วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 452 ไท่เฟยช่างใจเด็ดนัก
ในความคิดของเฉินชิ่งตี้นั้นเจินเมี่ยวเป็นคนร่าเริงแจ่มใส ไท่เฟยกำลังอารมณ์ไม่ดี หากให้นางมาอยู่เป็นเพื่อน ไม่แน่ว่าอาจจะเบิกบานขึ้นได้ รอให้ไท่เฟยไม่โกรธเขาเพียงนั้นแล้ว เขาค่อยไปขออภัยแล้วกัน
“ไท่เฟย เป็นอันใดหรือเพคะ” เจินเมี่ยวได้รับจดหมายตั้งแต่เช้าตรู่ นางรู้สึกมึนงงยิ่ง แต่เมื่อพบคนก็ต้องอดตกใจมิได้ ไท่เฟยที่งดงามเฉิดฉายตลอดมา ถึงกับมีรอยคล้ำใต้ตาที่ชัดเจนถึงเพียงนี้
เจินไท่เฟยนอนไม่หลับทั้งคืน หากไม่มีรอยคล้ำใต้ตาต่างหากจึงจะแปลก เวลานี้ที่ได้พบเจินเมี่ยว นางกลับยิ้ม “เจ้ามาถึงเร็วจริงๆ”
เจินเมี่ยวรู้สึกว่าเจินไท่เฟยมีบางอย่างที่แปลกไป จึงเอ่ยถามด้วยระมัดระวังว่า “ไท่เฟย ไม่สบายที่ตรงใดหรือไม่ หากไม่สบายจะได้เรียกหมอหลวงมาตรวจอาการเพคะ”
พูดแล้วก็หงุดหงิดขึ้นมา “ฝ่าบาทมิใช่กตัญญูต่อท่านที่สุดหรอกหรือ ยุ่งเพียงใดก็ควรจะมาเยี่ยมบ่อยๆ ที่นี่ใกล้กับตำหนักเย็น ไม่แน่ว่าพวกตาไม่ถึงทั้งหลายอาจจะละเลยในการดูแลท่าน”
เจินเมี่ยวพูดแล้วก็ยิ่งอารมณ์เสีย
ไท่โฮ่วที่สิ้นพระชนม์ไปแล้วแม้ไม่โปรดนางนัก แต่ตอนนั้นไท่เฟยกลับอยู่อย่างสุขสบาย เหตุใดเมื่อองค์ชายหกได้ขึ้นครองราชย์แล้ว ไท่เฟยกลับยิ่งย่ำแย่กว่าเดิม แต่ก่อนเขามักจะแสดงความกตัญญูต่อไท่เฟยเสมอมิใช่หรือ คงเป็นดั่งเขาว่าความรักความผูกพันในราชวงศ์นั้นเบาบางดุจสายน้ำ
เจินไท่เฟยมีเรื่องทุกข์ใจอยู่จึงมิได้แก้ความเข้าใจผิดของเจินเมี่ยว นางดึงมือเจินเมี่ยวไว้แล้วเอ่ยว่า “เมี่ยวเอ๋อร์ นี่เป็นสูตรขนมจากนมแพะที่ข้าคิดขึ้นเมื่อยามเบื่อหน่าย เจ้ามีฝีมือเรื่องการทำอาหาร คงทำออกมาได้อร่อยยิ่ง วันนี้มาแต่เช้า อย่างไรก็ลองทำดูหน่อยเถิด”
เจินเมี่ยวเก็บความสงสัยตนไว้ แล้วเอ่ยเอาใจเจินไท่เฟยว่า “ได้เพคะ แต่กลัวว่าถ้าหม่อมฉันทำได้อร่อยมากเกินไป ไท่เฟยคงไม่ปล่อยหม่อมฉันกลับจวนแน่”
เจินไท่เฟยถึงกับชะงักฝีเท้าตน นางกลอกตาคราหนึ่ง “เหลวไหล!”
