วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 471 วันรุ่งขึ้น
เจินเมี่ยวตื่นขึ้นมา หลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้วก็ให้เยี่ยอิงและลี่ว์จู๋ทำผมให้นาง
“ต้าไหน่ไหน่ผมสวยยิ่ง ผมทั้งหนาทั้งดำสนิทราวกับผ้าแพรเลยเจ้าค่ะ” หากเปรียบเทียบกันแล้วลี่ว์จู๋นับว่าเป็นคนที่ดูร่าเริงกว่าเยี่ยอิงที่ปกติเป็นคนไม่ค่อยชอบพูด มือขาวเนียนของพวกนางเคลื่อนไหวรวดเร็วคล่องแคล่ว ไม่นานนักจึงมวยผมทรงหัวใจดอกท้อเสร็จ จากนั้นจึงปักปิ่นก้านปะการังพระจันทร์เสี้ยวพร้อมใช้หวีขี้ผึ้ง จากนั้นจึงหยิบดอกไม้สานทับทิมออกมาติดอีกจึงจะเป็นอันพอใจ
เจินเมี่ยวจ้องมองเงาในกระจก
ร่างกายอ้อนแอ้นอรชร ดวงหน้างามราวปทุมาคิ้วได้รูป ช่วงวัยยี่สิบต้นๆ นี้ ต่อให้สองวันที่ผ่านมาเจอเรื่องราวหนักใจแค่ไหน ความงามของนางก็ยังคงอยู่
นางยกมือที่เรียวงามกว่าดอกไม้ขึ้นแล้วถอดดอกทับทิมออกแล้วโยนเข้าไปไว้ในกล่อง จากนั้นจึงลุกขึ้นแล้วเอ่ยว่า “คุณชายซื่อจื่อออกไปชกมวยอีกแล้วหรือ”
ในขณะที่พูด หลัวเทียนเฉิงก็เดินเข้ามาพร้อมกลิ่นน้ำค้างยามเช้าเข้ามาด้วย
สาวใช้ในห้องถอยออกไปอย่างรู้งาน เขาจึงตรงเข้าไปโอบไหล่ของเจินเมี่ยวแล้วยิ้ม “เจี๋ยวเจี่ยว ข้าหิวแล้ว”
เจินเมี่ยวขมวดคิ้วพลางผลักเขาออกไป “แผลยังไม่ทันหายดี ยังจะออกไปต่อยมวยตอนเช้าอีก”
“ดีขึ้นเยอะมากแล้ว” หลัวเทียนเฉิงยิ้มอย่างไม่คิดอะไร แล้วโอบเจินเมี่ยวเอาไว้
เจินเมี่ยวผลักแขนของเขาออก “กินข้าวกันเถอะ อีกประเดี๋ยวต้องไปหาท่านย่าอีก มู่จือ จัดอาหาร”
มู่จือที่คอยรับใช้อยู่เดินนำแถวเรียงหนึ่งของสาวใช้เข้ามา และจัดวางอาหารอย่างเรียบร้อย
ดวงตาของหลัวเทียนเฉิงเป็นประกาย “วันนี้มีเอ็นเนื้อตุ๋นด้วย ไม่เลวเลย!”
เจินเมี่ยวนั่งลงเงียบๆ พลางคิดว่า เหตุใดเขาถึงกินอาหารลงได้อย่างไม่รู้สึกรู้สาอะไรเช่นนี้นะ ทางด้านของเยียนเหนียงน่าจะเริ่มส่งข่าวแล้วกระมัง
หรือว่าตัวนางจะคิดมากเกินไป
ในระหว่างที่ครุ่นคิดอยู่นั้น เฉี่ยวเอ๋อร์ก็เข้ามาแล้วทำความเคารพ “คารวะซื่อจื่อ ต้าไหน่ไหน่ เมื่อครู่นี้ฮูหยินผู้เฒ่าส่งคนมาแจ้งว่าให้ท่านทั้งสองเข้าไปพบด่วนเจ้าค่ะ”
เจินเมี่ยวกับหลัวเทียนเฉิงสบตากันพลางมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง จากนั้นจึงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ตกลง”
ทั้งคู่มุ่งหน้าไปเรือนอี๋อาน เจินเมี่ยวรู้สึกว่าฝีเท้าของตนหนักอึ้ง นางเดินโงนเงนราวกับมิได้เดินอยู่บนหินแต่เดินอยู่บนปุยนุ่น
เนื่องด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว นางจึงเหยียบชายกระโปรงของตัวเองจนโงนเงนเกือบจะล้มคว่ำลงไป ยังดีที่หลัวเทียนเฉิงรับนางเอาไว้ได้ทัน
“เจี๋ยวเจี่ยว เป็นอะไรไปหรือ”จะล้มคว่ำลงไป ยังดีที่หลัวเทียนเฉิงรับนางเอาไว้ได้ทันอง้นจึงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “งเยียนเหนียงน่าจะแพร่ออกไปแล้ว
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”
“ข้ารู้สึกว่าสองวันนี้อาการของเจ้าไม่ดีนัก เจ้าเหนื่อยเกินไปหรือไม่”
