วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 458 รู้อยู่แก่ใจ
สายตาของนางจะต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ
เจินเมี่ยวกะพริบตาแล้วหลับตาลงอีก
รอยยิ้มของเจินจิ้งแข็งค้างแล้วกัดริมฝีปาก จากนั้นจึงนำเล็บยาวที่มีสีสันสดใสลูบแก้มของนางพลางเอ่ยอย่างอ่อนโยนว่า “น้องสี่ตื่นแล้วหรือ”
เจินเมี่ยวรีบลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปรอบๆ ตัว สุดท้ายสายตาของนางจึงไปตกอยู่ที่ใบหน้าของเจินจิ้ง “ที่นี่คือที่ไหนหรือ”
“นี่คือตำหนักของข้าเอง ฝ่าบาทบอกว่า…เจ้าเศร้าโศกจนหมดสติไป ก่อนหน้านี้ไม่นานนักจึงส่งเจ้ามาที่ตำหนักข้า พรุ่งนี้เมื่ออาการดีขึ้นค่อยออกจากวัง” เจินจิ้งปิดบังความวุ่นวายใจและความสงสัยของตนอย่างไร้ร่องรอย เหลือเพียงน้ำเสียงที่นุ่มนวลผสมผสานความเห็นใจอย่างลงตัวพอดี
เจินเมี่ยวก้มหน้าลงมองตัวเองด้วยสัญชาตญาณ เมื่อเห็นเสื้อผ้าของตัวเองถูกเปลี่ยนแถมยังมีกลิ่นดอกไม้จากการอาบน้ำมา นางจึงตกตะลึงไป
สีหน้าของเจินจิ้งแสดงความสะใจออกมา จากนั้นจึงซ่อนสีหน้านั้นไว้อย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยอย่างร้อนรนว่า “อากาศร้อนมาก ข้าเห็นน้องสี่มีเหงื่อออกมากจึงให้คนอาบน้ำให้เจ้า”
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ก็หยุดพูดไปแล้วปลอบใจว่า “วางใจเถิด คนที่เช็ดตัวให้เจ้าเป็นสาวใช้คนสนิทของข้าเอง นางเข้าใจกฎระเบียบต่างๆ ดี ไม่มีทางพูดอะไรไม่เหมาะสมออกไปแน่”
ในหัวของเจินเมี่ยวตอนนี้เต็มไปด้วยคำถามว่าเหตุใดสุราพิษนั้นถึงไม่ทำให้นางตาย นางจึงไม่ได้เอะใจถึงความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของเจินจิ้งเลยแม้แต่น้อย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงจึงเอ่ยเรียบๆ ว่า “ขอบพระทัยเพคะ”
“โธ่ มิต้องหรอก…” เจินจิ้งยิ้มเกร็งด้วยความหงุดหงิดขึ้นมา
นี่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ผู้หญิงทั่วไปเมื่อได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้จะต้องเดาได้แล้วว่าฝ่าบาททำอะไรตนไปบ้าง เหตุใดน้องสี่เจินถึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลย?
ไม่เลว นางมีแผนเช่นนี้
ตอนคนเราหมดสติไปเกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง เจ้าตัวไม่มีทางรู้อย่างแน่นอน น้องสี่เจินก็เป็นฮูหยินที่มีลูกแล้ว ตนสั่งให้คนเช็ดตัวนางให้สะอาด หากกล่าวใส่สีตีไข่ให้เป็นนัยอีกเล็กน้อย ไม่มีทางที่นางจะไม่คิดมาก
หรือจะกล่าวอีกแง่หนึ่งคือ ต่อให้น้องสี่เจินไม่แน่ใจว่าฝ่าบาทล่วงเกินนางหรือไม่ นางก็คงต้องพอมีความสงสัยอยู่บ้าง และความสงสัยนี้จะเป็นเข็มที่ทิ่มแทงความสัมพันธ์ระหว่างนางกับคุณชายผู้สืบทอดหลัว
เข็มที่ไม่กล้าแตะต้อง ไม่กล้าเอ่ยถึง เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าจนเกิดติดเชื้อขึ้นมา ถึงตอนนั้นจะเกิดอะไรขึ้น นางอยากให้วันนั้นมาถึงเร็วๆ
แต่ว่า…อย่างแรกคือต้องทำให้น้องสี่เจินสงสัยในเรื่องนี้ให้ได้ก่อน!
