วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 469 รักกันนั้นง่าย แต่อยู่ด้วยกันนั้นยาก
“ท่านย่าเจ้าคะ” เมื่อเจินเมี่ยวเห็นฮูหยินผู้เฒ่าร้องไห้ก็ตกใจ
เจิ้นกั๋วกงเองก็ตกใจไม่น้อย ได้แต่เหม่อมองฮูหยินผู้เฒ่าเช่นนั้น
ฮูหยินผู้เฒ่าหยิบผ้าออกมาเช็ดน้ำตาแล้วพยายามฝืนยิ้ม จากนั้นจึงใช้ผ้าผืนเล็กๆ เช็ดมือให้เจิ้นกั๋วกงพลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “รีบร้อนอะไรกัน ร้อนใช่หรือไม่ ต่อไปอยากกินอะไรต้องรอให้เย็นก่อนแล้วค่อยกินนะ”
นางยกชามข้าวต้มดอกบัวอีกชามหนึ่งมาจากถาด จากนั้นจึงเป่าแล้วค่อยๆ ป้อนให้เจิ้นกั๋วกงทีละคำ
เมื่อเจิ้นกั๋วกงกินหมดแล้ว สีหน้าจึงแจ่มใสขึ้นพลางร้องจะออกไปเดินเล่นข้างนอก หญิงรับใช้ทั้งสองที่คอยรับใช้อยู่เมื่อได้รับสัญญาณอนุญาตจากฮูหยินผู้เฒ่าก็พาเจิ้นกั๋วกงออกไป
“ทำให้หลานสะใภ้ใหญ่ตกใจเสียแล้วกระมัง” ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้มออกมาอย่างขมขื่น
“ไม่เลยเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวรีบส่ายหน้า นางเพียงรู้สึกจุกในอก ไม่สามารถอธิบายได้ว่ารสชาติเป็นอย่างไร จากนั้นจึงอ้าปาก แต่กลับรู้สึกว่าคอของนางแห้งผากไม่สามารถเอ่ยคำพูดใดๆ ออกมาได้
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่มีความรู้สึกอยากจะกินอาหารที่เจินเมี่ยวตั้งใจทำให้สักนิด นางเพียงถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ข้ามีนิสัยเหมือนผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก และเป็นคนแข็งแกร่งคนหนึ่ง ตอนยังสาวข้าติดตามท่านปู่ของเจ้าออกรบไปทั่วสารทิศ พบเจอสายตาและคำพูดถากถางสารพัด แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่เมื่อเริ่มแก่ลงเรื่อยๆ กลับเริ่มเข้าใจว่าชีวิตของคนเรานี้ไม่สามารถหนีความทุกข์พ้น ทุกข์เมื่อเกิด ทุกข์เมื่อแก่ ทุกข์เมื่อป่วย ทุกข์เมื่อตาย ทุกข์จากการจากลา ทุกข์จากการไม่ได้ครอบครอง ทุกอย่างล้วนมีแต่ความทุกข์”
“ท่านย่าเจ้าคะ…” เจินเมี่ยวรู้สึกปวดใจ พลางจับแขนของฮูหยินผู้เฒ่าเอาไว้
“ในตอนนั้นได้สูญเสียพ่อตาของเจ้าไป ต่อมาไม่นานก็สูญเสียแม่ยายของเจ้าไปอีก ข้าต้องพยายามต่อสู้ต่อเพื่อเจ้าใหญ่ ผู้ใดจะรู้ว่าต่อมาท่านปู่ของเจ้าจะตกม้าจนฟั่นเฟือนไปเช่นนี้อีก ตอนนั้นข้าถึงเข้าใจความหมายของคำพูดที่ว่าห้องที่หลังคารั่วกลับมีฝนกระหน่ำทั้งคืนอย่างถ่องแท้! ต่อมาลุงสี่ของเจ้าก็หายสาบสูญไปอีก ตอนนั้นข้าเริ่มไม่รู้แล้วว่าความทุกข์ใจเป็นอย่างไร จนกระทั่งวันที่ป้าสี่ของเจ้าคลอดลูกออกมาอย่างปลอดภัย ข้าก็นึกขอบคุณสวรรค์ที่ไม่เอาตัวนางไป หลังจากนั้นข้าก็เริ่มใช้ชีวิตอย่างสงบเรื่อยมา หลานๆ ของข้าค่อยๆ เติบโตขึ้น ข้ายังคิดเลยว่า วันเวลาแห่งความทุกข์ของข้าคงผ่านพ้นไปแล้ว แต่นึกไม่ถึงเลยว่า เจ้ารองจะทำเรื่องต่ำช้าเช่นนี้ได้ ข้ายินดีที่จะ…เป็นอย่างพ่อตาของเจ้าหรืออย่างลุงสี่ของเจ้าดีกว่า อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าตอนนี้! หากเป็นเช่นนั้นยังถือว่าเป็นลิขิตสวรรค์ ต่อให้พยายามเท่าไหร่ก็คงฝืนลิขิตสวรรค์ไม่ได้ แต่พอเจ้ารองมาเป็นเช่นนี้ ย่าคิดไม่ตกเลยจริงๆ เป็นเรื่องที่ยากจะยอมรับได้”
