วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 447 แม่น้ำรั่วสามพันลี้
หลัวเทียนเฉิงในยามนี้ไม่มีข้อโดดเด่นอันใด มีเพียงอย่างเดียวคือความแค้น
เวลานี้เขามีแต่ความแค้นเคืองต่อราชวงศ์ ยังดีที่จัดการไท่โฮ่วไปเรียบร้อยแล้วจึงรู้สึกโล่งสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย
ด้วยเหตุนี้แม้แต่ยามมององค์ชายหกที่ร่วมมือกันด้วยดีตลอดมาก็ยังขัดหูขัดตาจึงไม่ต้องพูดถึงฝ่ายตรงข้ามเลย ครั้งนี้เขาจึงจะผลักองค์ชายห้าหรือก็คือกุ้ยอ๋องซึ่งเขาไม่มีเยื่อใยใดๆ ด้วยเลยนั้นลงไปในหลุมอาจมที่เขาขุดไว้
“ท่านอ๋องก็รู้ว่าฝูเฟิงเจินเหรินติดค้างน้ำใจหม่อมฉันอยู่ หม่อมฉันจึงตั้งใจเอ่ยเน้นกับเขาเป็นพิเศษ เขาจึงบอกว่าเป็นไปได้อย่างมากที่วันนั้นจะเกิดสุริยคราส”
ความจริงหลัวเทียนเฉิงรู้ว่าวันนั้นจะเกิดสุริยคราสเพราะมันเคยเกิดขึ้นเมื่อชาติก่อน มิได้เกี่ยวข้องอันใดกับฝูเฟิงเจินเหรินเลย แต่เวลานี้คงได้แต่ยกเอาเขามาเป็นโล่กำบังแล้ว
องค์ชายหกรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก เขาขมวดคิ้วเอ่ยว่า “หากเป็นเช่นนั้นเหตุใดเขาจึงมิเอ่ยเตือนเสด็จพ่อเล่า”
เขาย่อมยินดีแน่นอนที่ได้กลั่นแกล้งพี่ห้า แต่เมื่อนึกถึงนักพรตที่คอยรอยิ้มเยาะผู้นั้น…ต่อไปเขาอาจจะรอขบขันตนอยู่ก็ได้ เช่นนั้นคงไม่ดีสักเท่าใดนัก
“อย่างไรก็เป็นวันที่โหรหลวงทำนาย เจินเหรินเพียงคาดเดา จึงไม่กล้าพูดอันใดมากกระมัง” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
องค์ชายหกย่อมเชื่ออย่างแน่นอน
มิใช่เพราะเขาดูจริงใจยิ่ง แต่อย่างไรทั้งสองก็ร่วมมือกันมานาน วันนี้จัดการผู้นั้น พรุ่งนี้จัดการผู้นี้ จนอีกฝ่ายตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถสร้างความเบิกบานใจให้พวกเขายิ่ง แล้วจะคาดคิดได้อย่างไรว่าเสด็จย่าของตนจะไปล่วงเกินผู้อื่นเข้า
ผู้แย่งชิงตำแหน่งรัชทายาทมีเพียงเขาและกุ้ยอ๋อง หากกุ้ยอ๋องพบกับโชคร้าย เช่นนั้นราชบัลลังก์ก็เป็นของเขาแล้ว
เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงอารมณ์ดียิ่ง เขาชี้ไปยังซู่ซู่ที่เดินยกน้ำชาเข้ามาแล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “จิ่นหมิงภายหน้าข้าจะยกซู่ซู่ให้เจ้าไว้คอยรับใช้ข้างกายแล้วกัน”
ซู่ซู่ที่ยกน้ำชามาถึงกับมือสั่น
หลัวเทียนเฉิงรับถ้วยชามาอย่างใจเย็น เขาชำเลืองนางคราหนึ่งก่อนเลิกคิ้วเอ่ยว่า “สาวใช้จวนหม่อมฉันก็มีไม่ขาด แต่หากจะเอาไว้ข้างกายก็ดูจะ….ขี้ริ้วเกินไป!”