เจินจิ้งแทบจะกัดฟันทองของตัวเองจนแตก
หมดสติไปที่ตำหนักหย่างซินแถมตื่นขึ้นมาในช่วงเวลานี้ จะไม่คิดมากหน่อยหรือว่ามันมีอะไรบางอย่างไม่เหมาะสมเกิดขึ้น
“น้องสี่ อยากกินอะไรหน่อยหรือไม่”
เมื่อนึกถึงเหล้าที่ทั้งฝาดทั้งขมถ้วยนั้น เจินเมี่ยวไม่นึกอยากกินของอะไรในวังหลวงอีก จึงส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่เอาแล้วเพคะ ข้าอยากพักผ่อนสักพัก”
เมื่อความคิดไปคนละทางกันบวกกับความสัมพันธ์ของคนสองคนนี้ที่ไม่ค่อยสนิทสนมกัน เจินเมี่ยวที่กำลังเหนื่อยล้าจึงไม่มีอารมณ์พูดเพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องอะไรทั้งสิ้น
เมื่อเอ่ยตรงกับความคิดของเจินจิ้งพอดี นางจึงลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่กวนเวลาพักผ่อนของน้องสี่แล้ว มีสาวใช้คอยเฝ้าอยู่ตรงหน้าประตู หากเจ้ามีอะไรอยากให้ช่วยเหลือก็ตะโกนเรียกพวกนางได้เลยเมื่อถึงเวลาอาหารค่ำข้าจะมาเรียกเจ้าอีกที”
“เพคะ” เจินเมี่ยวพยักหน้า
เจินจิ้งหันตัวออกไป กลิ่นหอมฟุ้งของนางค่อยๆ เคลื่อนไกลออกไป
เจินเมี่ยวลุกขึ้นแล้วลงจากเตียง เมื่อเท้าของนางแตะพื้น ตัวของนางก็ไร้เรี่ยวแรงจึงรีบเอามือจับเตียงเอาไว้แล้วนอนลงอีกครั้ง ในใจของนางอดผรุสวาทไม่ได้
เฉินชิ่งตี้คนสารเลว ในเมื่อไม่ได้ตั้งใจให้นางตายแล้วบังคับนางให้ดื่มสุราถ้วยนั้นทำไม การแกล้งนางมันสนุกมากนักหรือ?
เมื่อนึกได้ว่าคนผู้นั้นคิดสกปรกอย่างไรกับไท่เฟยบ้าง แถมยังเป็นฆาตกรที่ทำให้ไท่เฟยตาย นางพลันรู้สึกทั้งโกรธและรังเกียจ นางใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าจะสงบอารมณ์ของตัวเองลงได้แล้วหลับตาลงเพื่อรวบรวมเรี่ยวแรงของตัวเองให้กลับมา
ตอนนั้นเองที่นางได้ยินเสียงประตูเปิดออก จากนั้นก็เป็นเสียงฝีเท้าอันแผ่วเบา
“เซี่ยนจู่คงตื่นแล้วกระมัง”
“เพิ่งตื่นได้เมื่อครู่ เห็นพระสนมบอกว่านางอยากพักผ่อนต่อ พวกเราต้องเบาๆ หน่อย”
ผู้ที่เข้ามาคล้ายว่าเป็นสาวใช้สองคน เจินเมี่ยวจึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นพวกนางจัดห้องอย่างระมัดระวังก็แสร้งทำเป็นหลับต่อไป
เมื่อสาวใช้ทั้งสองจัดของเรียบร้อยแล้วก็เปิดหน้าต่างออกเพื่อให้อากาศถ่ายเท จากนั้นจึงออกไปยืนเฝ้าบริเวณประตู
สาวใช้ทั้งสองคุยเล่นกันอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเปลี่ยนมาคุยประเด็นที่เกี่ยวข้องเจินเมี่ยว
“เหตุใดเซี่ยนจู่ถึงมาอยู่ในวังหลวงได้ ข้าได้ยินมาว่า เซี่ยนจู่เป็นลมมาตั้งแต่ที่ตำหนักหย่างซินแล้ว”
“ชู่ววว” สาวใช้อีกคนลดเสียงลง “นี่ใช่เรื่องที่เจ้าวิจารณ์ได้หรือ ไม่อยากมีชีวิตต่อไปแล้วใช่หรือไม่!”
“โธ่เอ๊ย พี่เฉี่ยวหรง ที่นี่มีพวกเราแค่สองคนเท่านั้น จะมีใครรู้เรื่องกัน อ่อ จริงสิ พี่เป็นคนเช็ดตัวให้นางใช่หรือไม่”
สาวใช้ที่มีนามว่าเฉี่ยวหรงเอ่ยเบาๆ ว่า “อืม ข้าจะบอกเจ้าให้ เรื่องราวในวันนี้ห้ามพูดถึงอีกแม้แต่นิดเดียว มิเช่นนั้นแล้วเจ้าจะรักษาชีวิตเอาไว้ไม่ได้อีก!”
