคราหนึ่ง
ตั้งแต่ที่เจินหนิงปฏิเสธในการช่วยหาคู่ครองให้เจินปิง นางหลี่ก็ไม่ชอบนางยิ่ง แต่เพราะนางเป็นสะใภ้ของเจาอวิ๋นจั่งกงจู่จึงมิอาจแสดงสีหน้าอันใดออกมาได้
“เหตุใดน้องห้าจึงไม่มาเล่า” เจินเหยียนที่ยืนอยู่อีกด้านเอ่ยถามขึ้น
ในบรรดาพวกนางพี่น้อง นอกจากเจินจิ้งที่เข้าไปเป็นอนุของเฉินอ๋องทำให้มิอาจมาสมาคมกับสตรีสูงศักดิ์ในเมืองหลวงได้อีกต่อไปแล้วก็มีเจินอวี้ที่ออกเดินทางไกลยังมิกลับมา
วันนี้ก็ขาดเพียงเจินปิงแล้ว
“นางหรือ เมื่อวานตากลมมากไปทำให้ไม่สบาย ข้าจึงมิให้นางมา” นางหลี่เอยถึงเจินปิงด้วยสีหน้ามิใคร่สบอารมณ์นัก
น่าตายนัก วันนี้เป็นโอกาสอันดีที่จะได้แสดงตน แต่เจินปิงกลับบอกว่าป่วยมิอาจมาได้ ทำให้นางโมโหจริงๆ
นางเจี่ยงชำเลืองมองนางหลี่ด้วยสีหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
นางหลี่เห็นสายตานั้นแล้วก็ยิ่งรู้สึกย่ำแย่จึงโมโหหงุดหงิดมากขึ้นกว่าเดิมอีก
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นดีเห็นงามกับการเกี่ยวดองกับจวนหย่วนเวยโหว นางเจี่ยงจึงยิ้มเยาะนางใช่หรือไม่
ไม่ได้การแล้ว นางจะไม่ยอมให้การแต่งงานนั้นมันเกิดขึ้นเด็ดขาด อย่างไรก็ต้องหาทางหยุดยั้งให้ได้!
นางหลี่ใจลอยไปไกลกระทั่งเจินเหยียนร้องเรียกอีกครา “ป้าสะใภ้รอง” นางจึงตื่นจากภวังค์ “มีอันใดหรือ”
เจินเหยียนขมวดคิ้วคราหนึ่งแล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไม่มีอันใด แค่เมื่อครู่ข้ากับพี่ใหญ่คุยกันว่าหากพิธีเลิกแล้วจะไปเยี่ยมน้องสี่สักหน่อย ท่านย่ากับท่านแม่ก็จะไปด้วย ท่านจะตามป้าสะใภ้ใหญ่กลับจวนไปก่อน…”
วาจายังมิทันเอ่ยจบนางหลี่ก็เอ่ยตัดบทขึ้นว่า “ข้าก็จะไปเยี่ยมด้วยเช่นกัน!”
เมื่อเห็นสายตาแปลกใจของเจินเหยียน นางหลี่จึงยิ้มคราหนึ่ง “วันนี้แม้กลับจวนไปก็ไม่มีอันใดทำ อีกอย่าง น้องห้าเจ้ายังฝากให้ข้ามาขออภัยกับเมี่ยวเอ๋อร์แทนนางด้วย”
รอจนพิธีเลิก ฮูหยินทั้งหลายต่างก็ไปดูละคร นางเจี่ยงมีธุระจึงกลับจวนก่อน ฮูหยินผู้เฒ่าและคนอื่นจึงไปที่เรือนเจินเมี่ยว
“ท่านย่า เหตุใดทุกคนจึงไม่ไปดูละครเล่า” เจินเมี่ยวกำลังจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับถูกนางเวินห้ามไว้ ทั้งยังให้นางนอนพิงหมอนอิงใบใหญ่อีกด้วย
“เมี่ยวเอ๋อร์ ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” ฮูหยินผู้เฒ่าจวนเจี้ยนอานปั๋วถามขึ้น
เจินเมี่ยวมีสีหน้าอ่อนเพลียอยู่หลายส่วนแต่ใจของนางกลับเบิกบานยิ่ง นางจึงเผยรอยยิ้มสดใสคราหนึ่ง “สองวันนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว แต่ยังต้องดื่มยา ขมแทบตายเจ้าค่ะ”
