วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 466 ได้รับผลกรรม
ฝีเท้าของหลัวเทียนเฉิงชะงักลงแล้วหันหน้ากลับไป “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าตื่นขึ้นมาทำไม”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เจินเมี่ยวลุกขึ้นมานั่ง
“เจ้านอนเถิด ข้าไปดูก็พอ” หลัวเทียนเฉิงลูบไหล่ของนางเบาๆ เพื่อเป็นการปลอบโยน
เจินเมี่ยวส่ายหน้า “เกิดเรื่องขึ้นที่จวน แถมยังเกิดที่เรือนด้านในอีก อย่างไรข้าก็ต้องไปดู อีกอย่างแผลของท่านยังไม่ดีขึ้นเลย”
“คงไม่รุนแรงอะไร” หลิวเทียนเฉิงยิ้ม “เช่นนั้นก็ไปดูด้วยกันเถิด เกิดเรื่องนิดหน่อยกับน้องรอง”
ทั้งสองเดินออกไปข้างนอกพร้อมกัน คิดไม่ถึงว่าขณะที่เดินออกจากเรือนกลับมีคนอีกคนรีบร้อนเข้ามา เมื่อเห็นซื่อจื่อกับฮูหยินก็รีบคุกเข่าลงแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ซื่อจื่อ ฮูหยินซื่อจื่อ เกิดเรื่องใหญ่แล้วขอรับ นายท่านรองหลัวหมดสติอยู่ที่ห้องของเยียนเหนียง!”
เมื่อสิ้นเสียงรายงานนี้ หญิงรับใช้ที่อยู่ด้านหลังคนทั้งสองสีหน้าพลันเปลี่ยนไป
หลัวเทียนเฉิงยังคงรักษาอาการสงบอยู่พลางเลิกคิ้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ เดินไปพูดไป!”
หญิงรับใช้ผู้นั้นยืนขึ้น เดินไปพลางเล่าเหตุการณ์ “บ่าวพบคุณชายรองกับลี่ว์เจวียนหมดสติอยู่ จึงรู้สึกว่าต้องมีเหตุการณ์ผิดปกติเกิดขึ้น จึงให้อีกสามคนไปดูทางเรือนตะวันตก คิดไม่ถึงว่าพอไปดูแล้วจะพบเยียนเหนียงแขวนคอลอยค้างอยู่บนคานอย่างน่าสยดสยองเช่นนั้น! แถมนายท่านรองหลัวยังหมดสติอยู่ตรงมุมห้องและมีรอยเลือด…”
“แล้วมีใครเฝ้าอยู่ที่นั่นหรือไม่” หลัวเทียนเฉิงตวาดถาม
“มีเจ้าค่ะ ตอนนั้นไปกันสามคน เหลือสองคนอยู่ที่นั่น บ่าวมาที่นี่เพื่อรายงานเจ้าค่ะ”
“ไปเชิญหมอมาก่อนดีหรือไม่” เจินเมี่ยวเอ่ยเตือน
เมื่อเหตุการณ์น่ากลัวเช่นนี้ หากไม่มีเจ้านายคอยสั่งการก็คงไม่มีใครกล้าไปตามหมอมาเช่นกัน นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมเมื่อพบเหตุการณ์แล้วต้องรีบมาหาฮูหยินเจินเมี่ยว
หลัวเทียนเฉิงจึงสั่งให้หญิงรับใช้คนหนึ่งไปตามหมอมา แล้วรีบจูงมือเจินเมี่ยวเร่งฝีเท้าออกไป เมื่อไปถึงที่ตั้งเรือนของเยียนเหนียง โคมไฟส่องสว่างออกมาจากด้านในพร้อมมีหญิงรับใช้รออยู่ข้างในแล้วหลายคน
หญิงรับใช้ช่างสังเกตผู้หนึ่งเดินออกมารายงานว่า “คุณชายซื่อจื่อ ฮูหยินซื่อจื่อ คุณชายรองกับสาวใช้ลี่ว์เจวียนที่หมดสติอยู่ด้านนอก พวกบ่าวได้ย้ายพวกเขาเข้ามาด้านในห้องแล้วเจ้าค่ะ”
“นายท่านรองกับเยียนเหนียงเล่า”
“นายท่านรองยังคงหมดสติอยู่ เยียนเหนียงถูกช่วยไว้ได้ทันฟื้นขึ้นมาแล้ว พวกบ่าวเกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นอีก ตอนนี้จึงให้คนเฝ้าไว้เจ้าค่ะ”
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้าอย่างค่อนข้างพอใจ แล้วพาเจินเมี่ยวเดินเข้าไปดูเหตุการณ์ด้านใน
ไม่ว่าทั้งสองจะรู้สึกอย่างไรกับนายท่านรองหลัว แต่ลำดับแรกที่ต้องไปดูก่อนย่อมต้องเป็นผู้ที่อาวุโสกว่าอย่างแน่นอน
ตอนที่เจินเมี่ยวเห็นนายท่านรองหลัวพลันตกใจสะดุ้ง นี่เป็นครั้งแรกที่นางเห็นคนผู้นี้มีท่าทางน่าสยดสยองเช่นนี้
