วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 440 ระวังทุกย่างก้าว
จวินเฮ่าดูผอมลงไปเล็กน้อยแต่กลับยิ่งดูรูปงามดั่งเซียน หิมะแรกในสวนดอกไม้ยังคงเกาะติดอยู่บนยอดไม้ เขาสวมชุดสีขาวทั้งร่างเดินเข้ามา ด้านหลังมีเด็กน้อยใส่ชุดสีเขียวอุ้มพิณตามมา ช่างเพื่อนเซียนในหมู่มนุษย์จริงๆ
เมื่อบุคคลดั่งเซียนผู้นี้พบเจินเมี่ยว เขาพลันชะงักไปและหยุดฝีเท้าลง
เจินเมี่ยวที่เดิมคิดจะเดินผ่านไปเสียจึงจำต้องหยุดทักทายด้วยเช่นกัน “คุณชายจวิน”
“เจินฮูหยิน” จวินเฮ่ากวาดตามองใบหน้าอันขาวซีดของเจินเมี่ยว ในแววตาอันอบอุ่นนั้นมีความเป็นห่วงอยู่หลายส่วน “สีหน้าฮูหยินดูไม่ดีเลย ไม่สบายใช่หรือไม่”
เจินเมี่ยวอึ้งไป นางเพียงรู้สึกว่าคนผู้นี้ไยต้องใส่ใจกับคนที่รู้จักกันเพียงผิวเผินด้วย แต่ยังคงยิ้มตอบตามมารยาทว่า “มิเป็นอันใดมาก คุณชายจะไปบรรเลงพิณกระมัง เช่นนั้นเราขอตัวก่อนแล้ว”
โอกาสที่จะได้พบกับเจินเมี่ยวนั้นมีน้อยยิ่ง แม้ฉงสี่เซี่ยนจู่อยู่ด้วย เขาก็ยังอดร้องขึ้นมามิได้ว่า “เดี๋ยวก่อน”
“คุณชายจวินมีเรื่องอันใดหรือ” เจินเมี่ยวหุบยิ้มทันใด
จวินเฮ่าอยากจะรู้จริงๆ ว่าเหตุใดตั้งแต่ได้พบนางในวัดต้าฝูครั้งนั้นเขาก็แปลกไป เขารู้สึกอยู่บ่อยๆ ว่าเคยพบนางที่ไหนสักที่ ระยะนี้ยิ่งประหลาดเข้าไปใหญ่ ในฝันของเขามักมีภาพคนทั้งสองอยู่ด้วยกันเสมอ เมื่อตื่นขึ้นกลับลืมสิ้นจนหมด ทว่าความงุนงงสงสัยนั้นกลับติดอยู่ในใจไม่รู้คลาย กระทั่ง…
กระทั่งคืนนั้นเขาฝันว่าได้รับกลอนมาบทหนึ่ง เมื่อตื่นขึ้นกลับยังจำมันได้อย่างชัดเจนจึงรีบบันทึกเอาไว้
จวินเฮ่าล้วงมือเข้าไปในอกแล้วหยิบผ้าผืนหนึ่งออกมา เขายิ้มแล้วเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจินฮูหยินเก่งกาจด้านบทกลอน เคยอ่านบ้างหรือไม่”
เขาคลี่ผ้าออก แม้สีหน้าจะดูเรียบเฉยแต่กลับยากจะปิดบังความตื่นเต้นในแววตาได้
เจินเมี่ยวรู้สึกรำคาญใจยิ่ง
อากาศหนาวเช่นนี้ ทั้งนางยังแกล้งป่วยอยู่ด้วย ผู้ใดจะมีอารมณ์มาอ่านกลอนเล่า นางอยากจะกลับไปให้นมบุตรเหลือเกินแล้ว
นางหรี่ตามองอย่างไม่ใส่ใจนัก แต่กลับตะลึงลานไปทันที นางรับผ้าผืนนั้นมาอย่างมิอาจห้ามตนได้
“หากเป็นดั่งแรกพบรัก เหตุใดจักต้องพรากจากหาย ยามนี้คนเปลี่ยนไป แต่เฉไฉบอกคนรักมักเปลี่ยนง่าย…”
“เป็นกลอนที่ดียิ่ง!” ฉงสี่เซี่ยนจู่ที่อยู่ข้างๆ เห็นแล้วก็อดเอ่ยชมมิได้
เจินเมี่ยวจึงมีสติคืนมา นางมองจวินเฮ่าด้วยความตกตะลึงอยู่หลายส่วน
หรือที่นางรู้สึกมาตลอดว่าคนผู้นี้ดูแปลกๆ เพราะเขาเป็นคนบ้านเดียวกับนาง!