“นี่คือขนมทั้งหมดและยังมีน้ำลูกเหมยด้วย ไท่เฟยลองชิมดูสิเพคะ” นางใช้เวลาไปมากกว่าหนึ่งชั่วยาม
เมื่อเจินเมี่ยวทำตามคำขอสำเร็จก็ยิ้มเบิกบาน
จะว่าไปแล้วเจินเมี่ยวก็ทำขนมที่ใช้นมแพะมาทำได้แค่ไม่กี่อย่างเท่านั้น
เจินไท่เฟยชิมแล้วก็พยักหน้า “อืม อร่อยและน่ากินมากกว่านางกำนัลทำจริงๆ ด้วย”
คนทั้งสองกินเสร็จก็ล้างมือ บ้วนปากและตามด้วยน้ำลูกเหมย เจินเมี่ยวยิ้มพลางเอ่ยว่า “ไท่เฟย สายมากแล้ว หม่อมฉันขอตัวกลับก่อน วันหลังจะมาเยี่ยมอีกเพคะ”
การอยู่ในวังนานๆ โดยไม่มีงานไม่มีเทศกาลอันใดอันไม่ค่อยจะดีนัก
เจินไท่เฟยกลับตอบปฏิเสธนางอย่างคาดไม่ถึง “ไม่ต้องรีบร้อน มา ข้าจะให้เจ้าดูของบางอย่าง”
นางจูงเจินเมี่ยวเดินไปยังตู้หลังใหญ่ แล้วหยิบกุญแจออกมาเปิดลิ้นชักหยิบเอาม้วนภาพออกมาอย่างระมัดระวัง
เจินเมี่ยวเบิกตากว้าง “นี่คือ…”
ในภาพวาดมีคนอยู่สามคน สตรีผู้นั้นคือนางมิใช่หรือ แต่พินิจอย่างละเอียดจึงรู้ว่านี้คือไท่เฟยเมื่อครั้งยังเป็นสาวน้อย หากเทียบกันแล้วนางไม่มีท่าทีสง่างามสูงส่งที่มาจากภายในเช่นไท่เฟย
ในภาพมีเด็กชายหนึ่งคนและเด็กหญิงหนึ่งคน เด็กหญิงดูจะโตกว่าสักหน่อย นางกำลังนั่งอยู่บนชิงช้า ส่วนเด็กชายก็ยื่นอยู่ไม่ไกลนัก เขายิ้มอย่างเด็กน้อยใสซื่อ
เจินไท่เฟยชี้ลงบนภาพแล้วเอ่ยว่า “นี่คืออิ๋งเย่ว์”
เจินเมี่ยวหยุดมองเด็กหญิงในภาพ นางพึมพำออกมาว่า “นี่คือองค์หญิงอิ๋งเย่ว์หรือเพคะ เหมือนไท่เฟยเหลือเกิน”
“ใช่ เหมือนเจ้าตอนยังเล็กด้วยกระมัง ข้าเห็นเจ้าแล้วก็เหมือนได้เห็นอิ๋งเย่ว์”
เจินเมี่ยวรู้สึกคิดไม่ถึงอยู่บ้าง
แต่ไหนแต่ไรนางรู้มาตลอดว่าที่ไท่เฟยให้ความสำคัญกับนางเพราะนางน่าจะมีส่วนคล้ายองค์หญิงอิ๋งเย่ว์ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พูดออกมาตามตรง
นางเงยหน้าขึ้นสบตากับเจินไท่เฟย เมื่อเห็นรอยยิ้มที่มาจากใจของเจินไท่เฟย เจินเมี่ยวจึงยิ้มทั้งพูดว่า “การมีหน้าตาคล้ายกับท่านย่า นับเป็นวาสนาของข้ายิ่ง”
เจินไท่เฟยยกมือขึ้นลูบผมเจินเมี่ยวอย่างทะนุถนอม “เมี่ยวเอ๋อร์มีวาสนากว่าท่านย่านัก”
“ไท่เฟย”
“หืม?”
“วันนี้ท่านดูแปลกไปนะเพคะ”
“แปลกที่ตรงใด” เจินไท่เฟยเหล่มองนาง
เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปากผลิยิ้ม “บอกไม่ถูกเพคะ แต่รู้สึกว่าวันนี้ดูแปลกไป”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาแห่งความรัก เจินเมี่ยวก็คล้ายเข้าใจอันใดบางอย่างขึ้นมา
ที่ผ่านมาเจินไท่เฟยจะมีท่าทีสง่างาม สูงศักดิ์ ผู้ใดเห็นก็คิดว่าเป็นนางฟ้าบนโลกมนุษย์ที่มิอาจเข้าใกล้ได้ แต่ยามนี้สายตาที่ไท่เฟยมองนางคือสายตาของผู้อาวุโสมองลูกหลาน
แปลกจริงๆ
ท่านย่าผู้นี้ของนาง เหตุใดจึงมีสายตาเช่นนี้ได้
เจินเมี่ยวรู้สึกไม่คุ้นชินอย่างยิ่ง แต่ก็อดมองเจินไท่เฟยอีกครามิได้
