วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 472 บทสนทนายาว
เจินเมี่ยวกลับถึงห้องได้ไม่นาน ก็ได้รับข่าวว่าอาการของฮูหยินผู้เฒ่าไม่ค่อยดีจนต้องเชิญหมอหลวงมาดู นางจึงรีบตามไปดู ระหว่างทางก็พบกับเถียนเสวี่ย
“พี่สะใภ้ ตอนแรกอาการท่านย่ายังดีๆ อยู่เลยไม่ใช่หรือ ตอนนี้เหตุใดจึงไม่สบายเสียแล้ว”
เถียนเสวี่ยรู้สึกว่าช่วงสองวันนี้เกิดเรื่องน่าหดหู่ใจขึ้นในจวน พ่อตาเป็นอัมพฤกษ์ คุณชายรองเสียสติ ส่วนคุณชายสามที่ยังไม่ได้รายงานที่ค่ายทหารมีสีหน้ากังวลอย่างยิ่ง ไม่ยอมให้นางเอ่ยปากถามอะไรเลย
การเสียสติของคุณชายรองข้องเกี่ยวอะไรกับอาการอัมพฤกษ์ของพ่อตานางหรือไม่
เถียนเสวี่ยไม่อยากคิดอะไรไปมากกว่านี้มากนัก จึงทำได้เพียงแอบสังเกตสีหน้าของเจินเมี่ยว
นางมั่นใจว่า หากในจวนเกิดเรื่องอะไรที่ไม่สามารถเปิดเผยกับภายนอกขึ้น พี่สะใภ้ใหญ่จะต้องรู้อย่างแน่นอน
นอกจากสีหน้าร้อนใจของเจินเมี่ยวแล้ว นางก็สังเกตอารมณ์อื่นใดมากกว่านี้ไม่ออกจึงรีบเร่งฝีเท้าแล้วเอ่ยว่า “คนอายุเท่านี้แล้ว หากจะไม่สบายบ้างก็คงเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาท่านย่าร่างกายแข็งแรงมาตลอด ครั้งนี้ก็คงจะไม่เป็นอะไรมากหรอกเจ้าค่ะ”
ทั้งคู่เดินเข้าไปในเรือนอี๋อานพร้อมกัน สวนกับหมอที่เดินออกมาหลังจากตรวจร่างกายเสร็จ
“ท่านหมอเจ้าคะ ฮูหยินผู้เฒ่าอาการเป็นอย่างไรบ้าง”
“มีอาการของคนที่ได้รับการกระทบกระเทือนทางใจ ข้าได้สั่งยารับประทานให้แล้ว แต่ฮูหยินผู้เฒ่าอายุเท่านี้แล้ว อารมณ์ดีใจ เสียใจ โมโหย่อมขึ้นๆ ลงเป็นปกติ ต้องให้นางรักษาตัวอย่างสงบ”
“ลำบากท่านหมอแล้วเจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวเดินเข้าไปพร้อมเถียนเสวี่ย เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่านั่งพิงหมอนอยู่ ก็เข้าไปซักถามอาการโดยละเอียดจากแม่นมหยาง จากนั้นจึงอยู่เฝ้าไข้
เมื่อเวลาเที่ยงมาถึง หลัวเทียนเฉิงก็กลับมาถึง ตอนที่เขาเดินเข้าไปในเรือนอี๋อานก็เห็นเจินเมี่ยวกับเถียนเสวี่ยกำลังนั่งขนาบข้างซ้ายขวาคุยกับฮูหยินผู้เฒ่าอยู่
เมื่อเห็นหลัวเทียนเฉิง ฮูหยินผู้เฒ่าพลันตกใจแล้วมองไปทางเถียนเสวี่ยโดยสัญชาตญาณ
เถียนเสวี่ยเป็นคนหลักแหลมจึงลุกขึ้นทันทีแล้วยิ้ม “ท่านย่าเจ้าคะ ข้าขอตัวไปดูก่อนว่าได้ต้มชาดอกกุ้ยฮวาเอาไว้หรือยัง”
เมื่อเห็นนางออกไปแล้ว ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยถามว่า “เป็นอย่างไรบ้าง”
หลัวเทียนเฉิงตอบว่า “เจอตัวแล้วขอรับ ศพของนางแข็งไปแล้ว พบอยู่บริเวณหลังสถานเริงรมย์ที่ห่างไกล ดูท่าแล้วคงจะเป็นฝีมือของโจร”
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่าได้ยินดังนั้นก็เชื่อเพียงครึ่งเดียว