เจินเมี่ยวจ้องเข้าไปในนัยน์ตาสีดำสนิทของเขาแล้วยิ้ม “สองวันนี้ที่จวนเกิดเรื่องน่าตกใจขึ้น ท่านย่าเรียกไปพบแต่เช้าเช่นนี้ เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องไม่ดีนัก”
หลัวเทียนเฉิงเงียบไปครู่หนึ่งพลางยิ้มออกมา “ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้อีก”
เมื่อถึงเรือนอี๋อาน แม่นมหยางออกมารออยู่ด้านนอกแล้ว จากนั้นจึงพาคนทั้งสองเข้าไปด้านใน “ฮูหยินผู้เฒ่ารออยู่ในห้องด้านในแล้วเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าสีหน้าไม่สู้ดี เมื่อเห็นสองสามีภรรยาเดินเข้ามา สีหน้าจึงผ่อนคลายขึ้นแล้วเอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้หญิงรับใช้ที่เฝ้าเยียนเหนียงมารายงานว่า เยียนเหนียงหายตัวไปแล้ว”
“หายตัว เหตุใดจึงหายไปได้เจ้าคะ” เจินเมี่ยวโพล่งถามทันที แล้วเหลือบมองหลัวเทียนเฉิงอย่างสงสัยครู่หนึ่ง
หายตัวไปหมายความว่าอย่างไร หรือว่าแค่ซื่อจื่อฆ่านางปิดปากยังไม่พอ แต่ยังทำลายศพนางเพื่อไม่ให้เหลือหลักฐานด้วย?
เห็นได้อย่างชัดเจนว่าฮูหยินผู้เฒ่าหนักใจกว่ามาก “เรื่องที่เจ้ารองก่อขึ้น น่าอับอายนัก ไม่ว่าเยียนเหนียงจะตั้งใจหรือโดนบังคับก็ตาม การที่มีเจ้าแปดอยู่ทำให้ไม่สามารถปล่อยนางไว้ได้อย่างเด็ดขาด สตรีบอบบางอย่างเยียนเหนียงอยู่ๆ จะหายตัวไปได้อย่างไร หรือว่านางบินได้ เจ้าใหญ่ข้าขอมอบเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ หากนางยังไม่ตายก็ต้องหาตัวให้เจอ แต่หากตายไปแล้วก็ต้องเจอศพ!”
หากเยียนเหนียงตายไปก็ถือว่าเป็นเรื่องดี แต่หากนางหนีออกไปแล้วเอาเรื่องออกไปพูด ชื่อเสียงของจวนเจิ้นกั๋วกงคงเสียหายในคราวเดียว
“ท่านย่าโปรดวางใจ หลานจะต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย”
เมื่อเห็นสีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่ายังไม่สู้ดีนัก หลัวเทียนเฉิงจึงเดินเข้าไปคุกเข่าลงแล้วเขย่าแขนของฮูหยินผู้เฒ่าราวกับเป็นเด็กๆ “ท่านย่า ยิ้มครั้งหนึ่งอายุยืนเป็นสิบปี ท่านทำใจให้สบายเถิด เรื่องที่หลานจัดการ เคยไม่สำเร็จเสียที่ไหนกัน”
สีหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าดีขึ้นเล็กน้อย
เจินเมี่ยวอดไม่ได้ที่จะถามออกไปว่า “ท่านย่าเจ้าคะ แล้วลี่ว์เจวียนล่ะเจ้าคะ หายตัวไปพร้อมเยียนเหนียงหรือไม่”
“นางไม่ได้หายตัวไป การหายตัวไปของเยียนอี๋เหนียง ลี่ว์เจวียนเป็นผู้รู้เรื่องนี้เป็นคนแรก” ฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยขึ้น เมื่อคิดบางอย่างออกเพิ่มเติมจึงเอ่ยกำชับอีกว่า “เรื่องที่อารองกับเจ้ารองก่อขึ้น อย่าให้อารองหญิงรู้อย่างเด็ดขาด เรื่องนี้เป็นเรื่องที่จวนเจิ้นกั๋วกงทำผิดต่อนาง อายุนางยังน้อย แต่ลุงรองของพวกเจ้าดันกลายเป็นเช่นนี้ไปเสียแล้ว…”
“ท่านย่าโปรดวางใจ พวกเราทั้งคู่เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ”
“ท่านย่า หลานขอตัวไปจัดการธุระก่อนนะขอรับ”
หลัวเทียนเฉิงลุกขึ้น ส่วนเจินเมี่ยวยังคงนั่งอยู่
ผ่านไปครู่หนึ่งก็มีคนเข้ามาทักทายที่ห้องอีก