ฮูหยินผู้เฒ่าไอออกมาอย่างรุนแรงจนน้ำตาไหลพราก เจินเมี่ยวรีบเข้าไปประคองหลังนางเอาไว้ จากนั้นจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ท่านย่า นี่คือชีวิตของมนุษย์นะเจ้าคะ ท่านลองคิดดู ในสิ่งแวดล้อมเดียวกันมีคนผู้หนึ่งกลายเป็นบัณฑิตผู้ถ่อมตัว คนหนึ่งกลายเป็นคนที่จิตใจต่ำช้า คนจนก็มีความทุกข์ คนรวยก็มีความทุกข์ ใครบ้างหนีความทุกข์พ้น ท่านย่า ท่านวางใจเถิด วันหน้าพวกเราจะต้องเลี้ยงดูท่านอย่างดีแน่”
ซื่อจื่อ การมีอยู่ของเยียนเหนียง เกี่ยวข้องอะไรกับท่านหรือไม่ จุดจบของลุงรองกับคุณชายรองเป็นผลจากการกระทำของตัวเองหรือว่ามีคนบงการอยู่ข้างหลัง
แต่บางทีท่านอาจลืมบางอย่างไป ความเจ็บปวดทุกอย่างล้วนเป็นดาบสองคม ทุกครั้งที่ท่านทำร้ายผู้อื่นให้แปดเปื้อน ตัวท่านไม่มีทางเป็นคนไร้มลทินได้ ท่านย่าต้องทุกข์ใจเช่นนี้ ท่านเคยคิดหรือไม่
หรือว่าเราคิดมากไปเอง บางทีท่านกับเยียนเหนียงอาจไม่มีความข้องเกี่ยวลึกซึ้งต่อกัน เพียงแต่…อาจเป็นเพียงความสัมพันธ์ของชายหญิงธรรมดาที่ทำให้ผู้อื่นต้องเจ็บปวด
เจินเมี่ยวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
ฮูหยินผู้เฒ่ากล่าวได้ถูกต้อง คนที่ยืนอยู่ตรงกลาง ไม่ว่าจะเอียงไปทางซ้ายหรือขวาต่างเจ็บปวดทั้งสิ้น
“เด็กดี” ฮูหยินผู้เฒ่าตบหลังของเจินเมี่ยวเบาๆ “เจ้ากลับไปเถิด อาการบาดเจ็บของเจ้าใหญ่ยังไม่หายดี เขาห่างเจ้าไม่ได้ ย่าเองก็เหนื่อยมาก อยากจะนอนพักสักหน่อย”
เจินเมี่ยวจำต้องลุกขึ้นแล้วเอ่ยอย่างแหบแห้งว่า “เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนนะเจ้าคะท่านย่า”
เมื่อนางเดินออกไปข้างนอกแล้วก็เช็ดน้ำตาจนแห้ง แล้วรีบเร่งฝีเท้ากลับไปยังเรือนชิงเฟิง
เมื่อเห็นว่าหลัวเทียนเฉิงไม่อยู่ นางก็แอบโล่งใจ นางเอนกายลงบนเตียงโดยที่ไม่ได้ล้างหน้า พลันกอดหมอนหลับไป
ตอนที่หลัวเทียนเฉิงกลับมาเห็นเจินเมี่ยวหลับอยู่ ก็ห้ามมู่จือไม่ให้ปลุกนางขึ้นมา “เมื่อคืนก่อนต้าไหน่ไหน๋นอนหลับไม่เต็มที่ ให้นางนอนหลับให้เต็มที่เถิด ไปเตรียมอาหารไว้ให้พร้อม นางตื่นเมื่อไหร่ก็ค่อยให้นางกินข้าวตอนนั้น”
เจินเมี่ยวหลับไปจนจันทราสว่างอยู่กลางท้องฟ้า
“เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าตื่นแล้วหรือ” หลัวเทียนเฉิงยิ้ม
เจินเมี่ยวลุกขึ้นมานั่งแล้วเพียงเม้มปาก ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป
หลัวเทียนเฉิงไม่ได้รู้สึกถึงความผิดปกติอะไร เขาเพียงเคาะจมูกของเจินเมี่ยวอย่างเอ็นดู “นอนเก่งนัก”
เจินเมี่ยวหันหนีโดยสัญชาตญาณ น้ำเสียงของนางแหบแห้ง “ตอนนี้ยามใดแล้วเจ้าคะ”
“เลยเวลาอาหารค่ำมาแล้ว”
“นานขนาดนี้เลยหรือ ข้าควรออกไปดูท่านย่าได้แล้ว ตอนกลางวันท่านย่าดูอารมณ์ไม่ดีนัก” เจินเมี่ยวลงจากเตียงพลางใส่รองเท้า
