วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 450 คิดถึง
เจินเมี่ยวมองเทียบเชิญอย่างเกียจคร้านแล้วทิ้งมันไปอีกด้าน นางเอ่ยกับมู่จือว่า “ให้บอกว่าข้าเป็นไข้ไม่สบาย ไม่กล้าไปร่วมงานกลัวว่าทำให้ผู้อื่นป่วยไปด้วย”
ปีก่อนไป๋เสาก็แต่งให้รองแม่ทัพฉือไปแล้ว ยามนี้ติดตามเขาไปเฝ้ารักษาเมืองติดชายแดน ไป่หลิงและคนอื่นๆ ต่างทยอยแต่งออกไป บางคนมาเป็นคนดูแลจัดการงานในจวน บางคนออกไปเป็นเถ้าแก่เนี้ย ยามนี้สาวใช้ที่เก่งกาจที่สุดก็คือมู่จือกับเชวี่ยเอ๋อร์
มู่จือมิฉลาดเท่าเชวี่ยเอ๋อร์ แต่สุขุมกว่า นางเอ่ยรับคำแล้วเดินกลับไปบอกกล่าวต่อขันทีที่นำเทียบเชิญมาให้
ขันทีได้แต่ลูบจมูกป้อยๆ แล้วกลับไป
เจินจิ้งเห็นเจินเมี่ยวไม่มา แม้เจินหนิงและคนอื่นจะมาแต่นางก็ยังรู้สึกหมดอารมณ์อยู่ดี ผ่านไปอีกสองสามวัน นางจึงเอ่ยกับเฉินชิ่งตี้ที่มาเยี่ยมบุตรสาวว่า “ไม่กี่วันก่อนหม่อมฉันเชิญพี่สาวน้องสาวในตระกูลมาร่วมชมบุปผาในวัง แต่น้องสี่กลับไม่สบาย ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นเช่นไรบ้างแล้ว”
เฉินชิ่งตี้เห็นเจินจิ้งเอ่ยด้วยท่าทีเคร่งเครียดจึงเข้าใจว่าเจินเมี่ยวป่วยหนัก เขาขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “เหตุใดจึงมิได้ยินว่าจวนกั๋วกงมาเชิญหมอหลวงไปดูอาการเล่า” แล้วหันไปชำเลืองมองหยางกงกง “ให้หมอหลวงไปตรวจอาการจยาหมิงเซี่ยนจู่ที่จวนกั๋วกงที”
เจินจิ้งจึงรีบเอ่ยว่า “ตอนนั้นน้องสี่บอกว่าเป็นไข้ คิดว่าคงไม่หนักหนา…”
นางเอ่ยยังไม่ทันจบ เฉินชิ่งตี้กลับพูดขึ้นว่า “เจ้ามิใช่หมอหลวงเสียหน่อย รู้ได้อย่างไร”
แค่เพียงประโยคเดียวก็ทำเอาเจินจิ้งสะอึกไปเลย ผ่านไปครู่หนึ่งจึงสงบลงได้ (เพราะนางมักถูกเฉินชิ่งตี้พูดตอกกลับเช่นนี้เสมอ จึงชินเสียแล้ว) นางยิ้มหวานพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่าในเมื่อน้องสี่มิได้เรียกหมอหลวง แต่เรากลับส่งคนไปเช่นนี้จะมิเป็นการวู่วามไปหน่อยหรือเพคะ”
“แล้วเจ้าคิดว่าต้องทำอย่างไร”
“มิสู้ส่งหม่อมฉันไปสอบถามดูก่อน หากน้องสี่ไม่เป็นอันใดจะได้เชิญนางมานั่งเล่นในวังสักครู่ หม่อมฉันเป็นห่วงนางจริงๆ เพคะ”
นางอยากจะรู้เช่นกันว่าฝ่าบาทคิดอันใดกับเจินเมี่ยวหรือไม่