แม้ว่าที่ต้าโจวจะมีกฎห้ามเข้าออกยามวิกาล แต่ทุกเรื่องย่อมมีข้อยกเว้น คนบางคนที่กะเวลาพลาดหรือมีธุระด่วน หากมีเป็นคนที่มีตำแหน่งสูงหน่อย หากพบทหารลาดตระเวนเข้าเจรจากันนิดหน่อยก็สามารถผ่านเข้ามาได้
และยังมีพวกที่ชอบแหกกฎหลบหลีกการลาดตระเวนของทหารที่สามารถทำได้ง่ายๆ
“ต้าหลัง เจ้าเห็นตัวนางหรือไม่”
“ท่านย่า ท่านวางใจเถิด หลานไปดูมาด้วยตัวเอง เป็นเยียนเหนียงไม่ผิดแน่”
คิ้วที่ขมวดแน่นของฮูหยินผู้เฒ่าคลายออก จากนั้นจึงถอนใจเบาๆ พลางส่ายหน้า “เยียนอี๋เหนียงเลอะเลือนไปแล้ว รูปโฉมของนางเป็นเช่นนั้นหนีออกไปจะรอดได้อย่างไร มิสู้อยู่ในเรือนไปตามกฎระเบียบ อย่างน้อยๆ ก็ยังมีเกียรติมากกว่า”
ฮูหยินผู้เฒ่าไม่สงสัยในคำพูดของหลัวเทียนเฉิงเลยแม้แต่น้อย และไม่ได้ถามต่อด้วยว่าจะจัดการเรื่องนี้ต่อไปอย่างไร เพราะถึงอย่างไรเยียนอี๋เหนียงแห่งจวนกั๋วกงก็ได้เป็นโรคติดต่อเสียชีวิตไปแล้ว แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว
“เอาละ พวกเจ้าทั้งสองคงเหนื่อยแย่แล้ว คนหนึ่งยุ่งวุ่นวายมาทั้งวัน ส่วนอีกคนก็เฝ้าข้ามาทั้งวัน กลับไปพักผ่อนเถิด”
“ท่านย่า คืนนี้หลานสะใภ้ขออยู่ดูแลท่านที่นี่นะเจ้าคะ” เจินเมี่ยวรู้สึกไม่สบายใจจึงรีบเอ่ยขึ้น
จวนกั๋วกงอันกว้างใหญ่มีหญิงรับใช้ร่างกายแข็งแรงกำยำเข้าเวรเฝ้าอยู่มากมาย เยียนเหนียงจะหนีไปได้อย่างไร
คำพูดของซื่อจื่ออาจจะปิดบังฮูหยินผู้เฒ่าได้ แต่ปิดบังนางไม่ได้
เมื่อนึกถึงภาพหลัวเทียนเฉิงที่น่าจะเป็นคนฆ่าเยียนอี๋เหนียงแล้วนำนางไปโยนทิ้งไว้บริเวณสถานเริงรมย์ ในใจของเจินเมี่ยวจึงเกิดความรู้สึกหนาวยะเยือกขึ้นมา
“ย่าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าจะอยู่ทำไม รีบไปเถิด อย่าดื้อ”
เมื่อเจินเมี่ยวเห็นรูปการณ์เป็นเช่นนี้ จึงทำได้เพียงเดินตามหลัวเทียนเฉิงกลับไป
ระหว่างทาง หลัวเทียนเฉิงนึกจะชวนเจินเมี่ยวคุยหลายครั้ง แต่เมื่อเห็นท่าทางไร้อารมณ์ของนางจึงทำได้เพียงวางเฉยแล้วเดินเข้าไปในห้องพร้อมสั่งให้คนรับใช้ออกไปให้หมด
“เจี๋ยวเจี่ยว” หลัวเทียนเฉิงวางมือลงบนไหล่ของเจินเมี่ยวเบาๆ แล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้ากำลังหลบอะไรอยู่ ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าเจ้ากำลังกลัวข้า”
เจินเมี่ยวกลัดกลุ้มใจมาตลอดทั้งสองวัน ความอดทนจึงถึงขีดจำกัด เมื่อได้ยินเช่นนั้นจึงโพล่งออกไปว่า “ใช่แล้ว ข้ากลัวท่าน!”
เมื่อคำพูดเช่นนี้หลุดออกมา หลัวเทียนเฉิงพลันตกตะลึงไป เมื่อผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว เขาจึงกัดฟันแล้วเอ่ยว่า “เจี๋ยวเจี่ยว เมื่อกี้ข้าฟังไม่ถนัด ไหนเจ้าลองพูดใหม่ซิ!”