ผมเผ้ายุ่งเหยิง ใบหน้าของเขามีรอยเลือด เขานอนเงียบอยู่บนเตียงไม้ไผ่ ไม่สามารถคาดการณ์ได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
หลัวเทียนเฉิงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วเดินไปดูรอบๆ ห้องที่เกิดเรื่อง เมื่อเห็นเตียงผืนใหญ่นั้นมีกางเกงที่สวมไม่ทันของคุณชายรองหลัวอยู่ ทำให้เขาต้องสวมใส่เพียงชุดคลุมด้านนอกออกไปเพียงตัวเดียว จึงพอเดาเรื่องราวได้เจ็ดแปดส่วนและหัวเราะออกมาอย่างเย็นชา
ในที่สุดหมอก็มาถึงที่เกิดเหตุอย่างรีบร้อน
หมอคนนี้แซ่หัน เป็นคนที่หมอหลวงส่งมาให้มาประจำอยู่ที่จวนกั๋วกง
“คุณชายซื่อจื่อ คนไข้คือผู้ใด” หมอหันที่สะพายกล่องยามาเหงื่อออกเต็มใบหน้า หัวใจของเขาเต้นระรัว
เรียกหมอมาตอนยามสามกลางดึกเช่นนี้แถมยังเป็นสถานที่ที่ห่างไกลอีก คงจะไม่ใช่เรื่องดีอะไรแน่ โชคดีที่เขาเป็นหมอที่จวนกั๋วกงจ้าง นายท่านอาจแค่สั่งโบยแต่ไม่ถึงขั้นฆ่าเขาเพื่อปิดปาก ที่จวนแห่งนี้คงไม่มีเรื่องอะไรที่เป็นความลับกระมัง
“ท่านหมอหันช่วยไปดูทางนายท่านรองเถิด”
เมื่อหมอหันเข้าไปแล้วเห็นสภาพของนายท่านรองหลัวก็ตกใจมาก เขาเข้าไปดูอาการทันทีโดยไม่โอ้เอ้
ตอนนั้นเองที่เจินเมี่ยวเดินเข้ามาแล้วกระซิบกับหลัวเทียนเฉิงว่า “เยียนเหนียงได้สติแล้ว ที่คุณชายรองกับลี่ว์เจวียนหมดสติไปเป็นเพราะหมดแรงเท่านั้น อีกประเดี๋ยวให้ไปดูคุณชายรองต่อ ส่วนลี่ว์เจวียนนั้นคงไม่ต้องดู”
หากหมอหันตรวจร่างกายของคนทั้งสี่ ต่อให้เขาจะไม่ปากโป้ง แต่จวนกั๋วกงคงน่าขายหน้ามากทีเดียว
“อืม”
หมอหันเปิดกล่องยาแล้วหยิบขวดกระเบื้องสีขาวออกมา จากนั้นจึงเทยาเม็ดสีเขียวเข้มขนาดราวๆ ตามังกรออกมาแล้วเอาใส่ไปในปากของนายท่านรอง
ปากของเจินเมี่ยวกระตุกเล็กน้อย พลางคิดในใจว่า ยาเม็ดใหญ่ขนาดนั้น คนหมดสติอยู่จะกลืนลงไปไหวหรือ
แต่หมอหันนั้นมีประสบการณ์ยิ่ง เขายกคอของนายท่านรองขึ้นมา จากนั้นจึงตบเบาๆ ที่ด้านหลัง แล้วพยักหน้าพลางหยิบผ้าพันแผลและอุปกรณ์อื่นๆ ออกมาทำแผล
“ท่านหมอหัน ลุงรองเป็นอย่างไรบ้าง”
หมอหันเช็ดเหงื่อ จากนั้นจึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “รอยกระแทกรุนแรงมาก ตอนนี้ข้าน้อยได้ป้อนยาสลายลิ่มโลหิตและกระตุ้นการไหลเวียนไปแล้ว หากนายท่านตื่นขึ้นก่อนฟ้าสว่างก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง แต่หากไม่ตื่น…”
หลัวเทียนเฉิงพยักหน้า “น้องรองของข้าก็หมดสติไป หมอหันช่วยไปดูทางด้านนั้นหน่อยเถิด”
เมื่อหมอหันไปถึง เขาก็ไม่รอช้ารีบทำการฝังเข็มลงไป จากนั้นคุณชายรองหลัวก็ฟื้นขึ้นมา
เมื่อคุณชายรองหลัวเห็นคนในห้องชัดแล้ว สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไป ทันใดนั้นเขากระโดดลงจากเตียงแล้ววิ่งออกไปข้างนอก
การเคลื่อนไหวของเขาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วกะทันหัน ทำเอาหมอหันที่ยังไม่ทันตั้งตัวถูกชนจนหงายหลังไป
หมอหันล้มคว่ำไปเช่นนี้ทำให้มือของเขาเปะปะคว้าเอาน่องของคุณชายรองหลัวเอาไว้ เข็มเงินจึงแทงเข้าไปบริเวณนั้น
คุณชายรองหลัวร้องโอดครวญ พลันล้มคว่ำลงกอดขาของตนเอาไว้
หลัวเทียนเฉิงสีหน้าคร่ำเคร่ง เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาดว่า “ดูคุณชายรองให้ดี!”