หลัวเทียนเฉิงห้ามนางเอาไว้ “ท่านย่าฝากบอกว่าให้เจ้าพักผ่อนให้เต็มที่ อีกอย่างดึกขนาดนี้แล้ว เจ้าจะไปที่นั่นทำไมกัน”
เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นในที่สุด แล้วจ้องหน้าหลัวเทียนเฉิง “ข้าเป็นห่วงท่านย่า”
หลัวเทียนเฉิงอมยิ้ม “วางใจเถิด ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านย่ามาตลอดทั้งบ่ายแล้ว ตอนนี้ท่านย่าสดใสขึ้นบ้างแล้ว”
“อ่อ” เจินเมี่ยวไม่เอ่ยอะไรอีก
นางไม่รู้ว่าควรจะเอ่ยเรื่องเยียนเหนียงอย่างไรดี แต่หากไม่เอ่ยออกมา เรื่องนี้ก็จะกลายเป็นปมในใจของนางที่ยิ่งแน่นขึ้นเรื่อยๆ
บางทีหากมีจังหวะให้เอ่ยถึงเรื่องนี้ค่อยถามเขาก็คงได้
“กินข้าวเถิด”
อาหารถูกจัดวางลงบนโต๊ะอย่างรวดเร็ว คนทั้งสองนั่งตรงกันข้ามกัน และเกิดเพียงความเงียบงันระหว่างทั้งสองคน
แม้ว่าระหว่างกินข้าวจะห้ามสนทนากัน แต่ปกติแล้วสามีภรรยาทั่วๆ ไปมักจะไม่ค่อยถือกฎเรื่องนี้นัก หลัวเทียนเฉิงจึงรู้สึกแปลกใจขึ้นมา “เจี๋ยวเจี่ยว เป็นอะไรไป มีเรื่องอะไรหรือไม่”
เจินเมี่ยวกำตะเกียบในมือแน่นแล้วกัดริมฝีปากพลางเอ่ยว่า “ไม่…เพียงแต่…จิ่นหมิง ท่านว่าเยียนเหนียง นางเป็นอย่างไรบ้าง”
มือของหลัวเทียนเฉิงนิ่งไปพักหนึ่งแล้วเอ่ยเรียบๆ ว่า “บางทีนางคงจนมุมแล้วกระมัง และนางก็คงตอบโต้อะไรไม่ได้”
“แต่ว่า…” เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นมามองเขา “ไม่ว่าจะอย่างไร นางก็ไม่ควรเข้ามาข้องเกี่ยวระหว่างความสัมพันธ์ของพ่อลูก ตอนแรกเยียนเหนียงเป็นเพียงอนุ แต่รอบกายนางกลับมีบ่าวรับใช้มากมาย และด้วยเหตุนี้เองทำไมคุณชายรองถึงไปข้องเกี่ยวกับนางได้ เอาง่ายๆ นางเพียงตะโกนขอความช่วยเหลือ คุณชายรองเปรียบเหมือนขวดแก้วราคาแพง เขาจะไม่กลัวว่าตัวเองจะแตกจนป่นปี้ไปหรือ ยิ่งไปกว่านั้นสุดท้ายยังมีลูกด้วยกันอีก ตอนนี้ทุกคนต่างมีจุดจบของตัวเองแล้ว ต่อไปคุณชายแปดจะทำอย่างไร”
เมื่อเห็นว่าหลัวเทียนเฉิงไม่เอ่ยอะไร เจินเมี่ยวจึงยิ้มเย้ยหยัน “ไหนจะมีเจ้าสามอีก”
นางไม่ได้ต้องการให้ใช้ความรุนแรงกับเยียนเหนียง แต่สตรีที่พัวพันกับพ่อลูกสามคนนี้ ไม่สามารถทำให้มองนางในแง่ดีได้เลย
เจินเมี่ยวรวบรวมความกล้าขึ้นมาอีกแล้วเอ่ยถามว่า “จิ่นหมิง ท่านรู้สึกว่าเยียนเหนียงมีเสน่ห์หรือไม่”
นางคิดว่าหากหลัวเทียนเฉิงกล้าพูดกับนางตรงๆ ในตอนนี้ ไม่ว่าเขาจะรู้สึกเสน่หาเยียนเหนียงอย่างไร หรือมีความข้องเกี่ยวใดๆ กับนาง นางก็จะพยายามเข้าใจเขา
เพราะกว่าทั้งสองจะเดินมาถึงวันนี้ได้นั้นไม่ง่ายเลย
แต่ความตั้งใจของเจินเมี่ยวกลับต้องสูญเปล่า หลัวเทียนเฉิงชะงักไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างสบายอารมณ์ว่า “อย่าพูดเหลวไหลเลย กินข้าวเถิด”
เจินเมี่ยวก้มหน้า แล้วเอ่ยว่า “เจ้าค่ะ กินข้าว”
กลางดึก หลัวเทียนเฉิงค่อยๆ ลุกขึ้น แล้วกระโดดออกไปทางหน้าต่างอย่างแผ่วเบา แต่ในขณะที่เขาคิดว่าเจินเมี่ยวหลับอยู่นั้น นางก็ลืมตาขึ้นอย่างเงียบงัน