ใช่แล้ว เขาต้องเคยได้ยินเรื่องที่นางเขียนบทกวีนั้นให้กับซื่อจื่อแน่ถึงได้มาหานางเพื่อพิสูจน์ความจริง
“เจินฮูหยินคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง” จวินเฮ่ามองเจินเมี่ยวคล้ายต้องการให้นางตอบให้ได้
เจินเมี่ยวเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตน “เป็นบทกลอนที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
แต่ในใจนางกลับเอ่ยว่าคนผู้นี้ช่างไม่ฉลาดเอาเสียเลย ต่อให้รู้ว่ามาจากที่เดียวกันแต่คงไม่สะดวกที่จะพูดคุยกันตรงนี้แน่ ทั้งยังพูดต่อหน้าคนมากมายถึงเพียงนี้ อีกอย่างแม้รู้ว่ามาจากที่เดียวกันแล้วอย่างไรเล่า กลับไปไม่ได้แล้วเสียหน่อย หรือต้องให้มองหน้าน้ำตาคลอเพราะได้พบกับคนบ้านเดียวกัน
เมื่อเห็นท่าทีแปลกไปของเจินเมี่ยว จวินเฮ่าจึงอดถามมิได้ว่า “กลอนนี้ ฮูหยินเป็นคนแต่งหรือไม่”
เขามีลางสังหรณ์ว่าหากพลาดครั้งนี้ไปแล้ว คนทั้งสองคงยากจะมีโอกาสได้พบกันอีก เขาจึงต้องถามให้แน่ใจถึงจะรามือ
เจินเมี่ยวมีสีหน้าปั้นยากขึ้นมาทันที
คล้ายมีสิ่งใดไม่ถูกต้อง!
นางทำใจให้นิ่งอย่างรวดเร็วแล้วกลับมามีท่าทีปกติเช่นเดิม “คุณชายจวินเย้าเล่นแล้ว ข้าความรู้น้อย ไหนเลยจะเขียนบทกลอนเช่นนี้ได้”
ความผิดหวังบนใบหน้าของจวินเฮ่านั้นชัดเจนยิ่ง
ต่อให้เจินเมี่ยวโง่เขลาเพียงใดก็รู้ได้ในทันทีว่าคนตรงหน้าไม่มีทางมาจากที่เดียวกันกับนางแน่ ทว่าบทกลอนนี้เขาได้แต่ใดมาเล่า นางกดความสงสัยตนไว้แล้วเอ่ยอย่างไม่คิดจะอยู่ต่อว่า “ไม่รบกวนเวลาคุณชายแล้ว”
เมื่อเห็นคนผู้นั้นรีบร้อนจากไป จวินเฮ่าก็ถอนสายตากลับมาทันที เขาได้แต่ยิ้มเยาะตนแล้วก้าวเท้ามุ่งหน้าไปยังห้องรับรองที่จัดงานเลี้ยงฉลองอยู่
เสียงรถม้าเหยียบบดลงบนหิมะที่กองอยู่บนพื้นเกิดเป็นเสียงกึกๆ กักๆ ภายในรถกลับเงียบสงบยิ่ง
“จยาหมิง เจ้ากับคุณชายจวินผู้นั้น คุ้นเคยกันมากหรือ” ฉงสี่เซี่ยนจู่เอ่ยทำลายความเงียบลง
เจินเมี่ยวที่เอาแต่จมดิ่งกับความคิดได้ยินเช่นนั้นจึงส่ายหน้า “เคยพบหน้ากันแค่ไม่กี่ครา”
ฉงสี่เซี่ยนจู่จึงยิ้ม “ท่าทีที่เขามีต่อเจ้าออกจะแปลกอยู่สักหน่อย ประหนึ่งได้พบคนคุ้นเคยกันกระนั้น”
ประกายไฟสายหนึ่งวาดผ่านความคิดของเจินเมี่ยวไปทำให้ความสับสนทุกอย่างสลายหายไป
นางนึกถึงท่าทีเข็นเขี้ยวเคี้ยวฟันยามหลัวเทียนเฉิงเอ่ยถึงจวินเฮ่า ทั้งยังมีเรื่องความฝันนั้นที่เขาเคยพูดถึงอีก นางจึงเริ่มเข้าใจต้นสายปลายเหตุขึ้นมาลางๆ แล้ว
“อาจจะใช่กระมัง”
ขณะกำลังพูดอยู่ ชิงไต้ได้กระโจนเข้ามาดึงร่างนางให้หมอบลง ส่วนเหยาหงก็กระโจนเข้าหาฉงสี่เซี่ยนจู่ ลูกธนูดอกหนึ่งพุ่งเข้าทางหน้าต่าง ปักแน่นลงบนผนังภายในรถม้า
เหยาหงจึงกระโดดลงจากรถม้าวิ่งตามออกไป
คนทั้งสองที่อยู่ในรถม้าต่างอึ้งงันแล้วสบตากันเลิกลัก
พลันได้ยินเสียงอาหู่ที่อยู่ด้านนอกตะโกนขึ้นว่า “ต้าไหน่ไหน่ ท่านเป็นอันใดหรือไม่ ตอนนี้เราหนีจากธนูลับนั้นได้แล้ว”
“อาหู่ ควบม้าเร็วอีกหน่อย รีบกลับจวนกันเถิด” เจินเมี่ยวร้องเสียงสูงขึ้น
