วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 464 ก่อนตายต้องได้ทำ
ทุกคนในเมืองหลวงต่างรู้ดีว่าก่อนที่เฉินชิ่งตี้จะขึ้นครองราชย์ เป็นช่วงเวลาแห่งความสุนทรีย์ช่วงหนึ่ง สาวงามจำนวนมากถูกรับเข้ามาอยู่ประจำแต่ละจวน ทว่าสาวงามพวกนั้นล้วนเป็นสตรีที่มาจากตระกูลธรรมดาเท่านั้น มีเพียงเจินจิ้งผู้เดียวที่เป็นบุตรสาวของอนุจวนเจี้ยนอานปั๋ว จึงกลายเป็นกุ้ยเฟยในทุกวันนี้ ด้วยเหตุนี้จึงจะเห็นได้ว่า พื้นฐานครอบครัวที่ดีถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง
กล่าวได้ว่า การคัดเลือกครั้งแรกหลังจากที่จักรพรรดิองค์ใหม่ขึ้นครองราชย์แล้ว ถือเป็นโอกาสจัดสรรอำนาจของวังหลังใหม่
นอกจากนี้แล้วหวงโฮ่วก็ยังไม่มีทายาทซ้ำยังไม่ได้รับความโปรดปราน ช่วงนี้กุ้ยเฟยผู้มีตำแหน่งสูงสุดเพียงหนึ่งเดียวก็ยังมีข่าวแว่วออกมาว่าไม่ได้รับความโปรดปรานจากจักรพรรดิแล้ว จักรพรรดิยังหนุ่มแน่นและหล่อเหลา ดังนั้นบ้านไหนที่มีลูกสาวอายุเหมาะสมก็เริ่มวางแผนกันเอาไว้แต่เนิ่นๆ แล้ว
จวนเจิ้นกั๋วกงที่ไม่ชอบความวุ่นวาย ตอนนี้กลับจัดงานชมดอกไม้ขึ้น ใครๆ ต่างรู้ดีว่าเอามาเพื่อดูตัวให้คุณชายสองที่ตอนนี้ยังหาภรรยาไม่ได้ หากเป็นเวลาปกติ การนำลูกสาวมาร่วมก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหาอะไร เพราะการมาดูตัวก็ไม่นับว่าเสียหายอะไร หากมาสู่ขอก็ยกให้เท่านั้น ทว่าในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ทุกจวนต่างต้องการดันลูกสาวของตนเข้าวังไปให้ได้จะได้ไม่ต้องตกเป็นขี้ปากของใคร
ฮูหยินผู้เฒ่าถอนใจเบาๆ พลางเอ่ยกับแม่นมหยางว่า “ดูท่า เจ้ารองคงดวงไม่ดี หากจะรีบหาในเวลาเช่นนี้”
แม่นมหยางเอ่ยปลอบว่า “มากันไม่มาก แล้วจะหาคนที่เหมาะสมได้อย่างไร”
เมื่อมีตัวเลือกน้อย ความสนใจของฮูหยินผู้เฒ่าจึงพุ่งตรงไปที่หลานสาวของนางไช่
“เจ้าชื่ออะไร”
ดูท่าทางเด็กสาวผู้นั้นแล้วอายุน่าจะราวๆ สิบห้า สิบหกปี หน้าตาน่ารักหมดจด นางไช่เป็นคนพามาทักทายฮูหยินผู้เฒ่า ท่าทางของนางดูตื่นเต้นและถ่อมตัว ยังดีที่ดวงตาของนางเปล่งประกายแน่วแน่ไม่ว่อกแว่ก
“เรียนฮูหยินผู้เฒ่า ข้ามีนามว่าไช่อวี้หวนเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าค่อนข้างพอใจจึงพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “เป็นชื่อที่ดี”
