วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 456 เลือกความตาย
เจินเมี่ยวเหม่อมองสุราพิษนั้น
เฉินชิ่งตี้อมยิ้ม “ดูท่าแล้ว จยาหมิงไม่ได้อยากจะตาย”
เจินเมี่ยวหันไปค้อนเฉินชิ่งตี้แล้วคิดในใจว่า เหตุใดฟ้าถึงไม่ผ่าคนเสียสติผู้นี้ให้ตายไปเสียที!
แน่นอนว่านางไม่อยากตาย นางยังสาวและร่ำรวยแถมร่างกายนางก็ยังแข็งแรงอีก ลูกชายของนางผู้หนึ่งน่ารัก ผู้หนึ่งหลักแหลม สามีของนางไม่มีอนุภรรยา ตามรูปการณ์แล้วนางยังสามารถมีชีวิตที่ดีได้อีกหลายปี ต่อให้กลัดกลุ้มใจเพียงใดก็ไม่เคยคิดอยากตาย!
ทว่าผู้ใดใช้ให้นางเกิดมาในยุคสมัยที่จักรพรรดิยิ่งใหญ่เหนือสวรรค์เล่า ต่อให้คุณชายผู้สืบทอดมีความสามารถเพียงใด แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงขุนนาง จะก่อกบฏ ได้สำเร็จหรือ
นางไม่กล้าเอ่ยชื่อหลัวเทียนเฉิงแม้แต่คำเดียว เพราะกลัวว่าจะไปแทงใจของเฉินชิ่งตี้และเขาจะกลับไปเล่นงานคนในจวนเจิ้นกั๋วกงทั้งบ้าน
“อันที่จริงแล้ว เราก็ไม่อยากให้เจ้าตาย เพียงแค่ความลับนี้เป็นเรื่องสำคัญมาก เราจะเชื่อเจ้าได้อย่างไร”
หัวใจของเจินเมี่ยวกระตุกแล้วบังคับตัวเองให้เงยหน้าขึ้นมาจากสุราพิษถ้วยนั้น นางตอบด้วยเสียงแหบแห้งว่า “ฝ่าบาท ไท่เฟยมาจากจวนเจี้ยนอานปั๋ว ฝ่าบาทเองก็น่าจะรู้ว่าหากความลับแพร่งพรายออกไปแม้เพียงนิดเดียว คุณหนูจากจวนเจี้ยนอานปั๋วก็คงใช้ชีวิตต่อไม่ได้แน่ แล้วหม่อมฉันจะพูดเรื่อยเปื่อยได้อย่างไร”
เฉินชิ่งตี้ส่ายหน้า “ไม่ แค่นั้นยังไม่พอ”
ทันใดนั้นเขาก็เพิ่งค้นพบว่า เขาชอบเห็นคนตรงหน้ามีทีท่าดิ้นรนและกลัดกลุ้มเช่นนี้
“เว้นเสียแต่…”
เกิดประกายวูบไหวในดวงตาของเจินเมี่ยว เป็นประกายสีดำที่ทำให้ผู้คนหลงใหล ความปรารถนาที่จะมีชีวิตต่อราวกับลูกเจี๊ยบที่ตกลงไปในน้ำ ทั้งๆ ที่รู้ว่าความหวังของตนริบหรี่เต็มทีแต่ก็ยังพยายามกระพือปีกน้อยๆ ต่อไป
เฉินชิ่งตี้มองนางพลางยิ้ม จากนั้นจึงเอ่ยช้าๆ ว่า “เว้นเสียแต่เจ้าจะเป็นเหมือนเรา นั่นคือกระโดดลงไปในหลุมโคลนด้วยกัน เราถึงจะปล่อยให้เจ้ามีชีวิตต่อไปดีหรือไม่”
“ฝ่าบาทหมายความว่าอย่างไรเพคะ” ประกายในดวงตาของเจินเมี่ยวหายไป นางเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่างขึ้นมา
หลังจากนั้นก็ได้ยินเฉินชิ่งตี้เอ่ยขึ้นมาตามคาดว่า “ติดตามเรา”
ติดตามเราหมายความว่าอะไรกัน เจินเมี่ยวไม่เข้าใจในตอนนั้น พลางคิดในใจว่าตระกูลของนางไม่ได้เป็นกบฏ ซื่อจื่อก็คอยติดตามคนเสียสติผู้นี้อยู่มิใช่หรือ
“เราต้องการเจ้าเป็นผู้หญิงของเราสักครั้ง” เฉินชิ่งตี้อธิบายไม่ถูกเช่นกันว่าอารมณ์ของเขาตอนนี้เป็นเช่นไร แต่เมื่อเอ่ยออกไปเช่นนี้แล้วก็เกิดความรู้สึกบางอย่างขึ้นมา
ไท่เฟยคือผู้หญิงที่เขาคิดถึงและคะนึงหามาตลอด แต่นางกลับปฏิเสธความต้องการของเขา
แล้วจยาหมิงเล่า ตอนที่กอดนางจะรู้สึกเหมือนตอนกอดไท่เฟยหรือไม่
สีหน้าของเจินเมี่ยวในตอนนั้นพลันเปลี่ยนสี นางโกรธจนพูดอะไรไม่ออก “ฝ่าบาท ฝ่าบาทไม่รู้จักยางอายบ้างหรือ”
สีหน้าของเฉินชิ่งตี้ดำดิ่ง “จยาหมิง เจ้าอย่าลืมนะว่าเราคือจักรพรรดิ! เจ้าคิดว่าเจ้ามีสิทธิ์อะไรถึงพูดกับเราเช่นนี้”
“มีสิทธิ์อะไรรึ” เจินเมี่ยวรู้ดีว่าเรื่องนี้คงจบดีไม่ได้แล้ว ในเมื่อคนผู้นี้ยัดเหยียดวิธีการเช่นนี้ให้นาง เกรงว่านางก็คงต้องตามรอยเดียวกับไท่เฟยไป
ในเมื่อไม่อาจหนีความตายพ้น นางจะยังต้องกลัวอะไรอีก!
