วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 457 โยนความผิด
เฉินชิ่งตี้โอบเจินเมี่ยวที่หมดสติไปแล้วเข้ามาไว้ในอกด้วยสีหน้ายากจะคาดเดา
หยางกงกงพยายามฝืนตัวเองไม่ให้แสดงความสงสัยออกไป แต่ในใจของเขารู้สึกระทึกใจมาก
แม่เจ้า ฝ่าบาทจะทำเช่นนั้นจริงหรือ
เริ่มจากการหลอกจยาหมิงเซี่ยนจู่ว่านี่คือสุราพิษแล้วบังคับให้เซี่ยนจู่ดื่มมันลงไป แค่นี้ก็แย่เต็มทีแล้ว หรือว่าการจากไปของไท่เฟย ทำให้ฝ่าบาทเศร้าโศกอย่างมากจนต้องหาทางระบายออก
แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น ดูจากท่าทางที่ฝ่าบาทกอดเซี่ยนจู่สิ นี่มัน…ใช่ความสัมพันธ์ของพี่ชายกับน้องสาวหรือ
เฮ้อ แม่ทัพหลัวยังอยู่ที่ด่านชายแดน หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างฝ่าบาทกับจยาหมิงเซี่ยนจู่ จะเกิดความวุ่นวายขึ้นหรือไม่
ฝ่าบาทจะโง่เขลาเช่นนี้ไม่ได้!
ขณะที่กำลังปลอบตัวเองอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงเฉินชิ่งตี้เอ่ยว่า “เจ้าออกไปเถิด”
อะไรนะ? หยางกงกงตัวอ่อนจนแทบจะทรุดฮวบลงไปนั่งกับพื้น
โธ่ ฝ่าบาท วังหลังกว้างใหญ่ สตรีใต้หล้านี้มีตั้งมากมาย เหตุใดต้องใช้กำลังขืนใจคนหมดสติเช่นนี้ น่าขายหน้านัก!
“ไปตามคนให้มาพาเซี่ยนจู่ไปส่งที่จวนกั๋วกง”
หยางกงกงแทบจะร้องไห้ออกมา “พ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยจะไปจัดการเดี๋ยวนี้”
เฉินชิ่งตี้วางเจินเมี่ยวลงบนเตียง เมื่อเดินไปถึงตรงมุมห้องก็หยิบปิ่นหยกดอกกล้วยไม้อันนั้นขึ้นมาจ้องอยู่พักหนึ่ง จากนั้นจึงประคองครึ่งตัวบนของนางขึ้นมาแล้วใช้ปิ่นมวยผมให้นางด้วยความชำนาญ เมื่อมองดูแล้วคล้ายกับทรงผมของนางตอนเพิ่งเข้ามาในวังใหม่ๆ
เมื่อจัดวางนางเข้าที่แล้ว เขาก็เหม่อมองดูใบหน้าอันคุ้นเคยของนาง จนกระทั่งเสียงของหยางกงกงดังขึ้น “ฝ่าบาท เตรียมทุกอย่างเรียบร้อยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินชิ่งตี้ลุกขึ้นยืนโดยไม่หันไปมองเจินเมี่ยวอีก จากนั้นจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “เราอยากพักผ่อนแล้ว ท่าทางของจยาหมิงเซี่ยนจู่เป็นเช่นนี้ หากกลับไปที่จวนเกรงว่าคนอื่นๆ จะคิดมากได้ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ส่งข่าวไปที่จวนเจิ้นกั๋วกงว่า จยาหมิงเซี่ยนจู่หลังจากเข้ามาในวังหลวงแล้วบังเอิญเห็นของใช้เก่าๆ ของไท่เฟยเข้าจึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมากทำให้รู้สึกไม่สบาย ไท่โฮ่วเป็นห่วงนางจึงรั้งให้นางอยู่ที่นี่ก่อนแล้วค่อยกลับไปในวันพรุ่งนี้”
หยางกงกงเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เช่นนั้น…บ่าวจะนำเซี่ยนจู่ไปส่งที่จวนไท่โฮ่วเดี๋ยวนี้”
ยิ่งจยาหมิงเซี่ยนจู่อยู่ที่นี่นานมากเท่าไร หัวใจของเขาก็ยิ่งหวาดหวั่นมากขึ้นเท่านั้น
เฉินชิ่งตี้ขมวดคิ้ว “เรื่องนี้ไม่จำเป็น ไปบอกทางตำหนักไท่โฮ่วเอาไว้หน่อยก็พอ จยาหมิงเซี่ยนจู่…”
เขาเงียบไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยว่า “เอาไปไว้ที่ตำหนักฉงหวาก็แล้วกัน”