ระหว่างพูดก็ถอดกำไลออกจากข้อมือแล้วเอ่ยกับนางไช่ว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่พบหลานสาวของเจ้า ท่าทางเป็นเด็กดีคนหนึ่งเลย”
เมื่อไช่อวี้หวนเห็นฮูหยินผู้เฒ่าส่งกำไลให้ตน ก็หันไปมองนางไช่ก่อน เมื่อเห็นนางพยักหน้าให้จึงรับมาแล้วกล่าวขอบคุณ
“ไปเดินเล่นกับพี่ๆ น้องๆ คนอื่นเถิด”
เมื่อไม่มีใครอยู่แล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยกับแม่นมหยางว่า “ดูท่าแล้วถือเป็นเด็กดีคนหนึ่ง หาเมียให้เจ้ารอง ไม่จำเป็นต้องเป็นคนฉลาดเกินไป ขอแค่รู้จักพิธีรีตอง เป็นคนดีมีคุณธรรม นั่นต่างหากที่สำคัญที่สุด”
“พวกเราไปเล่นกันในสวนเถิด” หลัวจือเจินเข้าสู่วัยที่เริ่มเข้าสังคมแล้วจึงพาเด็กสาวสองสามคนเดินออกไปข้างนอก หนึ่งนั้นมีไช่อวี้หวนอยู่ด้วย
ในสวนมีศาลาแห่งหนึ่ง บนศาลาแห่งนั้นปกคลุมแน่นไปด้วยดอกเถิงหลัว[1]ที่บานสะพรั่งสดใส ดอกแต่ละช่อห้อยระย้าลงมาบดบังแสงแดดเอาไว้ ทำให้ในศาลามีอากาศเย็นสบาย
ภายในศาลามีม้านั่งยาวแถมยังมีผลไม้และขนมจัดวางไว้พร้อม เพียงมองดูก็รู้ว่าจัดไว้ให้สำหรับการชมดอกไม้ครั้งนี้
หลัวจือเจินบอกให้ทุกคนนั่งลงแล้วยิ้ม “คุยเรื่องทั่วๆ ไปน่าเบื่อจะแย่ พวกเรามาเล่นพนันดื่มสุรากันเถิด ให้ทุกคนพูดกลอนคนละท่อน และในท่อนนั้นต้องมีคำว่า ‘ดอกไม้’ อยู่ด้วย ใครที่ต่อไม่ได้จะต้องถูกลงโทษด้วยการดื่มน้ำชา”
เด็กหญิงในที่นั้นมีอายุราวสิบกว่าขวบ แน่นอนว่าย่อมอยากร่วมเล่นอย่างแน่นอน มีเพียงไช่อวี้หวนเท่านั้นที่มีสีหน้าไม่สู้ดี แต่ก็สามารถควบคุมอารมณ์ให้สงบได้อย่างรวดเร็ว
เด็กหญิงกลุ่มนี้สรวลเสเฮฮา ฐานะทางครอบครัวของพวกนางนั้นใช้ได้ ทุกคนล้วนเป็นเด็กที่ถูกสั่งสอนอบรมกันมาอย่างดี แน่นอนว่าการพนันสุรานั้นไม่ยากอะไรสำหรับพวกนาง แต่เรื่องนี้กลับทำให้ไช่อวี้หวนลำบาก นางดื่มน้ำชาเข้าไปแล้วเจ็ดแปดถ้วย นางจึงเริ่มนั่งไม่ติด นางเอ่ยด้วยสีหน้าแดงระเรื่อว่า “ข้าอยากกลับไปเปลี่ยนชุด”
หลัวจือเจินเข้าใจความหมายจึงเรียกสาวใช้ที่คอยดูแลอยู่ข้างๆ “พาแม่นางไช่ไปที่ห้องอาบน้ำ”
เมื่อไช่อวี้หวนเดินจากไปแล้ว ก็มีเด็กสาวผู้หนึ่งปิดปากหัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ชาดีๆ ทั้งนั้น แต่นางกลับได้ดื่มคนเดียว”
“ลูกสาวของจวี่เหริน…” เด็กสาวอีกคนแลบลิ้นออกมา
หลัวจือเจินไม่รู้สึกโกรธ นางยิ้มระรื่นพลางกินผลไม้ต่อ