เจินเมี่ยวเลิกคิ้วขึ้นแล้วส่งเสียงถ่มน้ำลายอย่างรังเกียจ “สิทธิ์อะไรรึ ก็ท่านทำตัวไร้ยางอายก่อน ตอนแรกก็ยัดเหยียดความตายให้กับคนที่เลี้ยงดูท่านมายันโตอย่างไท่เฟย ต่อมายังคิดสกปรกกับเมียของขุนนางอีก!”
เมื่อเห็นเฉินชิ่งตี้ตั้งท่าเตรียมจะพูดโต้ตอบ เจินเมี่ยวจึงแค่นหัวเราะขัดจังหวะขึ้น “ท่านคิดจะพูดว่าตัวเองเป็นจักรพรรดิอีกแล้วใช่หรือไม่ เสด็จพี่หก หม่อมฉันละอายใจแทนท่านจริงๆ คนอย่างท่านจะไปรู้จักคำว่าชอบจริงๆ ได้อย่างไร ใช่ ท่านอาจจะเป็นเจ้าของแผ่นดินนี้ ไม่มีใครหาเรื่องท่านได้ บีบบังคับจนผู้อื่นไม่เหลือหนทางไปต่อแล้วจะไม่ให้เลือกความตายได้อย่างไร”
นางคว้าถ้วยสุราขึ้นมา แล้วจ้องเข้าไปในดวงตาของเฉินชิ่งตี้พลางยกถ้วยขึ้นมาจ่อที่ริมฝีปาก
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของนางแถมยังต่อว่าตนยกใหญ่ เฉินชิ่งตี้จึงรู้สึกทั้งโกรธทั้งโมโห แถมยังรู้สึกเจ็บปวดในแบบที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้จึงกัดริมฝีปากแล้วยิ้มอย่างเย็นชา “จยาหมิง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าหากเจ้าตายไปแล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป”
มือของเจินเมี่ยวสั่นไหว
เฉินชิ่งตี้ยิ้มอย่างอ่อนโยนแล้วยื่นมือออกมาหยิบสุราพิษออกไปจากมือของนาง เพื่อเอาไปวางไว้ที่แท่นข้างๆ จากนั้นจึงเชยคางของนางขึ้นแล้วเอ่ยอย่างเวทนาว่า “หลานตัวน้อยของเราเพิ่งอายุไม่กี่ขวบเท่านั้น ส่วนจิ่นหมิงยังหนุ่มแถมมีความสามารถ หากเจ้าตายเราจะพระราชทานองค์หญิงฟางโหรวให้เขาดีหรือไม่”
เมื่อเห็นสีหน้าของเจินเมี่ยวเปลี่ยนไป เขาจึงหัวเราะออกมา “ฟางโหรวขาพิการ แม้ว่าจะเป็นองค์หญิง แต่คงทำให้จิ่นหมิงลำบากใจแน่ แต่ไม่ต้องกังวลไป บนแผ่นดินนี้สตรีที่งดงามอ่อนโยนนั้นมีมากมาย เราจะเลือกสักสองสามคนให้เป็นอนุของเขาก็แล้วกัน เมื่อเวลาผ่านไปหลายปีเข้า จยาหมิง เจ้าลองเดาดูสิว่าเขาจะยังจำได้หรือไม่ว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้าเป็นอย่างไร”
“สรุปแล้วฝ่าบาทต้องการอะไรกันแน่”
คนที่ต้องการวางยาพิษนางให้ตายก็คือเขา คนที่พูดให้นางไม่อยากตายก็คือเขา จักรพรรดิถือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไร้เหตุผลที่สุดบนโลกนี้แล้วใช่หรือไม่
เฉินชิ่งตี้หัวเราะเบาๆ “เราไม่ได้มีแผนการอะไร เราเพียงอยากให้เจ้าคิดให้ดีก่อนแล้วค่อยเลือก เพราะเมื่อเจ้าดื่มสุราพิษเข้าไปแล้ว เทพหรือเทวดาองค์ไหนก็คงช่วยเจ้าไม่ได้”
เจินเมี่ยวยิ้มละเ**่ย “เลือกรึ หม่อมฉันจะเลือกอะไรได้”
