วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 478 ระบายโทสะ
เหตุการณ์ที่กลับตาลปัตรเช่นนี้ เจินเมี่ยวไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆ
เห็นชัดว่าเมื่อครู่ไท่โฮ่วกำลังจะรับปากแล้ว แต่เหตุใดจึงเปลี่ยนใจได้รวดเร็วเพียงนี้เล่า
นางอดหันไปมองแม่นมที่ยืนอยู่ด้านหลังไท่โฮ่วมิได้
ไม่ต้องคิดให้มากเลย ต้องเป็นเพราะแม่นมผู้นี้พูดอันใดบางอย่างแน่ๆ ไท่โฮ่วถึงได้เปลี่ยนใจไปเช่นนั้น
ในเมื่อไท่โฮ่วถามออกมาเช่นนี้แล้ว นางยังจะพูดอันใดได้ หรือจะให้บอกว่าในวังหลวงไม่มีโชควาสนาอันใดเหลืออยู่เลย
“เพคะ” เจินเมี่ยวกำหมัดแน่น แล้วเอ่ยวาจานี้ออกมาอย่างยากลำบาก
ไท่โฮ่วยกมือขึ้นคลึงขมับตน “ข้ารู้สึกเหนื่อยแล้ว ขอกลับไปพักที่ตำหนักก่อน จยาหมิงเซี่ยนจู่ เจ้าก็อยู่พูดคุยกับหวงโฮ่วเถิด”
เจินเมี่ยวฝืนยิ้มออกมา “จยาหมิงไม่รบกวนเวลาพักผ่อนของไท่โฮ่วและหวงโฮ่วแล้วเพคะ จยาหมิงทูลลา”
จ้าวไท่โฮ่วจึงโล่งอกลงได้ “เด็กๆ ไปส่งเซี่ยนจู่ด้วย”
กระทั่งเจินเมี่ยวไปแล้ว จ้าวเฟยชุ่ยก็ถามขึ้นมาอย่าทนไม่ไหวว่า “ท่านอา เหตุใดท่านถึงไม่รับปากเล่า”
จ้าวไท่โฮ่วมองนางคราหนึ่งแล้วเอ่ยอย่างจนใจว่า “อย่าเอ็ดไป เมื่อครู่ฝ่าบาทให้คนมาแจ้งว่าให้เก็บตำแหน่งสี่พระชายาเอกไว้ให้คุณหนูสามสกุลหลัวหนึ่งตำแหน่ง”
จ้าวเฟยชุ่ยแค่นเสียงเย็นคราหนึ่ง “ช่างใจร้อนเหลือเกินจริงๆ!”
“อย่าพูดจาเหลวไหล!” ไท่โฮ่วกลอกตาให้นางคราหนึ่ง “เฟยชุ่ยจงจำไว้ว่า เจ้าจะไม่รับฝ่าบาทมาไว้ในหัวใจก็ได้ หรือจะไม่เห็นสนมเหล่านั้นอยู่ในสายตาก็ได้เช่นกัน แต่เจ้าต้องระวังวาจาและกิริยาตัวเอง ฝ่าบาทอย่างไรก็เป็นจักรพรรดิ เกียรติยศที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ ล้วนมาจากพระองค์ทั้งสิ้น”
จ้าวเฟยชุ่ยฝืนพยักหน้ารับ
จ้าวไท่โฮ่วรู้สึกเป็นกังวลไม่รู้คลาย
นางมิอาจปฏิเสธคำขอของฝ่าบาทได้ แต่ฝ่าบาทถึงกับตรัสด้วยพระองค์เองว่าจะยกตำแหน่งหนึ่งในสี่พระชายาเอกให้คุณหนูสาม ฝ่าบาทเริ่มสนพระทัยคุณหนูสามผู้นี้ตั้งแต่เมื่อใด ต่อไปนางต้องเฝ้าระวังให้มากเพื่อมิให้นางมาแย่งตำแหน่งของเฟยชุ่ยไปได้
เจินเมี่ยวเดินตามนางกำนัลใหญ่ของวังหนิงคุนออกไป แล้วนางก็ชะงักฝีเท้าลง
นางควรต้องคิดได้ตั้งแต่แรกว่าผู้ที่ทำให้ไท่โฮ่วเปลี่ยนใจได้นั้นนอกจากฝ่าบาทแล้วจะเป็นใครไปได้
เฉินชิ่งตี้เริ่มให้ความสนใจหลัวจือเจินตั้งแต่เมื่อใดกัน
เจินเมี่ยวครุ่นคิดอย่างไรก็นึกไม่ออกว่าจะมีวิธีใดอีก ส่วนความคิดที่จะไปขอร้องให้ฝ่าบาทเปลี่ยนพระทัยนั้นไม่เคยมีอยู่ในหัวนางเลย
