วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 448 ชัยชนะขององค์ชายหก
เจินจิ้งจึงเกิดอคติขึ้นในใจ หลังจากนั้นท่าทีที่มีต่อเจินเจินก็ยิ่งแปลกไปอย่างไม่ต้องพูดถึง ส่วนเจินเมี่ยวกลับได้รับข่าวจากเจินไท่เฟยบอกให้นางเข้าวังไปพบสักหน่อย
ความจริงเจินเมี่ยวยังรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
ตามหลักแล้วผู้ที่มีฐานะเป็นเชื้อพระวงศ์อยู่กึ่งหนึ่งทั้งยังเป็นญาติของเจินไท่เฟยเช่นนาง การจะเข้าไปในวังนั้นเป็นเรื่องง่ายดายยิ่ง แต่ที่แปลกคือไท่เฟยกลับแสดงออกชัดเจนว่าไม่ให้เจินเมี่ยวไปหานาง
เมื่อเข้าไปในวัง เจินเมี่ยวก็เดินเลียบตามกำแพงวังไป แม้จะเป็นแรกวสันต์แต่เมื่อเดินผ่านประตูวังหลังเข้ามา ทัศนียภาพก็เปลี่ยนไปทันที ช่างงดงามแปลกตานัก
เจินเมี่ยวมองอย่างเพลิดเพลิน แล้วหยิบของขวัญที่เตรียมเอาไว้เดินมุงไปที่ตำหนักเจินไท่เฟย
เมื่อจักรพรรดิพระองค์ก่อนจากไป หากบรรดาพระสนมของพระองค์ ผู้ใดมีบุตรชาย บุตรสาวก็จะออกจากวังไปใช้ชีวิตอยู่กับบุตรตน ผู้ใดไม่มีบุตรก็เลือกไปบำเพ็ญอยู่ที่วัด
ยามนี้ไท่โฮ่วสิ้นแล้ว ในวังจึงเหลือเจินไท่เฟยที่เป็นพระสนมชราอยู่แต่เพียงผู้เดียว คงเพราะเห็นแก่มิตรภาพก่อนหน้านี้ของนางกับไท่โฮ่ว เจาเฟิงตี้จึงปฏิบัติกับนางอย่างดี
ดังนั้นตอนที่เจินเมี่ยวพบกับเจินไท่เฟย นางก็ยังคงดูงดงามเด่นตาอยู่เช่นเดิม
ที่กล่าวว่างดงามเด่นตามิใช่เพราะสีของอาภรณ์ที่สวมใส่อันใดทั้งสิ้น เพราะไท่โฮ่วเพิ่งสวรรคตไปจึงไม่มีผู้ใดกล้าใส่เสื้อผ้าสีสันฉูดฉาดอยู่แล้ว
เจินไท่เฟยสวมอาภรณ์สีเปลือกไข่ปักลายเมฆาสีทองหม่น นางนอนเอกเขนกอย่างเกียจคร้านอยู่บนเตียง แต่กลับรู้สึกสง่างามเหลือเกิน
“ไท่เฟย” เจินเมี่ยวสงบใจตนลงแล้วถวายพระพรด้วยท่าทีที่นับว่าสง่างามยิ่ง
เจินไท่เฟยลุกขึ้นนั่งหลังตรง สายตากวาดมองไปบนหน้าเจินเมี่ยว แล้วไล่ลงมาเรื่อยๆ กระทั่งหยุดอยู่ที่หน้าอกอันอวบนูนนั้น นางพยักหน้าคราหนึ่ง “ไม่เลว ดูท่าวิธีเพิ่มความอวบอิ่มของหน้าอกที่ข้าสอนให้เจ้าคงเริ่มเห็นผลบ้างแล้ว ตอนนี้ยังใช้อยู่หรือไม่”
เจินเมี่ยวเห่อร้อนขึ้นที่ใบหน้า สายตาชำเลืองมองไปยังเหล่านางกำนัลที่ยืนอยู่อย่างรวดเร็วคราหนึ่ง
ไม่ทราบว่านางกำนัลเหล่านั้นคุ้นชินกับภาษาที่ไท่เฟยใช้สื่อสารไปแล้วหรืออย่างไร แต่ละคนจึงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉยดุจบ่อเก่าไร้น้ำ จนทำให้เจินเมี่ยวคิดว่าตนอาจจะหูฝาดฟังผิดไป
เมื่อเห็นเจินเมี่ยวไม่ตอบ เจินไท่เฟยจึงขมวดคิ้วขึ้น “อย่าเกียจคร้านเด็ดขาด เจ้าเป็นมีบุตรถึงสองคนแล้ว ยิ่งมิอาจปล่อยปละได้ มิเช่นนั้นภายหน้าหากมันหย่อนคล้อยขึ้นมา จะร้องไห้ก็คงไม่ทันแล้ว!”