ขณะกำลังพูด ชิงไต้ก็เดินเข้ามา “ต้าไหน่ไหน่ ได้เวลาดื่มยาแล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวขมวดคิ้ว “วางไว้ก่อนเถิด ให้ข้ากินพุทราเคลือบน้ำผึ้งสักสองลูกค่อยดื่ม”
แม้ยานี้จะบำรุงร่างกายแต่เมื่อดื่มเข้าไปนั้นมันช่างขมเหลือเกินจริงๆ
เจินเหยียนหลุดหัวเราะออกมา “น้องสี่ ผู้อื่นเขาดื่มยาเสร็จค่อยกินผลไม้เชื่อม เหตุใดเจ้าจึงทำตรงกันข้ามเสียแล้ว เช่นนั้นมิยิ่งกินยิ่งขมหรอกหรือ”
เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “พี่รอง ท่านไม่รู้อะไร ข้าฉวยโอกาสตอนที่ความหวานของพุทราเคลือบน้ำผึ้งยังติดอยู่ในปากดื่มยาเสีย แล้วค่อยกินพุทราเคลือบน้ำผึ้งอีกรอบ เช่นนี้มิใช่ดีกว่าหรอกหรือ”
ชิงไต้วางถ้วยยาไว้บนโต๊ะด้านข้าง แล้วยกจานใส่พุทราเคลือบน้ำผึ้งเข้ามาส่งให้เจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวกินเข้าไปคำหนึ่งก็เผยรอยยิ้มพอใจออกมา
รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความสุขคล้ายความหวานล้ำของพุทราเคลือบน้ำผึ้งอย่างไรอย่านั้น นางหลี่เห็นแล้วก็ได้แต่อดกลั้นไว้ นางเก็บมือเข้าไปในแขนเสื้อแล้วขย้ำห่อกระดาษห่อหนึ่งอย่างอดมิได้
ในห่อกระดาษนั้นเป็นยาที่นางซื้อไว้อย่างมิอาจห้ามใจไหวหลังจากกลับถึงจวนในวันนั้น มันคือสำราญอุรา
ยาสำราญอุราเป็นยาชนิดหนึ่งในรัชสมัยก่อน หากสตรีปวดท้องอย่างรุนแรงยามมีระดูกินมันเข้าไปก็จะช่วยผ่อนคลายความเจ็บปวด แต่ภายหลังมีสตรีที่เพิ่งคลอดบุตรเผลอกินมันเข้าไปและตกเลือดหลังคลอดจนตาย เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นติดต่อกันอยู่หลายครา หนึ่งในนั้นคือจวิ้นจู่ผู้มีบรรดาศักดิ์สูงส่ง จักรพรรดิกริ้วมากมันจึงกลายเป็นยาต้องห้ามไปทันที
กระทั่งยามนี้แม้มันจะมิใช่ยาต้องห้ามอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ยังหาซื้อได้ยากยิ่งอยู่ดี
ทว่าสำหรับคนที่กล้าควักเงินก้อนโตจ่ายนั้น ขอเพียงมีขายก็ไม่มีทางหาซื้อไม่ได้แน่ ดังนั้นยาสำราญอุราจึงตกมาอยู่มือนางหลี่
หางนางนางกวาดมองถ้วยยานั้นอย่างรวดเร็ว
ยาถ้วยนั้นวางอยู่บนโต๊ะ บังเอิญเหลือกินที่มันตั้งอยู่ข้างมือขวาของนางเสียด้วย
นางหลี่ใจเต้นตึกตักด้วยความตื่นเต้น
หากจะบอกว่านางซื้อยาสำราญอุรามาพักติดกายไว้นั้นก็เพื่อหวังจะเอาชีวิตเจินเมี่ยวนั้นย่อมไม่ใช่อย่างแน่นอน เพราะนางไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาสอันดีเช่นนี้เลย หรืออีกอย่างหนึ่งคือทุกอย่างที่นางทำกระทั่งถึงนี้นั้นเป็นเพียงการปลอบใจตนเองอย่างหนึ่งเท่านั้น