เมื่อเจินเมี่ยวเห็นเขามีท่าทางตกใจและผิดหวัง นางจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสารเขา แต่นางเองก็รู้ว่าเรื่องนี้ไม่พูดไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต่อไปวันข้างหน้าระหว่างคนทั้งสองจะยิ่งห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ
นาง….ก็ทนไม่ได้เช่นกันหากทั้งคู่จะต้องห่างจากกัน แต่ไม่กลัวที่จะต้องโต้แย้งกัน
“ไม่ว่าจะพูดอีกกี่รอบก็เหมือนกัน ข้ารู้สึกว่าท่านน่ากลัว!”
“เจ้ากลัวข้า?” ใบหน้าหล่อเหลาของเขาแข็งค้างไปราวกับหยกแกะสลัก “ดี ดียิ่ง คิดไม่ถึงเลยว่าจะถึงวันที่เจ้ากลัวข้า สตรีสกุลเจิน เจ้ามีหัวใจหรือไม่!”
ระหว่างที่หลัวเทียนเฉิงเอ่ย ในอกของเขาก็เกิดโทสะล้นออกมา เขาโกรธมากแล้วจ้องนางอย่างเย็นชา จากนั้นจึงก้มหน้าเดินหนีไป
เสียงปิดประตูสนั่นทำเอาเจินเมี่ยวตัวแข็งทื่อ นางกัดริมฝีปากแล้วยืนอยู่เช่นนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงล้มตัวลงนอนบนเตียงกอดหมอนพลางกัดเอาไว้แน่น
คนเลว ถึงขั้นกล้ากระแทกประตูใส่นางเชียวหรือ
น่าโมโหนัก!
เจินเมี่ยวโกรธจนตีอกชกท้อง นางกัดและจิกหมอนใบนั้นเอาไว้แน่นเพื่อระบายอารมณ์
หลัวเทียนเฉิงออกไปตากลมเพื่อเรียกสติกลับคืนมา เมื่อกลับมาแล้วเห็นท่าทางนางเป็นเช่นนั้นจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าแทะกีบหมูอยู่หรือ”
เจินเมี่ยวนิ่งไปแล้วเงยหน้าขึ้น จากนั้นจึงเอ่ยเสียงแข็งออกมา “ท่านต่างหากล่ะที่แทะกีบหมู!”
“เช่นนั้นเจ้าทำอะไรอยู่หรือ” หลัวเทียนเฉิงเองก็ทุกข์ใจเช่นกัน แต่เนื่องจากเขาใจเย็นลงแล้วจึงเดินเข้าไปโดยไม่แสดงอาการอะไร
“ท่านกลับมาทำไม” เจินเมี่ยวเหลือบมองเขา
“มีเรื่องหนึ่งที่ลืมถามเจ้า” หลัวเทียนเฉิงนั่งลง
“เรื่องอะไร” เจินเมี่ยวหันข้างมา
สีหน้าของหลัวเทียนเฉิงหมองคล้ำ จากนั้นจึงเอ่ยโดยเน้นย้ำทีละคำออกมา “เจ้าบอกข้ามาให้ชัดเจนว่าเจ้ากลัวอะไรข้า เจ้าอยากทำให้ข้าอกแตกตายหรือ”
เขาคว้ามือของนางขึ้นมาเอามาทาบไว้ที่หน้าอก “เจ้าลองสัมผัสดู เจ้าลองสัมผัสมันดู!”