จากนั้นจึงเป็นเสียงประหลาดใจของสาวใช้ “ร้ายแรงเพียงนั้นเชียวหรือ”
เฉี่ยวหรงชะโงกหน้าออกมามองเจินเมี่ยว เมื่อเห็นนางหลับโดยไม่กระดุกกระดิกก็เอ่ยเบาๆ ว่า “ตอนที่ข้าเช็ดตัวให้เซี่ยนจู่ ข้าเห็น…รอยแดงทั่วตัวของนาง…”
“อะไรนะ”
“โธ่เอ๊ย เจ้าไม่ใช่สาวใช้คนสนิทคงไม่เข้าใจ ทุกครั้งที่จักรพรรดิให้พระสนมเข้าเฝ้า ทั่วทั้งตัวของพระสนมก็จะมีแต่ร่องรอยเช่นนี้ พระสนมกลัวว่าเซี่ยนจู่จะรู้เข้าจึงสั่งให้ข้าไปหาไขมันทาผิวชั้นดีมาทาให้เซี่ยนจู่ รอยถึงจางลง เพียงแต่…”
“เพียงแต่อะไร พี่จะพูดจาครึ่งๆ กลางๆ เช่นนี้ไม่ได้นะ ข้าอยากรู้จะแย่แล้ว”
“เพียงแต่กางเกงตรงส่วนนั้นเอาไปซักแล้ว ไม่รู้ว่าหากเซี่ยนจู่รู้เข้าจะคิดมากหรือไม่”
สาวใช้ผู้นั้นหลุดขำออกมา “ไม่แน่นางอาจยินดีก็ได้ ฝ่าบาทสง่างามปานนั้น”
เจินเมี่ยวทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป จึงพยุงตัวลุกขึ้นนั่งแล้วตะโกนเรียก “มีใครอยู่หรือไม่”
สาวใช้ทั้งสองรีบเดินเข้ามา สีหน้าของพวกนางเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น จากนั้นจึงถามออกมาว่า “เซี่ยนจู่มีอะไรจะให้รับใช้หรือไม่เพคะ”
“ข้าเริ่มหิวแล้ว ไปนำชุดน้ำชามาให้ข้าหน่อย”
“เพคะ” สาวใช้ทั้งสองมองหน้ากัน จากนั้นจึงออกไปพร้อมกัน
เมื่อออกไปแล้ว เฉี่ยวหรงจึงรีบนำเรื่องนี้ออกไปรายงานเจินจิ้ง
“นางได้ยินหมดแล้วใช่หรือไม่”
“พระสนมโปรดวางใจเถิด เซี่ยนจู่ต้องได้ยินแน่ บ่าวสังเกตเห็นว่าสีหน้าของนางเปลี่ยนไป”
“อย่างนั้นก็ดี” เจินจิ้งอมยิ้ม
สีหน้าของเจินเมี่ยวเปลี่ยนไปจริงๆ เมื่อสาวใช้ทั้งสองออกไปแล้ว นางก็รีบแกะเสื้อผ้าออกดูจึงพบว่าเสื้อผ้าถูกเปลี่ยนใหม่หมดแล้วทั้งด้านนอกและด้านใน
นางพยายามฝืนร่างกายอันไร้เรี่ยวแรงของนางไปหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง เมื่อมองเงาในกระจกก็เห็นรอยแดงบริเวณไหปลาร้าอย่างชัดเจน
เมื่อได้ยินคำพูดเมื่อครู่ของสาวใช้ทั้งสอง เรี่ยวแรงของนางก็มลายหายไปสิ้น ตัวของนางเย็นเฉียบ คนสารเลว หรือว่าเขาจะฉวยโอกาสนางจริง
ในหัวของเจินเมี่ยวปรากฏภาพเฉินชิ่งตี้ที่มีอาการบ้าคลั่ง จากนั้นจึงเห็นภาพที่เจินจิ้งมีท่าทีเป็นห่วงนาง
เดี๋ยวก่อน เรื่องนี้คล้ายมีบางอย่างไม่ถูกต้อง
สาวใช้เฉี่ยวหรงผู้นั้นพูดว่าอย่างไรนะ
พระสนมกลัวว่าเซี่ยนจู่จะรู้เข้าจึงสั่งให้ข้าไปหาไขมันทาผิวชั้นดีมาทาให้เซี่ยนจู่ รอยถึงจางลง
เจินจิ้งกังวลว่านางรู้เข้าแล้วจะคิดมากน่ะหรือ อย่าล้อเล่นเลย นางควรจะกลัวว่าตนจะไม่รู้มากกว่า
เจินเมี่ยวคิดว่าเรื่องราวไม่น่าจะซับซ้อน นางรู้เพียงว่า เมื่อคนที่ตัวเองเกลียดไม่มีความสุข นางถึงจะมีความสุข
หลอกใช้นางอย่างนั้นหรือ
นางแค่นหัวเราะออกมา
เมื่อทานสำรับน้ำชาเรียบร้อยแล้ว เจินเมี่ยวก็หลับตาพักผ่อนจนได้เรี่ยวแรงกลับมาไม่น้อยแล้ว เมื่อถึงเวลาอาหารนางก็ถูกเชิญไปที่ห้องอาหาร
เมื่อกินอาหารไปได้ครู่ใหญ่ เฉินชิ่งตี้ก็มาถึง
เจินจิ้งแอบยิ้มเมื่อเห็นสายตาของเฉินชิ่งตี้ไปตกอยู่ที่เจินเมี่ยว แต่สีหน้าของนางกลับบึ้งตึงและซีดขาว
เจินเมี่ยวจ้องไปที่เฉินชิ่งตี้จากนั้นจึงเอ่ยปากว่า “ได้ยินมาว่า ฝ่าบาทเอาเปรียบหม่อมฉันหรือเพคะ”