เฉินชิ่งตี้มีอาการลำบากใจ “ติดตามข้า ก็เป็นทางเลือกเหมือนกันมิใช่หรือ วางใจเถิด เราไม่ได้คิดจะแย่งตัวเจ้ามาจากจิ่นหมิงเสียหน่อย เพียงแค่…หึๆ เราตกหลุมลึกเกินไปเสียแล้ว เราจะหาคนมาเป็นเพื่อนสักคนไม่ได้เชียวหรือ บนโลกใบนี้คนที่จะเป็นเพื่อนกับเราได้ก็คงเหลือเพียงเจ้าแล้ว”
“ขออภัยด้วยเพคะ อย่างนั้นหม่อมฉันขอเลือกความตายจะดีกว่า” เจินเมี่ยวถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วหยิบสุราพิษขึ้นมาดมกลิ่นพลันขมวดคิ้ว
เฉินชิงตี้จ้องเขม็ง สีหน้าของเขาไม่แสดงอารมณ์อะไร
คำก็ตายสองคำก็ตาย ไม่คิดจะอยู่กับเขาบ้างเลยหรือ ที่แท้แล้วจยาหมิงกับไท่เฟยนั้นเหมือนกันในจุดนี้นี่เอง
เจินเมี่ยวขยับถ้วยสุราแล้วมองไปยังเฉินชิ่งตี้
ริมฝีปากของเฉินชิ่งตี้กระตุกขึ้น เกิดเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
ดูท่าแล้วเขาคงคิดผิด เมื่อมาถึงจุดสำคัญ คนเราก็เกิดรักชีวิตขึ้นมาเช่นกัน
“ฝ่าบาท เฉินเส่ามีคำขอร้องหนึ่งข้อเพคะ”
“เจ้าว่ามา”
“สุราพิษนี้กลิ่นรุนแรงมาก เติมน้ำผึ้งให้สักช้อนหนึ่งได้หรือไม่”
เฉินชิ่งตี้ “…”
ผ่านไปครู่ใหญ่ เขาถึงจะส่งเสียงตอบกลับมาว่า “ได้!”
“หยางกงกง ไปเอาน้ำผึ้งมา!”
หยางกงกงนำน้ำผึ้งที่อยู่ในถ้วยสีเขียวอ่อนถ้วยเล็กเข้ามา
“เอาไปให้จยาหมิงเสี้ยนจู่!” เฉินชิ่งตี้หน้าตาแข็งกระด้าง
หยางกงกงตัวสั่นแล้วส่งถ้วยน้ำผึ้งให้อย่างระมัดระวัง
ในถ้วยเล็กๆ ใบนั้นมีช้อนอยู่ด้วย เจินเมี่ยวตักน้ำผึ้งใส่เข้าไปในสุราพิษ คิดแล้วคิดอีกกว่าจะวางช้อนลง
ดวงตาของเฉินชิ่งตี้เบิกกว้างขึ้น
หยางกงกงกลอกตาอยู่ในใจแล้วคิดในใจว่า โธ่ กูไหน่ไหน่ ฝ่าบาทกำลังพระราชทานความตายให้ท่านอยู่นะ ยังจะใส่น้ำผึ้งลงไปในสุราพิษอีก แถมยังเติมตั้งสองช้อน!
มิถูก ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าเติมกี่ช้อน ประเด็นสำคัญคือนี่คือสุราพิษ ต่อให้ใส่น้ำผึ้งลงไปทั้งถ้วย ดื่มเข้าไปก็ตายอยู่ดี!
หยางกงกงรู้สึกว่า เขาคลุกคลีอยู่ในวังหลวงและจวนอ๋องมานานหลายปีขนาดนี้ น่าจะพอเข้าใจความคิดของคนชั้นสูงพวกนี้ดีแล้ว ทว่าตอนนี้เขากลับรู้สึกงุนงงนัก
เจินเมี่ยวคนน้ำผึ้งให้เข้ากัน แล้ววางถ้วยสุราไว้ในจานรอง จากนั้นจึงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวออกมาเช็ดหน้าแล้วมัดผมที่เปียกชื้นจากน้ำตาเอาไว้เป็นช่อ จากนั้นจึงหยิบสุราพิษขึ้นมาแล้วหันไปจ้องเฉินชิ่งตี้อย่างเย็นชา นางเงยหน้าสูดอากาศเข้าไปแล้วยกสุราขึ้นดื่ม
“เจ้า” สีหน้าของเฉินชิ่งตี้เปลี่ยนไปเพียงเล็กน้อย จากนั้นจึงก้าวมาข้างหน้าก้าวหนึ่ง
เจินเมี่ยวรู้สึกว่าในท้องของตนมีไฟลุกโชน นางใช้แรงเฮือกสุดท้ายแล้วเขวี้ยงถ้วยสุราใส่หน้าเฉินชิ่งตี้ ก่อนที่ภาพทุกอย่างจะกลายเป็นสีดำ ในหัวของนางมีความคิดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ตนเขวี้ยงโดนเขาหรือไม่?