เมื่อนางไช่เข้ามา เจินเมี่ยวอดไม่ได้ที่จะมองนางอย่างละเอียด
หากเทียบนางกับนายท่านรองหลัวแล้ว นางไช่ถือว่ายังอายุน้อยมาก นางโตกว่าเจินเมี่ยวเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แต่เป็นเพราะครอบครัวของนางตกต่ำ นางจึงต้องรับผิดชอบครอบครัวในฐานะพี่สาวคนโต และยอมสละเวลาวัยสาวของตัวเองไป
สำหรับฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว นางชอบอารองหญิงคนนี้ค่อนข้างมาก
ตอนนี้เมื่อเจินเมี่ยวได้เห็นนางก็อดไม่ได้ที่จะชื่นชมนาง
นายท่านรองหลัวเป็นผู้ป่วยติดเตียง ตั้งแต่นี้ไปกลายเป็นคนพิการพูดไม่ได้ แม้ว่าสีหน้าของนางจะเศร้าสร้อยแต่นางกลับเก็บอาการได้อย่างดีราวกับว่าไม่ว่าจะเผชิญลมฝนแค่ไหนก็ไม่มีทางทำอะไรนางได้
ฮูหยินผู้เฒ่าอมยิ้มเล็กน้อยแล้วโบกมือเรียกนาง “แม่นางไช่ มานี่เถิด ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า”
“เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า” เมื่อนางไช่เอ่ยปาก เสียงที่ออกมากลับแหบแห้ง
สำหรับสามีที่อายุมากกว่านางยี่สิบกว่าปี นางไม่มีความรู้สึกอะไรกับเขา แต่เมื่อคนผู้นี้ล้มลง ก็คล้ายกับมีต้นไม้ใหญ่ล้มทับร่างนาง
ดูแล้วตอนนี้ซานเหนียงก็ใกล้จะเข้าพิธีปักปิ่นเต็มทีแล้ว ไหนจะยังมีเจ้าห้าที่เป็นเด็กชายจึงต้องออกไปเรียนข้างนอก นางมาเป็นแม่เลี้ยงให้เพื่อจะได้เลี่ยงข้อสงสัยและก็เพื่อความรวดเร็ว แต่ตอนนี้คงไม่สามารถเป็นเช่นนั้นได้อีกแล้ว เพราะเมื่อนายท่านรองหลัวเป็นเช่นนี้ไปแล้วนางก็คงไม่สามารถมีลูกเป็นของตัวเองได้อีก
ตอนนางยังเด็กนางเคยดูดวงมาก่อน ชะตาชีวิตของนางนั้นเป็นชะตาชีวิตที่ลำบาก แต่จะสบายตอนแก่เพราะลูกหลาน
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว แม้แต่ความหวังเช่นนี้ก็คงไม่อาจคาดหวังได้
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นนางไช่เช่นนี้จึงถอนใจ พลางลูบมือของนางเบาๆ “แม่นางไช่ นายท่านรองมาเป็นเช่นนี้ไป เจ้าต้องคงลำบากหน่อยแล้ว”
นางไช่รีบก้มศีรษะ ต่อให้นางเข้มแข็งเพียงใด ดวงตาของนางก็เริ่มแดงก่ำ “ข้าไม่ลำบากเจ้าค่ะ นี่คือชีวิต ข้าเพียงหวังให้ฮูหยินผู้เฒ่ามีอายุยืนยาวร้อยปี แค่นี้ก็เป็นความสุขของข้ากับลูกแล้ว”
“เจ้าคิดได้ดังนี้ก็ดีแล้ว”
ในโลกใบนี้ หากสตรีมีชะตาชีวิตขมขื่น คิดไม่ตกจะยิ่งทำให้อารมณ์ของตัวเองหมองเศร้า
“ตอนที่นางเถียนลาโลกไปเมื่อสองปีก่อน เรือนรองขาดคนตัดสินใจ เจ้าแปดจึงถูกข้ารับมาเลี้ยงดู ตอนนี้เรี่ยวแรงข้าไม่เหมือนอย่างเมื่อก่อน เมื่อครู่นี้ก็เพิ่งได้ยินข่าวมาอีกว่า มารดาแท้ๆ ของเขาติดโรคติดต่อเสียชีวิตแล้ว ข้าจึงคิดว่าต่อไปคงให้เจ้าแปดไปอยู่กับเจ้า เจ้าก็จะกลายเป็นมารดาบุญธรรมของเขาไปอย่างถูกต้อง ตั้งใจเลี้ยงดูเขา ภายภาคหน้าจะได้ไม่แพ้คนอื่น
นางไช่ใจเต้นระส่ำ
ตอนนี้คุณชายแปดมีอายุเพียงห้าหกขวบเท่านั้น ยังถือเป็นวัยที่สามารถปลูกฝังได้ ในอนาคตนางอาจจะต้องพึ่งพาเขา
นางไช่รีบรับคำ ทุกคนที่อยู่ที่นั่นต่างแยกย้าย เจินเมี่ยวกลับเรือนชิงเฟิงไปด้วยความข้องใจ