“สัมผัสอะไร”
หลัวเทียนเฉิงถามอย่างท้อใจ “เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าตรงนี้ของข้าแตกสลายไปหมดแล้ว”
เจินเมี่ยวยอมให้เขากุมมือของนางไว้ นางหลุบตาต่ำจ้องมองมือทั้งสองที่เกาะกุมกันอยู่พลางคิดในใจว่าหัวใจสลายยังพอมีทางแก้ แต่หากคนแตกสลายคงไม่ดีแน่
“เจี๋ยวเจี่ยวพูดมาสิ!” เมื่อหลัวเทียนเฉิงเห็นนางไม่เอ่ยอะไรก็ยิ่งมีท่าทางสับสน เขาทั้งร้อนใจและโกรธจนทำให้เขาไอออกมาอย่างรุนแรงจนกระทบกระเทือนไปถึงบาดแผลของเขา สุดท้ายเหงื่อเย็นๆ จึงเริ่มผุดออกมา
เมื่อเจินเมี่ยวเห็นสีหน้าของเขาซีดขาว นางก็เริ่มใจอ่อน จึงรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยถามออกไปว่า “จิ่นหมิง…ท่านกับเยียนเหนียง…มีความสัมพันธ์อย่างไรต่อกัน”
เมื่อคำพูดนี้เมื่อเอ่ยออกไป ในห้องพลันเงียบสงัดชนิดที่แม้แต่เสียงเข็มร่วงกระทบพื้นยังสามารถได้ยินได้
สายตาของหลัวเทียนเฉิงสอดประสานกับนาง ในดวงตาของเขาปรากฏความเจ็บปวดและผิดหวังออกมาให้เห็น เขาอ้าปากแล้วเอ่ยออกไปอย่างติดขัด “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าคิดว่าความงามล่มเมืองของเยียนเหนียงนอกจากจะดึงดูดท่านอารองกับน้องรองแล้ว ยังดึงดูดข้าด้วยอย่างนั้นหรือ”
เมื่อเขาเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกไปก็รู้สึกว่าในใจของตัวเองเจ็บปวด
จะเอาอย่างไร นางมองเข้าไปในดวงตาของเขาจึงเห็นความเชื่อมั่นที่มีอยู่เต็มเปี่ยม นั่นเป็นเพราะการพบกันในครั้งแรก เขาไม่อาจลงมือทำร้ายนางได้ ดังนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองจึงอ่อนแอเช่นนี้เสมอมา แม้ว่าเขาจะไม่มีอนุ แต่นั่นจะทำให้นางสงบใจได้อย่างไร
หลัวเทียนเฉิงเสียความมั่นใจไป แต่ไม่ใช่เป็นเพราะเจินเมี่ยว แต่เป็นเพราะตัวเขาเอง
เขากลับมาเกิดใหม่ตอนที่คนทั้งสองพบหน้ากันในช่วงที่ยากลำบากที่สุด จากนั้นจึงลงมือทำให้ช่วงที่ยากลำบากนั้นฝังลึก
ดังนั้นนางจึงไม่อาจลืมเลือนมันไปได้
หลัวเทียนเฉิงหัวเราะ
แต่เจินเมี่ยวกลับส่ายหน้าแล้วเอ่ยว่า “ไม่ใช่”
รอยยิ้มของหลัวเทียนเฉิงนั้นแข็งค้างอยู่ที่ริมฝีปากของเขา เมื่อได้ยินสองคำนี้ ความโกรธของเขาพลันลดลง
“เจี๋ยวเจี่ยว”
เจินเมี่ยวกลับไม่ได้ตอบรับไมตรีของเขา นางเม้มปากแล้วเอ่ยว่า “ตอนแรกข้าสังเกตเห็นท่านกับเยียนเหนียงแลกเปลี่ยนความลับบางอย่างแก่กัน ข้าจึงอดไม่ได้ที่จะคิดไปในทางนั้น แต่ตอนนี้กลับไม่คิดเช่นนั้นแล้ว”
“ทำไม”
เจินเมี่ยวกลอกตา “สายตาการมองคนของข้าไม่ได้ด้อยขนาดนั้น หากท่านมีใจให้เยียนเหนียง ท่านจะทนดูนางตายไปเฉยๆ เช่นนี้ได้อย่างไร ผู้ชายของข้าจะไม่เอาไหนถึงขั้นนี้เชียวหรือ ความรับผิดชอบของเขาต้องพอมีอยู่บ้าง”
หลัวเทียนเฉิงอ้าปากราวกับกำลังตั้งท่าจะกลืนไข่ไก่ลงไป
ทำอย่างไรดี เมื่อครู่นี้เขาตั้งใจว่าจะสารภาพเรื่องที่ปล่อยเยียนเหนียงไป แต่ฟังจากคำพูดของเจี๋ยวเจี่ยวแล้ว นี่จะไม่เท่ากับว่าเขามีใจให้เยียนเหนียงหรือ
เจินเมี่ยวไม่รู้เลยว่านางได้ขุดหลุมใหญ่ให้คุณชายผู้สืบทอดหลัวแล้ว จึงเอ่ยต่อไปว่า “ดังนั้นข้าคิดว่า เยียนเหนียงคงจะเป็นคนจัดการเรื่องราวแทนท่าน คล้ายว่า…เป็นหมากตัวหนึ่งของท่าน?”