เจินไท่เฟยยื่นมือไปมือนาง “เห็นท่าทางเจ้าเช่นนี้แล้ว อยากจะตีเสียจริงๆ”
เจินเมี่ยวหัวเราะแล้วชี้ไปยังเด็กชายในรูปพลางถามว่า “เด็กคนนี้คงเป็นฝ่าบาทกระมัง”
เจินไท่เฟยหุบยิ้มทันที
เจินเมี่ยวไม่เข้าใจนัก จึงหันไปมองเจินไท่เฟยด้วยความแปลกใจ
เจินไท่เฟยม้วนภาพนั้นแล้วเก็บไว้แล้วหยิบตำราเล่มหนึ่งออกมาส่งให้เจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวอ่านดูก็ต้องตกใจ
“ก่อนหน้านี้เคยสอนเคล็ดลับดูแลผิวกับเจ้า ยังมิได้ครบถ้วนเหมือนที่จดในสมุด ตอนอิ๋งเย่ว์ออกเรือนข้าได้ให้นางไปแล้วหนึ่งเล่ม เก็บไว้หนึ่งเล่ม เจ้าเอาไปเถิด”
เจินไท่เฟยมีบุตรสาวสองคน บุตรชายหนึ่ง แต่มีแค่อิ๋งเย่ว์ที่รอดมาได้ ปีที่อิ๋งเย่ว์ออกเรือนนางลอบเตรียมไว้สองเล่ม ในใจคิดว่าจะเก็บอีกเล่มไว้ให้บุตรสาวคนโตที่ล่วงลับไปแล้ว
เจินเมี่ยวรู้สึกไม่สบายใจยิ่ง “ท่านย่า ของมีค่าเช่นนี้ ท่านเก็บไว้ให้คนที่เหมาะสมเถิด ข้ามาเยี่ยมท่านบ่อยๆ ได้ ถ้าท่านเอ็นดูข้า ค่อยสอนข้าก็ได้”
เจินไท่เฟยแค่นยิ้ม “ผู้ที่เหมาะสมหรือ นอกจากเจ้ายังมีใครที่เหมาะสมอีก คงมิใช่เจินเจิน เด็กตัวน้อยนั่นกระมัง ข้าให้เจ้าก็รับไปเถิด อย่าพูดมาก อีกอย่าง วังหลวงมิใช่ตลาดขายผัก หากไม่มีอันใดก็มิต้องมาหรอก”
เจินเมี่ยวเบ้ปากขึ้น แล้วเอ่ยในใจว่า ท่านย่าก็มิใช่ท่านหรือที่เรียกข้ามา
นางไม่กล้าปฏิเสธอีกจึงตอบขอบคุณแทน “เช่นนั้นก็ขอบพระคุณท่านย่าแล้ว”
“เอาล่ะ สายมากแล้ว เจ้ากลับไปเถิด” เจินไท่เฟยชี้ไปยังจานขนมบนโต๊ะ “แม้เจ้าจะเป็นคนทำแต่อย่างไรวัตถุดิบก็เป็นของข้า เจ้าเอากลับไปให้เด็กน้อยสองคนนั้นชิมสักหน่อยเถิด เด็กเล็กกินนมแพะนั้นดีกว่านมกว่ายิ่ง”
“เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวยิ้มรับ “ท่านย่า ข้าคิดวิธีนำนมแพะไปทำขนมได้อีกชนิดหนึ่ง ประเดี๋ยวกลับไปจะทำให้มาให้ท่านลองชม หากอร่อยจะเข้ามาทำให้ท่านกินดีหรือไม่”
เจินไท่เฟยยิ้มอ่อนโยนยิ่งแล้วเอ่ยเสียงแผ่วว่า “ดี”
เช้าวันต่อมาเจินเมี่ยวก็ได้รับข่าวว่า เจินไท่เฟยสิ้นแล้ว
เป็นไปไม่ได้!
วาจานี้ติดอยู่ที่ปลายลิ้นเจินเมี่ยวแต่สุดท้ายนางก็กลืนมันคงท้อไป นางจ้องขันทีผู้มาแจ้งข่าวนิ่ง ทั้งกัดฟันเอ่ยถามว่า “ฝ่าบาท ฝ่าบาททรงตรัสว่าเช่นไร”
ขันทีตอบอย่างเคารพนบน้อมว่า “ทรงให้ส่งคนไปแจ้งที่จวนเจี้ยนอานปั๋วแล้ว ฝ่าบาททรงตรัสว่าให้ฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินใหญ่จวนเจี้ยนอานปั๋วและท่านเข้าวังไปพร้อมกัน เกี้ยวรออยู่ด้านนอกแล้วขอรับ”
“เข้าใจแล้ว” เจินเมี่ยวเดินโซเซกลับไปที่ห้องตน นางเข่าอ่อนจนเกือบสะดุดล้ม มู่จือเข้ามาประคองไม่ทัน แต่นางคว้าจับเสาเตียงไว้ได้ทัน เมื่อยืนมั่นคงแล้วจึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกมา แล้วบอกว่า “หาชุดสีเรียบๆ มาให้ข้าที”