ทว่ายามนี้ถ้วยยานั้นอยู่ใกล้นางเพียงคืบ ขอเพียงยาลูกกลอนขนาดเท่าเม็ดข้าวใส่ลงไป เช่นนั้น…ทุกอย่างก็มิใช่เป็นดั่งปรารถนาแล้วหรือ
ขอแค่เจินเมี่ยวตาย…
ใช่แล้ว หากนางตาย เช่นนั้นเรื่องมงคลที่จะเกิดขึ้นย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ ฮูหยินผู้เฒ่ารักเอ็นดูเมี่ยวเอ๋อร์เพียงนี้ คงไม่มีกะจิตกะใจพูดเรื่องงานมงคลของปิงเอ๋อร์ในขณะที่เมี่ยวเอ๋อร์เพิ่งจากไปแน่
ถึงตอนนั้นนางเด็กน้อยทั้งสองก็จะไร้มารดา นางจะได้เอ่ยเตือนว่าหลัวซื่อจื่อยังหนุ่มแน่นเกรงว่าหลังจากแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอาจจะไม่เป็นผลดีต่อเด็กน้อยทั้งสอง เช่นนี้การที่ปิงเอ๋อร์จะได้แต่งเข้ามาก็เป็นเรื่องที่แน่นอนถึงเก้าในสิบส่วนแล้ว
นางหลี่ใจเต้นรัวขึ้นทุกที นางชำเลืองมองคราหนึ่งอย่างรวดเร็ว
คนในห้องต่างรายล้อมพูดคุยกันกับเจินเมี่ยว เพราะคนมาก สาวใช้คนอื่นจึงไม่ได้อยู่ในห้องด้วย มีเพียงสาวใช้ที่ยกยาเข้ามากำลังดูแลให้เจินเมี่ยวกินผลไม้เชื่อม
นางจึงมองยาถ้วยนั้นอีกครา น้ำของมันเป็นสีดำคล้ายถ้ำมืดแห่งหนึ่งที่ดึงดูดใจให้คนอยากเข้าไป
นางหลี่กำห่อกระดาษที่เปียกชื้นไปหมดเพราะเหงื่อในมือ และชั่วขณะนั้นนางก็ตัดสินใจได้แล้ว
อย่าได้ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป เพราะหากหลุดไม่แล้วย่อมมิอาจกลับมาได้อีก เพื่อความสุขของปิงเอ๋อร์นางจะยอมเสี่ยงสักครา!
นางหลี่จ้องทุกคนนิ่ง นางใช้มือที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อแก่ห่อกระดาษออกแล้วแสร้งยื่นมือไปหยิบถ้วยชาบนโต๊ะ ใช้แขนเสื้อที่กว้างนั้นบังไว้แล้วรีบใส่ยาสำราญอุราลงไปในถ้วยยา
กระทั่งนางยกถ้วยชาขึ้นดื่ม ห่อกระดาษนั้นก็ถูกขย้ำเป็นก้อนแล้วยัดเก็บในแขนเสื้อนางเช่นเดิมแล้ว นางจึงโล่งอกลงได้
เวลานี้เองชิงไต้ก็ยกถ้วยยาขึ้น “ต้าไหน่ไหน่ ได้เวลาดื่มยาแล้วเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวกินผลไม้เชื่อมไปแล้วนางจึงไม่บ่ายเบี่ยงอีก ทั้งยังยื่นมือออกมารับอย่างอารมณ์ดีอีกด้วย “เอามาเถิด”
มือที่ยื่นออกไปนั้นขาวเนียนราวไขมันแช่แข็ง กำไลหยกชั้นดีที่นางสวมอยู่ยิ่งขับให้ผิวงดงามราวหยก จนคนที่เห็นตาลายไปหมดแล้ว
หยกที่แวววาวเช่นนั้น นางมิอาจหาได้สักชิ้น ไม่ว่าจะเป็นเครื่องประดับที่เป็นสินเดิมของนางหรือแม้แต่ที่นางซื้อมาเพิ่มหลังจากแต่งเข้าจวนปั๋วแล้วก็ตาม
ความตื่นเต้นที่มีแต่เดิมของนางในเวลานี้ค่อยๆ หายไปเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ นางมองเจินเมี่ยวรับถ้วยยาไปด้วยท่าทีสงบนิ่ง
แล้วถ้วยก็ร่วงตกลงพื้นไป
เจินเมี่ยวมองชิงไต้คราหนึ่งด้วยความแปลกใจ