หลัวซื่อจื่อดุร้ายเพียงนั้น นางไม่เชื่อว่าฝ่าบาทจะกล้าลงมือ แต่ต่อให้หน้ามืดจนพลั้งเผลอไป เหอะๆ แม้มีข่าวลือออกไป แล้วใครจะทำอันฝ่าบาทได้ เจินเมี่ยวต่างหากที่จะไม่มีหน้าอยู่ต่อไปได้
เฉินชิ่งตี้ไม่พูดอันใด เขาเอาแต่จ้องเจินจิ้ง เจินจิ้งถูกมองเช่นนี้ก็เริ่มอึดอัดจึงเอ่ยออดอ้อนว่า “ฝ่าบบาท เหตุใดจึงมองหม่อมฉันเช่นนี้เล่า”
เฉินชิ่งตี้เม้มริมฝีปากแล้วเอ่ยว่า “กุ้ยเฟย ปกติเจ้าเป็นรู้จักเอาใจใส่ผู้อื่น แล้วเหตุใดตอนนี้ถึงเลอะเลือนไปแล้วเล่า ต่อให้จยาหมิงหายป่วยแล้วก็ควรต้องพักผ่อนให้มากๆ เวลานี้จะเข้ามาในวังทำอันใด เจ้านั่งดูนางแล้วนางจะมีเนื้อหนังเพิ่มขึ้นหรือไร” พูดจบสะบัดแขนเสื้อจากไปทันที
ทิ้งไว้เพียงเจินจิ้งที่กำลังอ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ไม่ทราบว่าฝ่าบาทเดินไปไกลแล้วหรือไม่ นางโมโหจึงยกเท้าเตะตั่งเตี้ยข้างเท้าตนออกไปโดยแรง
“โอ๊ย!” เวลานี้เป็นยามคิมหันต์จึงเปลี่ยนเป็นรองเท้าผ้าบางปักลายประดับไข่มุกเมื่อนางเตะไปเช่นนี้ ไข่มุกที่ติดอยู่ด้านบนจึงหลุดกระเด็นเข้าใส่เบ้าตานางพอดิบพอดี
แรกเริ่มเจินจิ้งเจ็บจนชาจึงมิได้รู้สึกอันใดมาก เพียงแค่คิดอย่างแค้นเคืองว่าขอเพียงเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจินเมี่ยว ฝ่าบาทกลับผิดปกติไปอย่างที่ไว้จริงๆ เจินเมี่ยวตัวอัปรีย์ นางจะต้องกำจัดเจินเมี่ยวให้ได้!
เมื่อคิดเสร็จ ความเจ็บปวดกลับโจมตีเข้ามา เจินจิ้งยกมือขึ้นปิดตาทันที แต่เมื่อปล่อยมือออก ฝ่ามือขาวเนียนกลับเปื้อนไปด้วยเลือด นางถึงกับหน้ามืดแล้วหันไปด่าทอนางกำนัลที่รายล้อมอยู่ว่า “พวกเจ้าเป็นศพหรือไร รีบไปตามหมอหลวงมาเร็วเข้า!”
เรื่องที่นางเรียกหมอไปตรวจ เฉินชิ่งตี้ย่อมทราบอยู่แล้ว เขาจึงเรียกหมอหลวงเข้าเฝ้า
เจินจิ้งกลัวว่าตนจะเสียหน้าและทำให้ชื่อเสียงอันงามสง่าของตนต้องมัวหมองจึงได้ใช้เงินก้อนโตปิดปากหมอหลวงไว้แล้ว
เมื่อมิใช่เรื่องใหญ่อันใด ทั้งกุ้ยเฟยก็มีบุตรแล้วถึงสองคน เห็นชัดว่าไม่ควรจะไปยั่วโทสะนาง ครั้นฝ่าบาทเอ่ยถาม หมอหลวงจึงตอบอย่างคลุมเครือไปเป็นโรคที่พบได้บ่อยในสตรีที่ได้รับการทะนุถนอมอย่างดีนั่นคืออาการใจสั่น
เฉินชิ่งตี้ได้ฟังก็คร้านจะถามให้ละเอียด จึงเพียงโบกมือให้หมอหลวงออกไป
เขาแค่นหัวเราะเสียงเย็น นางคิดจะทะเลาะกับเขาหรือ เขาเพิ่งเดินออกมาไม่ทันไร นางก็เกิดอาการใจสั่นเสียแล้ว แสร้งหน้ามืดยังมิเร็วถึงเพียงนี้เลย!