รถม้าเร่งความเร็วขึ้นอีก ไม่นานเหยาหงก็กลับมา นางส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตามไม่ทัน อีกฝ่ายซ่อนอยู่ในที่ลับ ธนูดอกแรกน่าจะยิงเข้าใส่คนควบรถม้า เมื่อไม่สำเร็จ มันจึงยิงเข้ามาในรถม้าอีกหลายดอกแล้วหนีไป”
เจินเมี่ยวเข้าใจความหมายของเหยาหงทันที
ดูท่าคนในที่ลับผู้นั้นคงคิดจะจับเป็น แต่เมื่อโจมตีไม่ได้จึงยิงสุ่ม หากนางตายคงดีไม่น้อย แต่ถ้าไม่ตายก็ไม่เป็นอันใด จึงได้หนีไปทันที
โชคดีที่การเดินทางหลังจากนั้นเป็นไปอย่างราบรื่น ไม่นานนางก็กลับถึงจวนเจิ้นกั๋วกง
“จยาหมิง เกิดอันใดขึ้น เจ้าไปมีเรื่องกับผู้ใดมาหรือ”
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “เกรงว่าคงมิใช่เรื่องธรรมดาแน่ ฉงสี่ อย่าเพิ่งกลับเลย รอให้ทุกอย่างกระจ่างก่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที ข้าจะให้คนส่งจดหมายไปที่วังองค์หญิงก่อน”
หลัวเทียนเฉิงยังไม่กลับจวน เจินเมี่ยวกลัวว่าฮูหยินผู้เฒ่าจะเป็นกังวล จึงมิได้บอก ได้แต่ลอบกำชับองครักษ์กับบ่าวไพร่ในจวนให้ระแวดระวังไว้ แล้วแบ่งอีกหลายไปคอยเดินลาดตระเวนภายในจวน ทั้งยังลอบส่งคนอีกสองสามคนออกไปสอบถามสถานการณ์ภายนอก
เมื่อถึงยามพลบค่ำ ฉงสี่เซี่ยนจู่กลับอดรนทนไม่ได้แล้ว นางจึงเอ่ยว่า “ข้ากลัวพระมารดาจะเป็นห่วง คงมิอาจค้างแรมอยู่ข้างนอกได้”
เวลานี้เองไป่หลิงก็เข้ามารายงานว่า “ต้าไหน่ไหน่เจ้าค่ะ มีคนมาจากวังจั่งกงจู่เจ้าค่ะ”
“รีบเชิญเข้ามาเร็ว”
ผู้ที่มาคือหญิงรับใช้คนสนิทของจั่งกงจู่นั่นเอง เมื่อนางเข้ามาก็เอ่ยว่า “เซี่ยนจู่ จั่งกงจู่ให้บ่าวมาเรียนว่าข้างนอกไม่ปลอดภัย วันนี้ให้ท่านพักอยู่ที่นี่ก่อนเจ้าค่ะ”
ฉงสี่เซี่ยนจู่ใจเต้นรัวขึ้นมา นางสอบถามสาวใช้ผู้นั้นอยู่หลายคำ แต่นางก็บอกอันใดมิได้ จึงให้นางออกไป แล้วหันมาพูดกับเจินเมี่ยวด้วยสีหน้าจริงจังว่า “จยาหมิง เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่”
เจินเมี่ยวยิ้มขื่นพลางเอ่ยว่า “เกรงว่าคงมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่จวนอานจวิ้นอ๋องแล้ว อย่างไรก็รอดูก่อนเถิด”
เมื่อเวลาล่วงเข้าราตรี หลัวเทียนเฉิงจึงกลับมาเสียที บนชุดเกราะของเขามีรอยเลือดกระจายเป็นจุดๆ เขาเข้ามากอดเจินเมี่ยวไว้ทันทีโดยไม่สนแม้จะถอดมันออกก่อน “เจี๋ยวเจี่ยว ข้ากลับมาแล้ว”
เจินเมี่ยวมือเย็นไปหมด นางรีบรินชาร้อนให้เขาทันที
หลัวเทียนเฉิงดื่มหมดในคราวเดียวแล้วจึงเอ่ยว่า “อานจวิ้นอ๋องร่วมมือกับตู้เยี่ยนเซิงก่อกบฏจึงเกิดการสู้กันทั้งภายในและนอกวัง ยังดีที่ข้าเตรียมการไว้นานแล้วจึงช่วยฝ่าบาทเอาไว้ได้”
เจินเมี่ยวฟังแล้วใจเต้นรัวด้วยความตกใจ “แล้วเหตุใดจึงกลับมาดึกนักเล่า”
หลัวเทียนเฉิงแค่นยิ้มเย็น “อานจวิ้นอ๋องเป็นคนฉลาดนัก เขาฉวยโอกาสกักตัวคนที่ไปร่วมงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของพระชายาเพื่อดึงความสนใจของบรรดาขุนนาง หลังจากจัดการเขาได้แล้ว ข้าจึงต้องไปช่วยคนที่จวนอานจวิ้นอ๋องอีกทำให้เสียเวลาไปมาก”
เขานึกถึงคำพูดก่อนตายของอานจวิ้นอ๋องขึ้นมา ความเย็นเยียบสายหนึ่งพลันแพร่กระจายไปทั่วหัวใจ