เขากำลังอารมณ์ไม่ดีอยู่ เสด็จย่าของคนผู้นี้ทำร้ายบิดามารดาเขาจนตาย แต่คนผู้นี้ยังคิดจะเอาของที่สร้างความวุ่นวายเช่นนี้มาให้เขาอีก ก็ไม่แปลกที่หลัวซื่อจื่อจะเอ่ยวาจารุนแรงอย่างคนปากร้ายออกมา
องค์ชายหกลูบคางตนคราหนึ่งแล้วยิ้มอย่างเก้อเขินพลางเอ่ยว่า “ขี้ริ้วที่ใดกัน แม้มิอาจเทียบได้กับจยาหมิง แต่ข้าก็มิได้ให้เจ้าแต่งนางเป็นภรรยาเสียหน่อยใช่หรือไม่”
ครั้นเห็นหลัวเทียนเฉิงทำหน้าเฉยชาจึงอดเย้าขึ้นมิได้ว่า “กล้วยไม้ยามวสันต์ เบญจมาศยามสารท ล้วนงามแตกต่างกันออกไป เจ้าชื่นชมนางเพียงคนเดียวไม่รู้สึกเบื่อบ้างหรือไร”
หลัวเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มภาคภูมิใจ “ ‘แม่น้ำรั่วยาวสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหายได้’ ท่านอ๋องไม่เข้าใจ เพราะยังไม่พบคนที่ดีที่สุดผู้นั้นเท่านั้นเองพ่ะย่ะค่ะ”
องค์ชายหกเริ่มมิเบิกบานใจเสียแล้ว
ผู้ใดยังไม่พบคนที่ดีที่สุดผู้นั้นกันเล่า ตอนที่เขาพบนาง ภรรยาเจ้ายังไม่เกิดด้วยซ้ำ
เพียงแต่…คนที่ดีที่สุดผู้นั้นเป็นของผู้อื่นไปแล้วต่างหาก และผู้อื่นที่ว่าก็คือเสด็จปู่ของเขาเอง!
ครั้นองค์ชายหกนึกถึงเรื่องนี้ก็หมดอารมณ์จะโต้เถียงกับหลัวเทียนเฉิงอีก เมื่อคิดถึงสตรีในจวนนับตั้งแต่ชายาเอกไปจนถึงสาวใช้อุ่นเตียง เขาก็สามารถหยิบข้อเสียของพวกนางออกมาได้เป็นกองพะเนินเขาจึงถอนหายใจออกมา
ช่างเถิด อวี้เสวี่ยบุตรสาวคนเล็กของเขาน่ารักที่สุด กลับถึงจวนค่อยไปหยอกเล่นสักหน่อย อย่างไรก็ดีกว่านั่งมองหน้าคนผู้นี้
องค์ชายหกจึงกลับไปด้วยความขุ่นเคือง เมื่อถึงจวนก็ตรงไปที่เรือนเจินจิ้งทันที
ระยะนี้เจินจิ้งค่อนข้างสับสนในอารมณ์
จ้าวเฟยชุ่ยตั้งครรภ์แล้ว ไม่รู้ว่าในนั้นเป็นหญิงหรือชาย ทำให้นางจิตใจไม่อยู่กับร่องกับรอย
หากเป็นบุตรชาย เช่นนั้นคงไม่มีอันใดต้องพูดแล้ว เขาย่อมเป็นผู้สืบทอดแน่ ขอเพียงท่านอ๋องยังคิดจะป่ายปีนขึ้นที่สูง อย่างไรก็ไม่มีทางให้บุตรของอนุเหยียบศีรษะบุตรภรรยาเอกแน่ เพราะจะเป็นที่ครหาของผู้คน