เพราะความรักในชื่อเสียงหน้าตาของเจินจิ้ง นางจึงอยากจะแสดงอำนาจต่อหน้าเจินเมี่ยวสักครา แต่ยังมิทันได้พบคน ตนก็ทำตัวเองบาดเจ็บเสียแล้ว ทั้งยังทำให้เฉินชิ่งตี้เข้าใจผิดอีก
เพื่อที่จะทำให้ชื่อเสียงตนมัวหมอง แรกเริ่มเฉินชิ่งตี้จึงรับแม่นางที่งดงามราวบุปผาเข้ามาไว้ในจวนจำนวนไม่น้อย แต่หลายปีผ่านไป ที่คล้ายบุปผาก็เปลี่ยนเป็นใบไม้แห้งไปจนหมด
ว่าไปแล้วความเคยชินของคนเรานั้นก็น่ากลัวไม่น้อย
ตอนที่เฉินชิ่งตี้ยังเป็นเพียงหนุ่มน้อยนั้น เขาทั้งรูปงามมากความสามารถ ฉลาดหลักแหลม เขาไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อเติบใหญ่ขึ้นมาอีกสักหน่อย ตนกลับต้องตกลงไปบนกองแป้งประทินผิว กลายเป็นบุรุษที่ชอบเด็ดบุปผาเกี้ยวจันทราเช่นนี้ แต่เขาแสร้งเป็นบุรุษเจ้าสำราญมานานเกินไปจนเคยชินเสียแล้ว
ระยะนี้ไม่มีเรื่องอันใดในท้องพระโรงเลย ทั้งไม่มีภัยพิบัติต่างๆ และอีกไม่นานหลัวเทียนเฉิงก็จะจัดการกับลี่อ๋องได้แล้ว ช่วงนี้จึงมีเวลาได้ผ่อนคลายเสียบ้าง เฉินชิ่งตี้ไม่อยากไปพบจิ้งกุ้ยเฟย เขาเดินไปทั่วแต่ก็ยังหาที่ต้องตาไม่เจอจึงตัดสินใจไปหาไท่เฟย
เจินไท่เฟย เอ่อ ความจริงต้องเรียกว่าไท่หวงไท่เฟยแล้ว ตั้งแต่เจาเฟิงตี้สิ้นไป นางก็พูดไปแล้วว่าจะไปบำเพ็ญตนที่วัด แต่เฉินชิ่งตี้กลับห้ามไว้อย่างเอาเป็นเอาตาย นางจึงมิอยู่ตำหนักเดิมแล้วแต่ย้ายมาอยู่ในตำหนักที่ใกล้กับตำหนักเย็นแทนเพื่อความสงบ
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่หลังจากขึ้นเป็นเฉินชิ่งตี้แล้ว
มิใช่เขาไม่คิดถึง แต่เพราะการตัดสินใจของเจินไท่เฟยในตอนนั้นทำให้เขาหวาดกลัว กลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้นาง กลัวจะเป็นการบีบคั้นให้นางจากเขาไป
เฉินชิ่งตี้เป็นคนที่มีความอดทนและรู้จักเก็บงำ เขาทำรอตำแหน่งจักรพรรดิได้อย่างไร ก็สามารถรอเจินไท่เฟยได้เช่นกัน
เขาคิดว่าผ่านมานานถึงเพียงนี้แล้ว นางคงจะสงบอารมณ์ได้แล้วกระมัง
