วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 442 อดีต
สายตาจวินเฮ่ามองผ่านฝูงชนออกไปยังที่ไกลแสนไกล
“คุณชายจวิน คุณชายจวิน…” ไม่ทราบผู้ใดที่ร้องเรียกขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นก็มีคนมากมายร้องเรียกตาม ในกลุ่มนี้นั้นเป็นสตรีเสียส่วนมาก สถานการณ์พลันอลหม่านขึ้น
เจ้าหน้าที่เห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงรีบร้องขึ้นว่า “ถึงเวลาแล้ว…”
เวลานี้เองเสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ช้าก่อน!”
สตรีสวมชุดสีเขียวควบม้าเข้ามา ฝูงชนจึงเปิดทางให้โดยปริยาย เมื่อมาใกล้ก็กระโดดลงจากหลังมาแล้ววิ่งเข้าไป
เจ้าหน้าที่ต่างรีบเข้าไปขวางไว้ สตรีชุดเขียวจึงร้องขึ้นอย่างโกรธเกรี้ยวว่า “บังอาจ ข้าเป็นนางกำนัลขององค์หญิงฟางโหรว ได้รับคำสั่งให้มาส่งคุณชายจวินเป็นครั้งสุดท้าย”
เจ้าหน้าที่ต่างมองหน้ากัน เมื่อเห็นสตรีชุดเขียวชูป้ายขึ้นมาจึงหันไปมองเพชฌฆาต
เพชฌฆาตจึงเอ่ยว่า “รีบหน่อยแล้วกัน”
สตรีชุดเขียวเดินผ่านเจ้าหน้าที่เข้าไปหาจวินเฮ่า นางร้องขึ้นว่า “คุณชายจวิน องค์หญิงทรงซาบซึ้งและขอบคุณในพระคุณที่ท่านช่วยชีวิตไว้ จึงให้บ่าวนำสุรามาส่งท่านเป็นครั้งสุดท้ายเจ้าค่ะ”
นางคุกเข่าลง แล้วรินสุราส่งให้เขา ทั้งยังกระซิบแผ่วเบาและรีบร้อนว่า “คุณชายจวิน สุรานี้จะทำให้โลหิตไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดจนคล้ายคนที่ตายไปแล้ว ท่านจะปลอดภัย เรื่องหลังจากนี้มีคนจัดการไว้ให้หมดแล้ว”
จวินเฮ่าอึ้งไป เขารับสุรามาแต่กลับวางไว้ข้างกายแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “แม่นาง มีขลุ่ยหรือไม่”
สตรีชุดเขียวอึ้งไป
จวินเฮ่ายิ้มเยาะตนคราหนึ่ง “ข้าโง่เขลาเอง ผู้ใดจะพกขลุ่ยติดกายตลอดเวลาเล่า”
เขาชี้นิ้วออกมา “หากเป็นไปได้ แม่นานช่วยเก็บใบไม้ตรงนั้นให้ข้าสักใบได้หรือไม่”
สตรีชุดเขียวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บใบไม้หลายใบส่งให้จวินเฮ่า
ใบไม้นั้นยังคงมีเกล็ดหิมะติดอยู่ด้วยซ้ำ จวินเฮ่าเลือกมาหนึ่งใบแล้วเช็ดมันอย่างแผ่วเบา
เขาเป็นบุคคลที่เกิดมาเพื่อดึงดูดสายตาผู้คน ทุกอิริยาบถกลายเป็นภาพอันสวยงามดึงดูดความสนใจของคนจำนวนมาก
แต่เขากลับวางใบไม้ลงบนริมฝีปากอย่างไม่รับรู้อันใดแล้วค่อยๆ เป่าออกมาเป็นทำนอง
บทเพลงนั้นคือ ‘คะนึงหา’
เขาเป่าไปพลางสอดสายตาไปยังทิศทิศหนึ่ง กระทั่งบทเพลงจบลง คนทั้งหลายดั่งตกอยู่ในมนต์สะกด แต่เขากลับหัวเราะออกมาแผ่วเบา สุดท้ายจึงก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง
ตอนที่สตรีชุดเขียวตื่นจากภวังค์ขึ้นมาก็เหลือเวลาไม่มากแล้ว นางจึงพูดด้วยความตึงเครียดอยู่หลายส่วนว่า “คุณชายจวิน ดื่มสุราเถิด”
จวินเฮ่ายิ้มจางๆ “สุราล่ำลาข้าได้ดื่มไปเรียบร้อยแล้ว มิจำเป็นต้องดื่มอีก”
“คุณชายจวิน ท่าน…” สตรีชุดเขียวร้อนใจเป็นการใหญ่
นางบอกว่าตนรับคำสั่งจากองค์หญิงฟางโหรวให้มาส่งเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่ความจริงเป็นไท่โฮ่วต่างหากที่สั่งให้นางมาเพื่อรักษาชีวิตของคุณชายจวินไว้ แม้นางไม่รู้เพราะเหตุใด แต่ก็รู้ดีว่าหากทำไม่สำเร็จ กลับไปคงต้องโดนลงโทษแน่
เดิมคิดว่าเป็นเรื่องที่อย่างไรก็สำเร็จไปแล้วเก้าในสิบส่วน ผู้ใดจะรู้ว่าบนโลกนี้ยังมีคนที่ยินดีตายจริงๆ!