เจินเมี่ยว “…”
ช่วยพูดคุยในหัวข้อที่มันปกติกว่านี้สักหน่อยได้หรือไม่ หรือไท่เฟยเก็บกดไว้มานานเกินไปแล้ว
เห็นชัดว่าเจินไท่เฟยก็รู้สึกว่านางกำนัลนั้นขวางหูขวางตา จึงโบกสะบัดมือคราหนึ่ง “พวกเจ้าออกไปก่อนเถิด แล้วยกของว่างกับชาเข้ามาด้วย”
คนที่ควรออกไปก็ออกไป ส่วนคนที่ยกน้ำชามาให้ก็ออกไปแล้วเช่นกัน ท่าทีของเจินไท่เฟยยิ่งดูผ่อนคลายขึ้น “มาคุยกันหน่อยเถิด”
“ไท่เฟย สบายดีหรือไม่เพคะ” เจินเมี่ยวลอบพิจารณาท่าทีของเจินไท่เฟย
แม้ไท่โฮ่วจะมิเคยชมชอบนาง แต่ความสัมพันธ์กับไท่เฟยนับว่าไม่เลว ยามนี้ไท่โฮ่วไม่อยู่แล้ว เกรงว่าไท่เฟยคงเสียใจไม่น้อย
เจินเมี่ยวพยายามมองหาความเสียใจจากสีหน้าท่าทางของเจินไท่เฟย แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว นางคิดในใจว่าไม่เสียทีที่เป็นไท่เฟย ยินดีหรือมีโทสะล้วนมิอาจแสดงออกทางสีหน้าได้
“สบายดี แต่อยู่คนเดียว ความเบื่อหน่ายก็มีบ้าง ข้าเลี้ยงกล้วยไม้ไว้ด้วย กำลังออกดอกเชียว เจ้ามาดูเร็ว”
เจินไท่เฟยพาเจินเมี่ยวไปยังห้องเพาะดอกไม้เพื่อดูกล้วยไม้ที่นางตั้งใจดูแลอย่างดี นางหยิบกรรไกรขึ้นมาตัดแต่งครู่หนึ่ง แล้วเรียกนางให้ไปดื่มชากินขนมด้วยกัน
นิ้วมือที่อ่อนนุ่มขาวเนียนดุจเด็กสาวของนางชี้ไปยังขนมที่ถูกจัดวางเป็นรูปบุปผาอยู่บนจานแล้วเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ตั้งแต่ที่เจ้าบอกวิธีกำจัดกลิ่นคาวของนมแพะ ข้าก็ให้แม่ครัวคิดค้นขนมรูปแบบต่างๆ ออกมาหลายชนิด เจ้าลองชิมดู”
เจินเมี่ยวหยิบขนมชิ้นหนึ้งเข้าปากไป แล้วพยักหน้าทันที
ไม่เสียทีที่เจินไท่เฟยเป็นสตรีที่ละเอียดในทุกๆ ด้าน กับอาหารเครื่องดื่มก็เช่นกัน
นางยังคิดว่าไม่ได้พบกันนาน ทั้งยังเป็นช่วงที่ไท่โฮ่วเพิ่งสวรรคตไปอีกด้วย เจินไท่เฟยคงมีเรื่องสำคัญอันใดที่จะคุยกับตน คิดไม่ถึงว่าจะเป็นแค็การพานางชมดอกไม้ กินขนม ทั้งยังเล่าชีวิตประจำวันของนางให้ตนฟังด้วยรอยยิ้มตาหยี หลังจากนั้นก็เรียกให้ขันทีไปส่งนางกลับ
กระทั่งถึงเรือนชิงเฟิง เจินเมี่ยวก็ยังคงมึนงงสงสัยอยู่ไม่คลาย นางจึงอดพูดกับหลัวเทียนเฉิงมิได้ว่า “ท่านว่า ไท่เฟยมีเจตนาใดหรือ”