ตำหนักที่เจินไท่เฟยอยู่มีต้นไม้สูงใหญ่มากต้นหนึ่ง ใต้ต้นของมันมีโต๊ะหินและเก้าอี้หินอยู่ด้วย
แม้แรกคิมหันต์อากาศยังไม่ร้อนนัก แต่ใกล้จะเที่ยงแล้ว แสงอาทิตย์จึงจ้ายิ่ง เขาจึงหลบอยู่ใต้ร่มไม้เพื่อหลบร้อน
หากคิดว่าเจินไท่เฟยผู้มีใจจะไปบำเพ็ญเพียรที่วัดจะอยู่ในตำหนักแห่งนี้อย่างซังกะตายนั้นผิดแล้ว เวลานี้นางได้เรียกให้นางกำนัลมาเล่นไพ่เยี่ยจื่อกับตน หากผู้ใดแพ้ต้องดื่มน้ำผึ้งที่ปรุงแต่งไว้แล้ว ตอนนี้นางกำนัลสองคนต่างก็กุมท้องวิ่งเข้าห้องปลดทุกข์อยู่หลายคราแล้ว
ตอนที่เฉินชิ่งตี้เข้ามาก็เห็นบรรยากาศอันคึกคักนี้เข้าพอดี เขาพลันอบอุ่นใจขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้ารบกวน จึงเพียงหยุดยืนจ้องมองเช่นนั้นอยู่นาน นานจนเจินไท่เฟยรู้สึกตัว จึงหันไปมอง
นางกำนัลในตำหนักตกใจจนหน้าขาวซีดแล้วรีบคุกเข่าถวายพระพร
เจินไท่เฟยยังคงนั่งอยู่ สายตาก็มองเฉินชิ่งตี้ที่กำลังเดินเข้ามาหา นางถอนหายใจแผ่วเบาในอกแล้วลุกขึ้น “ฝ่าบาทมาได้อย่างไรหรือ”
เฉินชิ่งตี้เกิดวู่วามขึ้นมาจึงเร่งฝีเท้าเดินเข้าหา “ไท่เฟย…”
เจินไท่เฟยถอยหลังไปเล็กน้อยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เมื่อเห็นท่าทีเย็นชาของเจินไท่เฟย ความขมขื่นก็เอ่อล้นขึ้นในใจเฉินชิ่งตี้ เขาเผยอปากขึ้น สุดท้ายก็เอ่ยออกมามิได้ว่า “ไท่เฟย ข้าคิดถึงท่าน”
เจินไท่เฟยถอนหายใจยาวอยู่ในอก
เขาคือคนที่นางเห็นมาตั้งแต่เด็ก เหตุใดเติบโตมาจึงผิดเพี้ยนไปเช่นนี้เล่า
กลางวันฟ้าสว่างโร่ ในเมื่อเฉินชิ่งตี้มาถึงที่นี่แล้ว เจินไท่เฟยก็มิอาจแสดงท่าทีอันใดที่ผิดแปลกเกินไปได้ นางจึงพูดคุยถามไถ่เรื่องทั่วไปกับเขา เมื่อเห็นเขามีท่าทีอย่างผู้น้อยที่มีความกตัญญูต่อผู้อาวุโสเมื่ออยู่ต่อหน้านางกำนัลเช่นนี้ นางก็ค่อยเบาใจคงได้
เพียงแต่เจินไท่เฟยนั้นดีใจเร็วเกินไป เมื่อตกดึกเฉินชิ่งตี้ที่มิอาจควบคุมความรักความคิดถึงของตนเอาไว้ได้จึงดื่มสุราเพื่อคลายความกลัดกลุ้ม สุดท้ายก็ลอบเข้าไปในตำหนักหลัง