“คุณชายจวิน เวลาเหลือไม่มากแล้วนะเจ้าคะ!” นาไม่กล้าพูดให้ชัดเจนกว่านี้จึงได้แต่พูดเป็นนัยเท่านั้น
จวินเฮ่ากลับมองยังทิศอื่น และไม่สนใจนางอีก
เมื่อดื่มสุราเข้าไป ขอบตาก็ร้อนผ่าวขึ้นมา ในห้วงอันเลือนรางนั้นมีสตรีที่แสนคุ้นตาผู้หนึ่งขยับเข้ามาใกล้ เสียงอันหวานใสดังขึ้นข้างหูว่า “หากเป็นดั่งแรกพบรัก คงดีไม่น้อย”
เวลานี้เองเพชฌฆาตก็ตะโกนเสียงดังว่า “เชิญผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากลานประหารให้หมด”
สตรีชุดเขียวจึงยอมถอยออกไปด้วยใบหน้าบึ้งตึง แล้วก็ได้ยินเสียงดังขึ้นว่า “ถึงเวลาแล้ว ประหาร!” พริบตาศีรษะคนจำนวนนับสิบก็ร่วงลงพื้น
หนึ่งในนั้นมีศีรษะหนึ่งที่งดงามที่สุดกลิ้งหลุนๆ ไปอีกด้าน ใบหน้านั้นดูสงบนิ่งไร้ความหวาดกลัวใดๆ มุมปากเคลือบด้วยรอยยิ้ม
เสียงกรีดร้องดังขึ้นเป็นระลอก ทั้งยังมีเสียงร้องไห้ของเด็กอีกด้วย สุดท้ายจึงแยกย้ายกันไปไม่เหลือสักคน แม้แต่ศพเหล่านั้นก็ถูกเก็บไปด้วย เหลือเพียงรอยเลือดสดๆ ที่สาดกระจายย้อมผืนหิมะให้กลายเป็นสีแดง
เพราะเรื่องร้ายแรงที่เกิดขึ้นทำให้เหมันต์ในปีนี้ผ่านไปอย่างเงียบเหงา เจาเฟิงตี้เริ่มกลับมาป่วยกระเสาะกระแสะอีกครั้ง แม้แต่หลัวเทียนเฉิงก็น้อยนักที่เขาจะเรียกหา มีเพียงฝูเฟิงเจินเหรินเท่านั้นที่ยังไม่หมดความโปรดปราน เขาเข้าวังอยู่บ่อยครั้ง คอยสนทนาพูดคุยเรื่องชีวิตที่เป็นอมตะกับโอรสสวรรค์ผู้เลอะเลือน
เรื่องในอดีตได้ถูกวันเวลาที่ผ่านไปอย่างเชื่องช้ากลบถมไว้ในที่ที่ลึกที่สุด หลัวเทียนเฉิงสงสัยมาตลอดกับคำพูดสุดท้ายก่อนตายของอานจวิ้นอ๋อง เขาจึงเริ่มสืบอย่างเงียบๆ แต่กลับไร้ความคืบหน้าใดๆ ทั้งสิ้น
เขาก็เคยสงสัยเหมือนกันว่าอานจวิ้นอ๋องอาจจะแค่พูดไปเช่นนั้นเองเพื่อให้เขาเกิดความระแวงขึ้นในใจ และรอวันที่จักรพรรดิและขุนนางจะเข็นฆ่ากันเอง
หากความจริงเป็นเช่นนั้นก็เกรงว่าอานจวิ้นอ๋องคงต้องผิดหวังแล้ว เพราะด้วยสภาพของเจาเฟิงตี้ในตอนนี้คงรอไปจนถึงวันนั้นมิได้แน่
หลัวเทียนเฉิงลองหยั่งเชิงถามฮูหยินผู้เฒ่าดูว่า “ท่านย่า ตอนนั้นท่านพอสิ้นไปด้วยเหตุใดหรือขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าก็มิได้ปิดบังเขาอีก นางจึงเล่าตั้งแต่บุตรชายคนโตถูกธนูลับยิงเข้าใส่ เจิ้นกั๋วกงตกม้า การสืบหาเรื่องราวของนายท่านสี่จนกระทั่งหายตัวไป ทุกเรื่องที่ได้ฟังล้วนทำให้หลัวเทียนเฉิงเหน็บหนาวไปจนถึงขั้วหัวใจ
ฮูหยินผู้เฒ่าลังเลอยู่นานในที่สุดก็พูดขึ้นอีกว่า “แม้แต่มารดาเจ้า ข้าก็ยังสงสัยว่านางมิได้ฆ่าตัวตาย ตอนนั้นเจ้ายังเล็กนัก เกรงว่าคงจำไม่ได้ มารดาเจ้าเป็นคนเข้มแข็งยิ่ง ข้าคิดว่าอย่างไรนางก็ไม่มีทางฆ่าตัวตายแน่ นางต้องอยู่เพื่อเจ้า”