เมื่อไช่อวี้หวนออกมาจากห้องอาบน้ำก็รู้สึกสบายตัวขึ้นมาก แล้วเอ่ยกับสาวใช้ด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ “รบกวนพี่สาวพาข้ากลับไปด้วยเถิด”
“ทางนี้เจ้าค่ะ” สาวใช้ชุดเขียวพาไช่อวี้หวนกลับไปด้วยท่าทางนอบน้อมอย่างยิ่ง
คนทั้งสองเดินไปทางที่สั้นที่สุด เมื่อผ่านจุดลับตาพลันได้ยินเสียงต่อว่าดังขึ้น
เนื่องด้วยมีต้นไม้และดอกไม้ขึ้นหนาแน่น ทางด้านนั้นจึงไม่เห็นสตรีทั้งสองคนนี้ ไช่อวี้หวนรีบเบนสายตามองตามไป จึงเห็นสตรีผู้หนึ่งถือกิ่งไม้อยู่แล้วตีเด็กหญิงตัวน้อยอย่างรุนแรง
เด็กหญิงผู้นั้นที่เพิ่งมีอายุได้ราวๆ เจ็ดแปดขวบเอามือป้องศีรษะของตัวเองพลางร้องไห้ แต่ก็ไม่กล้าส่งเสียงดัง
ไช่อวี้หวนชะงักเล็กน้อย แต่ไม่ได้หันไปมอง จากนั้นจึงเร่งฝีเท้าเดินผ่านไป
สาวใช้ที่เป็นผู้นำทางไม่ได้รู้สึกไม่พอใจแต่อย่างใด นางคิดในใจว่า แม่นางไช่ผู้นี้ใจแข็งนัก
ไช่อวี้หวนเดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเริ่มเห็นศาลาก็ค่อยๆ ผ่อนฝีเท้าลงแล้วจัดผมของตนที่ยุ่งเหยิง จากนั้นจึงเดินเข้าไป
“พี่ไช่ ท่านกลับมาแล้วหรือ” หลัวจือเจินผู้เป็นเจ้าบ้านเดินออกไปต้อนรับนาง
เมื่อทั้งสองเดินด้วยกัน ไช่อวี้หวนจึงเม้มปากแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เมื่อครู่ตอนที่ข้าเดินผ่านป่าต้นหลิว ข้าได้ยินเสียงเด็กผู้หญิงร้องไห้ ไม่แน่ใจเช่นกันว่าเกิดอะไรขึ้น”
“อ้อ มีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ เช่นนั้นข้าจะส่งคนไปดู”
เมื่อได้ยินหลัวจือเจินเอ่ยเช่นนี้ ไช่อวี้หวนก็ไม่เอ่ยอะไรต่ออีก
นี่เป็นเพียงเหตุการณ์สั้นๆ เท่านั้น หลังจากนั้นทุกคนต่างยิ้มแย้มสนทนากันอย่างสนุกสนาน นั่งกันอยู่พักใหญ่กว่าแยกย้ายกลับ
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินการรายงานก็พยักหน้าอย่างพออกพอใจ
เห็นสาวใช้รังแกเด็กน้อย หากออกหน้าห้ามปรามไปในตอนนั้น ในฐานะที่นางเป็นแขก อาจถูกมองว่าเป็นคนรุนแรงมากเกินไป เพราะนี่คือจวนของผู้อื่น หากบุ่มบ่ามเข้าไป ผู้ใดจะรู้ว่ามีเรื่องราวที่คนนนอกไม่รู้ตื้นลึกหรือไม่อย่างไร
แต่หากคิดว่าเรื่องไม่เกี่ยวกับตัวเอง เมื่อกลับถึงศาลาแล้วจะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่สงสารเด็กเจ็ดแปดขวบคนนั้นก็ถือว่าไร้หัวใจเกินไป
ไช่อวี้หวนเลือกทำเช่นนี้ ไม่นับว่าตัดสินใจโดดเด่นนัก แต่ก็ถือว่าพอใช้ได้
แม้ว่าคุณชายรองหลัวจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าผิดหวัง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นหลานแท้ๆ การแต่งงานครั้งนี้ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตั้งใจมาก
ทว่าคนบางคนกลับไม่รู้สึกซาบซึ้งด้วย
คุณชายรองหลัวยืนอยู่ในมุมลับตาคนของสวนดอกไม้ที่มีเงาแมกไม้บดบังเอาไว้
เขายืนตัวตรง สายตาของเขาผละออกจากศาลานั้นอย่างช้าๆ ด้วยสีหน้าคับแค้น
เขาเป็นคุณชายรองของจวนเจิ้นกั๋วกง แม้ว่าจะโชคร้ายในการสอบจอหงวนถึงสองครั้ง แต่การสอบผ่านระดับมณฑลในวัยเช่นนี้ หากนับในบรรดาพี่น้องก็ถือว่าหาได้ยากยิ่งแล้ว
พวกคนไร้ค่าที่เอาแต่เที่ยวเล่นเสเพลไปวันๆ ไม่มีผู้ใดเยาะเย้ย คุณชายร่ำรวยที่ทำตัวเป็นอันธพาลข่มขู่คนอื่นกลับไม่มีใครจัดการ แล้วเหตุใดคนอย่างเขาต้องแต่งงานกับสตรีที่หน้าตาธรรมดาทั่วๆ ไป ที่เกิดในตระกูลยากจนด้วยเล่า
คุณชายรองหลัวยืนอยู่ในเงามืดเช่นนั้นจนกระทั่งพลบค่ำที่ประกาศสิ้นสุดงานชมดอกไม้ จวนกั๋วกงจึงสงบลง จากนั้นเขาจึงเดินไปยังทิศตะวันตกของจวนกั๋วกง
ในเรือนนั้นเล็กมาก เงียบสงัดท่ามกลางความมืด มีเพียงแสงสลัวที่ส่องออกมาทำให้บรรยากาศดูดีขึ้น
คุณชายรองหลัวเดินไปยังด้านหลัง จากนั้นจึงปีนกำแพงเตี้ยๆ เข้าไปด้านใน
เขารู้จักนิสัยของเยียนเหนียงดี ตอนนอนนางมักจะไม่ให้สาวใช้อยู่ในห้องเดียวกับนาง ดังนั้นเขาจึงตรงไปที่หน้าต่างในห้อง จากนั้นจึงผลักแล้วกระโดดเข้าไป
เยียนเหนียงกำลังนอนตะแคงอยู่ รูปร่างของนางจึงมีส่วนเว้าโค้งราวทิวทัศน์แม่น้ำที่โค้งไปตามสันเขา ผมดำของนางสยายราวน้ำตก
คุณชายรองหลัวเม้มปากพลางครุ่นคิด สตรีที่จะอยู่เคียงข้างเขาต้องเป็นโฉมสะคราญเช่นนี้ ไม่ใช่สตรีที่จืดชืดเช่นนั้น
อันที่จริงแล้วนี่เป็นครั้งแรกที่เขามาที่นี่หลังจากกลับมาถึงจวน
เขาเองก็เคยลืมนึกถึงเยียนเหนียงไป แต่น้ำแกงบำรุงร่างกายก่อนสอบนั่นทำให้ความตั้งใจที่ผ่านมาสองปีของเขาไร้ค่า และตอนนี้ยังต้องยอมรับกับสตรีที่ไร้รสไร้ชาติเช่นนั้นอีก เช่นนั้นเหตุใดเขาต้องควบคุมตัวเองอีกเล่า มิสู้ทำตามใจตัวเองกับผู้หญิงที่ตนชอบไม่ดีกว่าหรือ
ตอนที่คุณชายรองหลัวเดินเข้าไปหาเยียนเหนียงนั้น เขากลับไม่รู้เลยว่า นายท่านรองหลัวที่ใช้ข้ออ้างมานั่งดื่มสุราที่ห้องหนังสือก็ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมายังเรือนหลังเล็กเช่นกัน
——
[1] ดอกเถิงหลัว คือดอกวิสทีเรีย