“เจี๋ยวเจี่ยว นี่คือสาเหตุที่เจ้ากลัวข้าหรือ” หลัวเทียนเฉิงถามอย่างเหลืออด
“แค่นี้ยังไม่พออีกหรือ เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของอารอง ในฐานะที่ข้าเป็นคนนอกจะไม่รู้สึกว่าน่ากลัวได้อย่างไร”
รอยยิ้มของหลัวเทียนเฉิงหายไป “เจี๋ยวเจี่ยว เช่นนั้นเจ้าหมายความว่า ข้าไม่ต้องแก้แค้นงั้นหรือ”
“แก้แค้น?”
“ใช่ แก้แค้น” หลัวเทียนเฉิงจ้องเขม็งไปที่เจินเมี่ยว ดูจากสีหน้าของนางแล้ว บุญคุณความแค้นกับครอบครัวของลุงรอง นางคงต้องเตรียมใจเอาไว้บ้างแล้วไม่มากก็น้อย
หลัวเทียนเฉิงถอนใจพลางคิดกับตัวเองว่า มาถึงขั้นนี้แล้ว ขั้นที่เจี๋ยวเจี่ยวกลัวเขา แล้วเขายังมีอะไรที่พูดไม่ได้อีก
“เจี๋ยวเจี่ยวยังจำฝันร้ายที่ข้าเคยพูดกับเจ้าได้หรือไม่”
เจินเมี่ยวพยักหน้าอย่างหนักแน่น
หลัวเทียนเฉิงเขยิบไปด้านข้าง ทำให้เกิดระยะห่างระหว่างทั้งสองมากขึ้น จากมุมนี้จึงทำให้เห็นการแสดงสีหน้าบางอย่างของเจินเมี่ยวได้อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ขายาวๆ ทั้งสองข้างของนางไขว้กันอยู่ เป็นท่าทางการนั่งที่สบายๆ แต่ในใจของนางกลับขมวดแน่น “ความฝันนั้นไม่ได้หยุดอยู่ในตอนที่ข้าเล่าให้เจ้าฟัง แต่มันยังมีตอนต่อมา”
“ตอนต่อมา?” มือที่วางอยู่บนขาของนางกำเอาไว้แน่น
“ใช่แล้ว ยังมีเรื่องราวอีกยาวนัก”
ครั้งนี้หลัวเทียนเฉิงเล่าเรื่องราวที่เรือนรองกดดันเขาจนหมดเปลือก สุดท้ายเขาต้องสูญเสียทั้งชื่อเสียงและเงินทอง โดนไล่ออกจากตระกูลแล้วถูกเนรเทศไปยังชายแดนที่ห่างไกล
สุดท้ายเขาจึงมองไปที่เจินเมี่ยวแล้วยิ้มอย่างน่าสลด “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าว่าการที่ข้าตื่นขึ้นมาจากฝันร้ายเช่นนี้ เจ้าจะให้ข้าลืมเรื่องราวทุกอย่างไปหมดสิ้นเพราะรอยยิ้มเพียงคราเดียวงั้นหรือ”
ขนตาของเจินเมี่ยวสั่นไหวเบาๆ จากนั้นถึงหลุดจากภวังค์ฉากในฝันร้ายที่หลัวเทียนเฉิงบรรยาย แม้นางจะเป็นเพียงผู้ฟัง แต่จุดจบของเรื่องราวเป็นเช่นนี้ก็ทำให้นางรู้สึกอยากให้ตระกูลที่ทำกับเขาเช่นนี้ถูกสับเป็นหมื่นชิ้นทั้งตระกูล
ตอนนั้นเอง นางจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสายตาน่ากลัวของหลัวเทียนเฉิงนั้นเกิดขึ้นเพราะสาเหตุใด
ดังนั้นเจินเมี่ยวจึงส่ายศีรษะเบาๆ แล้วเอ่ยว่า “แน่นอนว่าคงไม่ได้ หากเอาความดีไปตอบแทนความแค้น แล้วจะเอาอะไรไปตอบแทนความดีเล่า ยิ่งไปกว่านั้น หากจะให้ลืมความแค้นเพียงเพื่อรอยยิ้มเดียว อีกฝั่งก็ต้องยิ้มด้วยเช่นกัน แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักขอบเขตเช่นนั้นคงไม่รู้ว่าการยิ้มเป็นอย่างไร”
“เจี๋ยวเจี่ยว ข้ารู้ดีว่าเจ้าต้องเข้าใจข้า” หลัวเทียนเฉิงตื้นตัน รู้สึกราวกับยกภูเขาออกจากอก จึงเอนกายเข้าไปสวมกอดนางเอาไว้
“ข้ายังพูดไม่จบเลย” เจินเมี่ยวถอนใจ