ตำหนักฉงหวาคือตำหนักของจิ้งกุ้ยเฟย จยาหมิงเซี่ยนจู่กับจิ้งกุ้ยเฟยถือเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน ดังนั้นการเอานางไปไว้ที่นั่นถือว่ามีเหตุผลพออธิบายได้ หยางกงกงเรียกคนเข้ามาและประคองนางออกไปยังตำหนักฉงหวา
เมื่อเฉินชิ่งตี้อยู่ในห้องเพียงแค่คนเดียวแล้ว ในห้องก็เวิ้งว้างเงียบงันไร้ผู้คน มีเพียงลมที่พัดม่านให้พัดไหวเท่านั้น เช่นเดียวกับจิตใจอันไม่สงบของเขาในตอนนี้
เฉินชิ่งตี้นั่งลงบนเตียงที่เจินเมี่ยวนอนเมื่อครู่ ตอนนี้เขาอยู่ในที่ที่แสงส่องไม่ถึงทำให้ใบหน้าของเขามีเงามืดเคลือบอยู่
เมื่อนั่งสงบๆ อยู่ได้พักหนึ่ง เขาก็เริ่มควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้จึงถอนใจเบาๆ แล้วออกไปยังตำหนักของเจินไท่เฟยเมื่อตอนมีชีวิตอยู่
ตอนที่ฮูหยินผู้เฒ่าเจี้ยนอันปั๋วกับนางเจี่ยงรู้ว่าเฉินชิ่งตี้เรียกเจินเมี่ยวเข้าเฝ้านั้นก็ถูกส่งออกจากวังไปแล้ว ไม่มีวาระและโอกาสพิเศษอะไร ไท่โฮ่วเองก็ไม่ได้พูดอะไร และพวกนางก็ไม่ควรอยู่ที่นี่นานด้วย จึงไม่รู้ว่าที่เจินเมี่ยวหายไปในครั้งนี้เจอเรื่องราวที่น่าตื่นตกใจอย่างไรบ้าง แต่หลังจากทางจวนกั๋วกงได้รับข่าวเรื่องนี้มาแล้ว ทั้งสองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก
มีเพียงเจินจิ้งที่อ้าปากค้างหลังฟังรายงานจากปากหยางกงกง จึงชี้ไปที่เจินเมี่ยวที่กำลังหมดสติอยู่แล้วเอ่ยว่า “นาง…มาจากตำหนักหย่างซินหรอกหรือ”
หยางกงกงมองเจินจิ้งอยู่เป็นนานอย่างมีความหมายบางอย่างแล้วเอ่ยว่า “ฝ่าบาทได้ยินมาว่าจยาหมิงเซี่ยนจู่เข้าวังมาเมื่อวานแล้วอยู่เป็นเพื่อนไท่เฟยเป็นเวลานาน จนกระทั่งไท่เฟยสิ้นพระชนม์ วันนี้เซี่ยนจู่เข้าวังมาอีกเพื่อมาไต่ถามสารทุกข์สุกดิบ แต่ผู้ใดเลยจะรู้ว่าเซี่ยนจู่จะเสียใจจนหมดสติไป ไม่สะดวกนักหากจะให้นางอยู่ที่ตำหนักหย่างซิน ดังนั้นจึงพาเซี่ยนจู่มาที่นี่”
เมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเจินจิ้งเช่นนี้จึงไม่ยังเอ่ยปากอะไร หยางกงกงกระแอมเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยว่า “พระสนมกุ้ยเฟยโปรดจัดการที่อยู่ให้เซี่ยนจู่ด้วยเถิด คืนนี้เซี่ยนจู่จะค้างที่นี่ บ่าวขอตัวลาพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อหยางกงกงเดินออกไปแล้ว เจินจิ้งพลันหลุดจากภวังค์ จากนั้นก้าวเท้ายาวๆ ไปยังเจินเมี่ยวเพื่อมองหน้านาง
“พระสนมเพคะ” เมื่อนางกำนัลใหญ่ในตำหนักฉงหวาเห็นสีหน้าของเจินเมี่ยวผิดปกติไปก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากถาม “บ่าวจะให้คนไปเก็บกวาดตำหนักซีเพียนเอาไว้นะเพคะ”
เจินจิ้งหันกลับมาแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งว่า “เก็บกวาดอะไร? ตำหนักซีเพียนเป็นสถานที่สำหรับพระสนมตำแหน่งเล็กๆ อยู่ ตอนนี้สาวงามในวังหลังยังมีไม่มากนัก แม้ว่าตำหนักซีเพียนในตำหนักฉงหวาจะยังว่างอยู่ แต่จะให้เซี่ยนจู่ไปอยู่ที่นั่นได้อย่างไร ข้าว่าเจ้าชักจะเลอะเลือนใหญ่แล้ว!”
หัวใจของนางกำนัลใหญ่กระตุกวูบแล้วรีบขอโทษอย่างหวาดเกรง “บ่าวเลอะเลือนไปแล้ว พระสนมโปรดลงโทษเพคะ!”