เมื่อเห็นว่าฟ้าใกล้สว่างแล้วแต่นายท่านรองหลัวยังไม่ตื่นขึ้นมา เจินเมี่ยวจึงเอ่ยถามว่า “เราไปรายงานท่านย่าดีหรือไม่”
“รอก่อน” หลัวเทียนเฉิงตอบ
ฮูหยินผู้เฒ่าอายุมากแล้ว แม้ว่าจะผ่านประสบการณ์มามากและมีจิตใจเด็ดเดี่ยว แต่ก็คงรับสถานการณ์ที่ไม่รู้ว่าเป็นหรือตายเช่นนี้ไม่ไหว กลับกันหากรอให้ฟ้าสางก่อน ไม่ว่านายท่านรองจะเป็นหรือตาย แต่เมื่อเรื่องราวแน่ชัดแล้ว สถานการณ์น่าจะคลี่คลายขึ้นมาก
เวลาพ้นผ่านไปอย่างช้าๆ นอกจากเจินเมี่ยวกับสามีที่ค่อนข้างสงบนิ่งแล้ว หญิงรับใช้ที่เฝ้าเรือนอยู่ต่างอกสั่นขวัญแขวน เนื่องด้วยไม่รู้ว่าเมื่อตนเองได้เข้ามาเกี่ยวพันกับเรื่องนี้แล้ว จุดจบของตนจะเป็นอย่างไรต่อไป
“นายท่านรองตื่นแล้วขอรับ!” หญิงรับใช้ที่เฝ้านายท่านรองหลัวอยู่ตะโกนรายงานขึ้น
หมอหันที่งีบหลับอยู่ตื่นขึ้นทันที จากนั้นรีบวิ่งเข้าไปดูอาการ
หลัวเทียนเฉิงเองก็ตามไปเช่นกัน “ท่านลุงรอง เป็นอย่างไรบ้าง”
นายท่านรองหลัวลืมตาขึ้น ตอนแรกเขามีอาการตื่นตระหนกก่อน หลังจากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นความรู้สึกโกรธแค้น เขาคิดจะลุกขึ้นนั่งแต่กลับลุกไม่ไหว เขาอ้าปากเตรียมจะเอ่ยบางอย่าง แต่กลับพบว่าแม้แต่เรี่ยวแรงเอ่ยปากยังไม่มี
เมื่อเห็นหน้าตาของนายท่านรองบูดเบี้ยว และมีน้ำลายไหลออกมาจากมุมปาก สีหน้าของหมอหันพลันเคร่งเครียดขึ้นแล้วเอ่ยว่า “นายท่านรองเป็นอัมพฤกษ์เสียแล้ว”
หลัวเทียนเฉิงเม้มปากแน่น จากนั้นจึงพยายามควบคุมริมฝีปากของตัวเองไม่ให้สั่น แล้วกล่าวกับเจินเมี่ยวว่า “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าจะไปเชิญท่านย่ามา เจ้ารออยู่ที่นี่ก่อนเถิด”
หลังเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง ฮูหยินผู้เฒ่าก็มาถึง เมื่อเห็นเหตุการณ์เช่นนั้น จึงตวาดถามว่า “นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น”
หลัวเทียนเฉิงที่กำลังประคองหลังของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่จึงเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า “ท่านย่า เรื่องราวมันเกิดขึ้นแล้ว ท่านอย่าเพิ่งโมโหเลย ตอนนี้ท่านลุงรองเป็นอัมพฤกษ์พูดไม่ได้ น้องรองกับคนอื่นๆ ฟื้นแล้ว หลานสอบถามลี่ว์เจวียนมาแล้วจึงพอรู้เรื่องราวคร่าวๆ อยู่บ้าง” เขาเอ่ยถึงตรงนี้แล้วไม่เอ่ยอะไรต่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าเข้าใจความหมายจึงให้คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปแล้วเดินเข้าไปในห้อง โดยสั่งให้สาวใช้ที่ไว้ใจได้คอยเฝ้าอยู่ตรงประตู
ตอนนั้นเองที่หลัวเทียนเฉิงเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าลำบากใจ “ลี่ว์เจวียนเล่าว่า นางได้ยินเสียงเอะอะจึงเดินเข้าไปดูในห้องของเยียนเหนียง และเห็นภาพน้องรองผลักลุงรองล้มไปกับพื้น จากนั้นจึงพยายามตามฆ่านาง นางวิ่งหนีสุดชีวิต จากนั้นจึงไปพบกับหญิงรับใช้ที่เข้าเวรอยู่ถึงจะหมดแรงแล้วเป็นลมไป”