หากเป็นหญิงก็ไม่มีอันใดต้องกลัว หรุ่ยเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นบุตรสาวคนโต แต่เห็นชัดว่าท่านอ๋องรักใคร่เจินเจินที่สุด
แต่หากท่านอ๋องได้นั่งตำแหน่งนั้น…
เจินจิ้งยกสองมือขึ้นปิดหน้าตน
ทั้งที่เพิ่งเข้าสู่ยามวสันต์ อากาศยังหนาวมากยิ่ง แต่ใบหน้านางกลับเห่อร้อนขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น
หลายยุคสมัยมาแล้วที่พระโอรสที่เกิดจากหวงโฮ่วมีตำแหน่งเป็นรัชทายาทอย่างมั่นคง แต่ผู้ที่ได้ขึ้นครองราชย์อย่างราบรื่นกลับมีไม่มากเลย มิต้องพูดไปไกล จักรพรรดิองค์ปัจจุบันก็มิใช่พระโอรสที่เกิดจากหวงโฮ่ว ตอนนี้ท่านอ๋องทั้งสองที่มีโอกาสจะได้โบนบินขึ้นสู่ท้องนภาก็มิใช่พระโอรสของหวงโฮ่วเช่นกัน
เช่นนี้หากท่านอ๋องกลายเป็นโอรสสวรรค์ขึ้นมา ไม่แน่ว่าบุตรชายของนางอาจจะมีโอกาสก็ได้ หากต้องเป็นอ๋องไปชั่วชีวิตคงไม่มีโอกาสเช่นนั้น
เมื่อเจินจิ้งคิดได้เช่นนี้ ใจของนางก็เต้นตึกตักขึ้นมาด้วยความโลดลิง
ครั้นองค์ชายหกเดินเข้ามาก็เห็นหญิงงามสองแก้มแดงปลั่ง พาทำให้ใจคนสั่นไหวยิ่งนัก
“ท่านอ๋อง!” เจินจิ้งได้ยินเสียงคนมา นางดีใจยิ่ง พลันผลิยิ้มแย้มบานขึ้น
นางรู้ดีว่าตนเองในยามนี้งดงามชวนให้คนใจสั่นเพียงใด
แต่น่าเสียดายที่นางเหมือนจะเผยความงามนี้ให้คนตาบอดดูกระนั้น เมื่อองค์ชายหกเข้ามาก็ถามเพียงว่า “เจินเจินเล่า เรียกนางมาหาข้าที”
ความจริงองค์ชายหกมิได้ตาบอด ตอนที่เขาเดินเข้ามาแล้วเห็นหญิงงามประหนึ่งภาพวาดนั้นก็อดนึกถึงวาจาสองคำที่หลัวเทียนเฉิงใช้วิจารณ์ซู่ซู่มิได้
หากนำเปรียบเทียบกัน นางก็งดงามมิสู้จยาหมิงจริงๆ พลันนึกถึงแววตาอันแสนภาคภูมิใจของหลัวเทียนเฉิงขึ้นมาอีกยิ่งทำให้อดโมโหมิได้จริงๆ
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ มิสู้ไปหยอกเล่นกับบุตรสาวดีกว่า ฮึ อย่างน้อยหลัวเทียนเฉิงก็ไม่มีบุตรสาว!