วาจานี้ทำให้ใจของหลัวเทียนเฉิงเจ็บแปลบขึ้นมา เขาแค้นที่ตนเองจำเรื่องราวในวัยเด็กไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
วันนี้เองที่เขาได้พบกับฝูเฟิงเจินเหริน
แม้ฝูเฟิงเจินเหรินจะยืมมือเขาจึงปีนป่ายขึ้นมาเป็นราชครูในวันนี้ได้ แต่ความจริงฝูเฟิงเจินเหรินก็มีฝีมืออยู่ไม่น้อยทีเดียว
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยถามออกไปว่า “เจินเหริน ข้าจำเรื่องราววัยเด็กตอนอายุสี่ห้าปีไม่ได้เลยสักนิด มีวิธีใดที่จะทำให้ข้านึกออกได้บ้างหรือไม่”
เขาไม่รู้ว่าเหตุใดจึงอยากจะตามหาความทรงจำในวัยเด็ก แต่ความรู้สึกบอกเขาว่ามันสำคัญมากๆ
หรืออาจเพราะแค่อยากจะนึกถึงหน้ามารดาให้ออกเท่านั้น
ฝูเฟิงเจินเหรินลูบเคราตนแล้วเอ่ยว่า “ตามหลักแล้ว ความทรงจำช่วงสี่ห้าปีก็น่าจะมีเหลืออยู่บ้าง โดยเฉพาะคนฉลาดเช่นซื่อจื่อ”
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า
เขาเองก็แปลกใจเช่นกัน เขาฉลาดเพียงนี้เหตุใดจึงไม่มีความทรงจำใดๆ เหลืออยู่เลย
ท่านย่าบอกว่าหลังจากมารดาจากไปเขาก็ล้มป่วย แต่คงไม่ป่วยจนเลอะเลือนเพียงนี่กระมัง
“ข้ามีอยู่วิธีหนึ่ง อยากลองหรือไม่”
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้าตกลง
คนทั้งสองเข้าไปในห้องลับ ฝูเฟิงเจินเหรินจึงหยิบเหรียญทองแดงขึ้นมาแล้วร้อยด้วยด้ายแดง เขาแกว่งมันไปมาต่อหน้าหลัวเทียนเฉิง ปากก็ท่องไม่หยุด
ตาของหลัวเทียนเฉิงค่อยๆ พร่ามัวคล้ายหลงไปในพื้นที่อันไร้พรมแดน เขาเดินไปนานเท่าใดไม่รู้ ภาพตรงหน้าถึงค่อยๆ ชัดขึ้น
บิดาจากไปแล้ว มารดามักแอบร้องไห้เสมอ ตกดึกยามกล่อมเขาเข้านอนแล้วก็มักจะออกจากห้องไปยืนชมจันทร์ที่ศาลาหลิงอินเงียบๆ คนเดียว
เขายังเล็กนักแต่กลับรับรู้ได้ถึงอารมณ์ของมารดา ทุกครั้งที่มารดาออกไปจึงแอบตามอยู่ด้านหลังเสมอ
ศาลาหลิงอินเป็นที่ที่มีทิวทัศน์งดงามที่สุดในจวนเจิ้นกั๋วกง ด้านข้างมีพุ่มดอกไม้ขนาดใหญ่ เขาจึงหลบอยู่ตรงนั้น ท่านย่อมไม่มีทางรู้ตัว
คืนนั้นพระจันทร์กลมเด่นคล้ายแผ่นแป้งที่เพิ่งกินหมดไป ท่านแม่งดงามยิ่ง แต่กลับร้องไห้กับพระจันทร์อีกแล้ว
เขาคิดว่าหากโตกว่านี้ก็คงดี ผู้อื่นต่างบอกว่าเขาเหมือนบิดา ถ้าท่านแม่ได้เห็นเขาในตอนโตคงไม่เศร้าโศกถึงเพียงนี้แล้ว
ลมพัดแรงอยู่สักหน่อย มันพัดจนใบไม้ไหว เขาเริ่มรู้สึกกลัวจึงคิดจะเดินไปหาท่านแม่ แต่กลับมีคนผู้หนึ่งกระโดดออกมาอุ้มท่านแม่หายลงไปในน้ำ
ท่านแม่พยายามดิ้นรน และกระชากผ้าปิดหน้าของคนผู้นั้นออก