เมื่อทราบว่าเจินเมี่ยวเข้าวัง หลัวเทียนเฉิงก็มิใคร่สบอารมณ์นัก แต่เจินไท่เฟยเป็นผู้อาวุโสฝั่งตระกูลมารดาของนาง เขาย่อมมิเผยความรู้สึกใดออกมาได้จึงพูดเพียงว่า “คงเพราะอยู่คนเดียวจนเกิดเบื่อหน่ายจึงหาลูกหลานไปคุยเป็นเพื่อนแก้เหงากระมัง”
เจินเมี่ยวคิดดูก็เห็นด้วยจึงถอนหายใจเอ่ยว่า “ไท่เฟยกับไท่โฮ่วมีความสัมพันธ์อันดีต่อกันยิ่ง ตอนนี้เหลือนางเพียงคนเดียวในวังหลัง คงต้องเหงามากจริงๆ”
หลัวเทียนเฉิงอดแค่นยิ้มมิได้
เกรงว่าเพราะปีศาจร้ายผู้นั้นตายไปต่างหาก เจินไท่เฟยถึงได้กล้าเรียกเจี๋ยวเจี่ยวเข้าวัง!
เขาเคยได้ยินเจี๋ยวเจี่ยวพูดว่าไท่โฮ่วมิใคร่ชมชอบนางเท่าใดนัก เดิมคิดว่าเพราะเรื่องที่นางเคยดึงเขาตกน้ำทำให้ไท่โฮ่วอคติกับนาง ตอนนี้มาคิดดูแล้ว เรื่องคงมิได้เรียบง่ายธรรมดาปานนั้นแน่
เกรงว่าคงเพราะเคยเห็นอำนาจแห่งความงามของเจินไท่เฟยมาแล้ว แม้ภายนอกจะยังรักษาความสัมพันธ์ฉันสหายกับไท่เฟยไว้ แต่ลึกๆ กลับหวั่นใจว่าสตรีสาวผู้หนึ่งที่มีรูปโฉมคล้ายกับไท่เฟยจะเข้าไปสร้างความวุ่นวายในวังกระมัง
มาคิดดูแล้วตอนนี้ในวังก็มีเพียงเจาเฟิงตี้ที่ใกล้จะถึงวาระสุดท้ายแล้วแค่คนเดียว แม้หลัวเทียนเฉิงจะไม่ชอบวังหลังอันแสนโสมมนั้นแต่ก็มิได้ห้ามนางเพียงกำชับว่า “ต่อไปหากไท่เฟยเรียกเจ้าเข้าวังอีก เจ้าส่งคนมาบอกข้าด้วย ข้าจะได้เป็นไม่กังวล”
เจินเมี่ยวรับปากทั้งรอยยิ้ม
ดังคาดหลังจากนั้นไม่นานเจินไท่เฟยก็เรียกเจินเมี่ยวเข้าวังอีกครั้ง
ไม่นานก็ล่วงเลยมาถึงวันทำพิธีบวงสรวง กุ้ยอ๋องสวมอาภรณ์เต็มยศ ดูสง่างามอย่างที่สุดสมกับเป็นตัวแทนของโอรสสวรรค์ ขณะขึ้นไปบนแท่นพิธียังหันมาชำเลืองมององค์ชายหกคราหนึ่ง แล้วค่อยส่งสายตาอย่างคนเหนือกว่าให้กับหลัวเทียนเฉิง
ว่าไปแล้วเขาก็ไม่พอใจหลัวเทียนเฉิงผู้นี้มานานมากแล้ว คนผู้นี้ลื่นไหลยิ่ง ดูเหมือนว่าเขาจะมิยืนข้างฝ่ายใดทำให้เสด็จพ่อโปรดปรานเขามาก
ในฐานะที่เป็นองค์ชายที่เจาเฟิงตี้โปรดปรานมาตั้งแต่เยาว์วัย กุ้ยอ๋องจึงรู้สึกอิจฉาอยู่ลึกๆ