องค์ชายหกกาข้อที่เขามีมากกว่าหลัวเทียนเฉิงได้แล้วก็เข้าไปหยอกล้อกับบุตรสาวอย่างสนุกสนาน ทำให้เจินจิ้งโกรธจนต้องดึงทึ้งผ้าเช็ดหน้า แต่เมื่อกลับมาคิดอีกครานางจึงรู้ว่าท่านอ๋องของนางมิใช่บุรุษเจ้าชู้จอมสำราญอย่างที่คนภายนอกเล่าลือเสียหน่อย ก่อนหน้านั้นเป็นการใส่ร้ายชัดๆ ดูท่า โอกาสประสบความสำเร็จของท่านอ๋องก็มีมากอยู่
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความรู้สึกหงุดหงิดเมื่อครู่ก็อันตรธานหายไปทันที นางจึงอุ้มบุตรชายเข้าไปหาองค์ชายหก
องค์ชายหกเล่นกับบุตรสาวเสร็จก็เดินออกจากเรือนไปทันที “ช่วงนี้ข้ามีงานมากมายเหลือเกิน คงต้องกลับห้องตำราก่อนแล้ว”
เจินจิ้งอุ้มบุตรชายแกว่งไกวไป นางรู้สึกขัดตากับใบหน้าเล็กจิ้มลิ้มของบุตรสาวยิ่ง
“ท่านแม่” เด็กน้อยมักไว้ต่อความรู้สึก เจินเจินรับรู้ได้รางๆ ว่ามารดามิชมชอบนางเท่าบิดา แต่เด็กอย่างไรก็มักจะรักและอยากใกล้ชิดกับมารดามากกว่า นางจึงอดขยับเข้าไปใกล้เจินจิ้งมิได้ เพียงแต่ในระหว่างที่พยายามเข้าไปใกล้ชิดก็จะเพิ่มความระมัดระวังขึ้นอีกหลายส่วน
เจินเจิ้งหน้าบึ้งขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว นางถามว่า “เชิญให้อาจารย์มาสอนเจ้าเรียนตำรา ตอนนี้เรียนเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เจินเจินกัดริมฝีปากตนแน่นแล้วเอ่ยว่า “ท่องคัมภีร์ตรีอักษรได้แล้วเจ้าค่ะ”
เจินจิ้งจึงเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา “ไม่เลว”
แค่เพียงสองคำนี้ เจินเจินก็รู้สึกได้รับความรักจนตกตะลึงไปเลย นางยื่นมือน้อยๆ ไปจับกระโปรงเจินจิ้งไว้แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านแม่ เจินเจินท่องให้ท่านฟังดีหรือไม่”
เจินจิ้งพลันหุบยิ้มทันที นางจ้องลักยิ้มที่ข้างแก้มของเจินเจินนิ่ง
ลักยิ้มนั้นเป็นรอยเล็กๆ จางๆ คล้ายสุราเลิศรสที่ทำให้คนหลงใหล มันขับให้เด็กน้อยดูน่ารักมากขึ้นเป็นพิเศษ แต่ในสายตามารดาเช่นนางกลับรู้สึกว่ามันน่าตกใจมากกว่า
ใช้ นางควรยอมรับตั้งนานแล้วว่าเจินเจินหน้าตาคล้ายเจินเมี่ยวยิ่ง!
เจินจิ้งไม่ใช่คนโง่ เพียงแต่นางพยายามบังคับตนเองไม่ให้คิดเช่นนั้นมากกว่า
หรือท่านอ๋องมีใจให้กับเจินเมี่ยวมานานแล้ว เมื่อมีเจินเจิน บุตรสาวที่คล้ายนางยิ่งจึงรักใคร่เอ็นดูเป็นพิเศษ
นางจมดิ่งกับความคิดนั้นยิ่งจนเผลอกอดผิงเกอแน่นเกินไปโดยไม่รู้ตัว ผิงเกอทนไม่ไหวจึงดิ้น ประจวบเหมาะกับเจินเจินยื่นมือไปหาเจินจิ้งด้วยความลังเลใจหวังจะจับมือนางไว้
เมื่อเจินจิ้งตื่นจากภวังค์ นางตีมือเจินเจินทันทีตามจิตใต้สำนึกตน ครั้นเห็นสีหน้าย่ำแย่ของบุตรสาวก็มิได้รู้สึกผิดอันใดสักนิด นางคิดอย่างแค้นเคืองว่าคลอดบุตรสาวออกมากลับหน้าเหมือนเจินเมี่ยว ช่างอัปรีย์ดีแท้
——
[1] แม่น้ำรั่วพันลี้ มาจากประโยคเต็มๆ ว่า “แม่น้ำรั่วสามพันลี้ เพียงหนึ่งจอกก็ดับกระหาย” มีความหมายสื่อในด้านความรักว่า “ต่อให้คนบนโลกนี้จะมีมากมายเพียงใด ข้าก็จะขอรักเจ้าแค่คนเดียว”