“ช่างเถิด” เจินจิ้งโบกมือ “จยาหมิงเซี่ยนจู่คือน้องสาวของข้า ไม่ใช่คนอื่นไกล ให้นางอยู่กับข้าก็แล้วกัน ไปเก็บกวาดเรือนตะวันตกเอาไว้”
คำว่าเก็บกวาดนั้นก็หมายถึงการเปลี่ยนเครื่องนอนทั้งหมดใหม่ จึงใช้ให้คนอุ้มนางไปอย่างระมัดระวัง เจินจิ้งก็ตามไปด้วยแล้วโบกมือ “พวกเจ้าออกไปเถิด เฉี่ยวอิง เจ้าไปถามหยางกงกงสิว่าได้ให้หมอหลวงมาดูอาการหรือยัง มียาอะไรที่ข้าต้องเตรียมให้จยาหมิงเซี่ยนจู่หรือไม่”
“เพคะ”
เมื่อทุกคนออกไปแล้ว เจินจิ้งก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างเตียงแล้วก้มมองเจินเมี่ยวที่ยังคงหมดสติอยู่
ครู่ใหญ่ เจินจิ้งจึงส่งเสียงหัวเราะออกมา
ฮ่าๆ เสียใจขนาดไหนกันถึงหมดสติไปราวกับไร้วิญญาณเช่นนี้ นางไม่เชื่อคำพูดนี้แม้แต่นิดเดียว!
คงจะไม่ใช่…
ตอนนั้นเองนางพลันยื่นมือออกไปดึงปกคอเสื้อสีขาวของเจินเมี่ยวออก สายตาของนางจ้องไปที่ไหปลาร้าที่มีรอยแดงจางๆ ปรากฏอยู่
นี่คือ…
เจินจิ้งลุกพรวดยืนขึ้น ริมฝีปากของนางสั่นระริก
ที่แท้ ความสงสัยของนางนั้นถูกต้อง ฝ่าบาทสนใจในตัวน้องสี่เจินจริงๆ จนถึงวันนี้ที่อดทนไม่ไหวอีกต่อไป!
พวกสำส่อน!
มิถูก ในตำหนักของจักรพรรดิไม่ใช่ว่าจะไม่มีสตรีที่รูปโฉมงดงามทัดเทียมน้องสี่เจิน ฝ่าบาทสนใจนางขนาดไหนกันเชียวถึงได้ไม่สนใจศีลธรรมและลงมือทำเรื่องราวเช่นนี้ได้
จะต้องเป็นเพราะน้องสี่เจินหน้าไม่อาย ยั่วยวนให้ฝ่าบาทเกิดความรู้สึกเช่นนั้นขึ้นมาแน่ๆ !
มือของเจินจิ้งสัมผัสกับผิวที่นุ่มลื่นนั้น สีหน้าของนางพลันปรากฏความเคียดแค้นขึ้นมา
ทั้งๆ ที่เป็นหลานสาวเหมือนกัน แต่ไท่เฟยกลับมอบเครื่องสำอางประทินผิวอันมีค่าหายากที่เป็นที่เลื่องลือนั่นให้น้องสี่เจิน เป็นเพราะผิวที่สวยงามของนางเช่นนี้หรือไม่ที่ดึงดูดใจฝ่าบาทได้
ด้วยไฟที่กำลังลุกโชนอยู่ในใจของเจินจิ้งทำให้นางฉีกเสื้อผ้าของเจินเมี่ยวออกอย่างขาดสติ
ตอนนี้เข้าฤดูร้อนแล้ว เจินเมี่ยวจึงไม่ได้สวมใส่อะไรมากนัก เมื่อผิวพรรณปรากฏต่อสายตาแล้ว เจินจิ้งจึงพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
น้องสี่เจินคล้ายว่า…ยังไม่ได้อาบน้ำ…
ในแววตาของเจินจิ้งเกิดประกายบางอย่าง แล้วรีบสำรวจตามร่างกายต่อจึงลอบถอนใจ
ที่แท้ฝ่าบาทไม่ได้แตะต้องนาง!
แต่หลังจากถอนใจไปได้ไม่นาน นางก็จ้องมองเจินเมี่ยวที่เสื้อผ้าขาดหลุดลุ่ยแล้วเกิดความคิดบางอย่างขึ้นมา
“เฉี่ยวหรง…” เจินจิ้งตะโกนเรียกนางกำนัลใหญ่อีกคนเข้ามา “ข้าเห็นว่าเซี่ยนจู่มีเหงื่อออกเยอะมาก เจ้าช่วยเช็ดตัวให้เซี่ยนจู่อย่างดีด้วยเถิด แล้วหาเสื้อผ้าสะอาดๆ มาเปลี่ยนให้นาง”
“เพคะ”
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเพียงใดกว่าเจินเมี่ยวจะลืมตาขึ้นมา ภาพแรกที่ปรากฏเข้ามาในสายตาของนางคือใบหน้ายิ้มแย้มที่กำลังกังวลใจอยู่ของเจินจิ้ง