ตำแหน่งจักรพรรดิย่อมมีคนเพียงคนเดียวที่ได้ครอบครอง ส่วนขุนนางมากความสามารถนั้นขอแค่เขาคิดจะหา ยังต้องกลัวจะไม่มีงั้นหรือ เหตุใดต้องให้คนผู้นั้นได้หน้าได้ตาด้วยเล่า เขาจะให้คนผู้นั้นนั่งเหงาอยู่บนตั่งตัวน้อยอย่างเหน็บหนาวไปตลอดชีวิต
กุ้ยอ๋องเดินขึ้นไปบนแท่นสูงในพิธีอย่างสง่างาม สุดท้ายยังคงท่องบทสวดอวยพรบทนั้นยังไม่จบด้วยซ้ำ ฟ้าก็พลันมืดครึ้มลงทันที
คำว่ามืดครึ้มนี้หมายถึงมืดจริงๆ ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ฟ้ามืดสนิทไม่มีแสงสักสาย คนทั้งหลายกลายเป็นคนตาบอดทั้งที่ลืมตาอยู่ หูก็ได้ยินเสียงร้องตกใจของผู้คนและเสียงฝีเท้าอันวุ่นวายอลหม่าน
ไม่นานเสียงร้องตกใจเหล่านั้นก็เปลี่ยนเป็นเสียงร้องโหยหวน สำหรับคนที่มองไม่เห็นสิ่งใดเหล่านี้มันยิ่งทำให้ตกใจมากยิ่งขึ้น ทุกคนต่างรีบร้อนออกจากตรงนี้ด้วยความหวาดกลัว
ความมืดมิดในครั้งนี้ได้กลายเป็นฝันร้ายในความทรงจำของคนเหล่านี้ไปแล้ว ที่เคยคิดว่าชีวิตมันยังเหลืออีกยาวไกล ความจริงมีเวลาเหลือไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาด้วยซ้ำ
กระทั่งฟ้ากลับมาสว่างเช่นเดิม เมื่อทุกคนได้เห็นภาพตรงหน้าก็ถึงกับขนลุกขนพองเลยทีเดียว
บนพื้นมีสิ่งของหล่นอยู่มากมาย มีทั้งรองเท้าและหมวกขุนนาง และที่ทำให้คนอดตะลึงตาค้างไม่ได้คือศพนับสิบที่ถูกเหยียบจนร่างเละไปหมด
มีคนผู้หนึ่งร้องขึ้นด้วยความตกใจ “กุ้ยอ๋อง!”
“ข้า…อยู่ตรงที่นี่!”
ด้วยความลนลานกุ้ยอ๋องจึงก้าวพลาดตกลงมาจากแท่นพิธี ยังดีที่มันไม่สูงมากนัก เขาจึงแต่ขาหักเท่านั้น เขาเป็นคนฉลาดย่อมรู้ดีว่าท้องฟ้ามืดมิดเช่นนี้ไม่มีผู้ใดสนใจหรอกว่าเจ้าเป็นลูกหลานมังกรหรือไม่ หากถูกเหยียบตายก็คงสูญเปล่า ตอนนั้นจึงยืนชิดผนังแท่นพิธีไว้ไม่กล้าขยับไปไหน แม้แต่ร้องโอดโอยก็ไม่กล้า เพราะกลัวว่าจะเป็นการเรียกคนร้ายให้เข้ามาหาตนเสียมากกว่า
สุริยคราสสำหรับคนในยุคสมัยนี้ถือเป็นความอัปมงคลยิ่ง กุ้ยอ๋องออกไปทำแผลเรียบร้อยแล้ว ส่วนเจาเฟิงตี้ก็ได้แต่รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายเอ่ยออกมาว่าให้เฉินอ๋องเป็นรัชทายาทก่อนจะสะบัดแขนเดินจากไป