ตั้งแต่ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของเขา นางต้องบ้าหรือไม่ก็โง่เท่านั้นถึงคิดจะไปหาเขาอีก
“เซี่ยนจู่?” นางกำนัลจ้องมองเจินเมี่ยวด้วยความสงสัย
เจินเมี่ยวตื่นจากภวังค์แล้วก็ยิ้มให้นาง “ไม่มีอันใด รบกวนท่านแล้ว”
นางกำนัลใหญ่พาเจินเมี่ยวเดินออกไปจากวังคุนหนิง เมื่อแลซ้ายแลขวาก็เห็นขันทีท่าทางฉลาดผู้หนึ่งเงยหน้าขึ้นมองนาง นางจึงเอ่ยว่า “ขันทีน้อย เจ้าไปส่งจยาหมิงเซี่ยนจู่ออกจากวังทีเถิด”
ขันทีน้อยรีบรับคำ แล้วเดินเข้ามาโค้งกายให้เจินเมี่ยว “เซี่ยนจู่เชิญตามบ่าวมาทางนี้ขอรับ”
เจินเมี่ยวเดินตามเขาออกไป ในใจก็รู้สึกหงุดหงิดยิ่งที่ตนเป็นคนจำทางไม่ได้ แม้จะเข้าวังมาหลายครั้ง แต่ทุกครั้งก็มีคนนำทางเสมอจึงมิได้สังเกตเส้นทางอันใดนัก
เฉินชิ่งตี้นั่งอยู่ในศาลาหลังหนึ่ง เขากำลังรอให้เจินเมี่ยวมาขอร้องเขา แต่รอแล้วรอเล่าก็ไม่เห็นมาจึงส่งคนไปสังเกตการณ์ที่วังคุนหนิง ขันทีทราบเรื่องก็รีบกลับมาทูลว่า “ฝ่าบาท จยาหมิงเซี่ยนจู่ทูลลาไท่โฮ่วและหวงโฮ่วแล้ว กำลังจะออกจากวังพ่ะย่ะค่ะ”
“ออกจากวังหรือ” เฉินชิ่งตี้ลุกขึ้นยืนอย่างทนไม่ไหว
นางไม่คิดจะมาขอร้องเขาเลยหรือ
นางคิดจะไม่พบเขาไปตลอดชีวิตหรือไร
เฉินชิ่งตี้รู้สึกถึงโทสะที่มาจุกอยู่ที่หน้าอก เขากัดฟันถามว่า “ตอนนี้เซี่ยนจู่ถึงที่ใดแล้ว”
ขันทีผู้นั้นมีสีหน้าแปลกใจ “เซี่ยนจู่น่าจะใกล้ถึงศาลาเย่ว์เตี๋ยแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ศาลาเย่ว์เตี๋ย? เหตุใดจึงไปทางนั้น” หากออกมาจากวังหนิงคุนจะไปประตูวังหลวงก็ไม่น่าจะต้องานศาลาเย่ว์เตี๋ย ระยะนี้เฉินชิ่งตี้มักจะไปนั่งอยู่ที่ศาลาเย่ว์เตี๋ยคนเดียวจึงคุ้นเคยกับที่นั่นเป็นอย่างดี
ขันทีเองก็งุนงงไม่น้อย “ทางที่จยาหมิงเซี่ยนจู่ไปนั้นแม้จะออกจากวังได้ แต่กลับไกลอยู่สักหน่อย หม่อมฉันเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินชิ่งตี้ลุกขึ้นด้วยสีหน้าเย็นเยียบ “ตามเรามา!”
เขาพาหยางกงกงและขันทีนำทางเดินผ่านทางลัดจึงมาถึงศาลาเย่ว์เตี๋ยก่อน เขายืนหลบอยู่ในมุมลับตาจึงเห็นเจินเมี่ยวเดินก้มหน้าเดินตามขันทีผู้นั้นไปอย่างเหม่อลอย
เฉินชิ่งตี้อดโมโหขึ้นมามิได้
นางเสียสติหรือไร ถูกคนนำทางไปที่ใดก็ยังไม่รู้
หากจักรพรรดิของวังแห่งนี้มิใช่เขา นางคงตายไปโดยไม่รู้ตัวแน่
เฉินชิ่งตี้ก็ไม่รู้ว่าตนกังวลอันใด แต่ครั้นคิดว่าผู้ที่มีหน้าตาคล้ายไท่เฟยเหตุใดจึงโง่เง่าเพียงนี้เขาก็อยากจะกระโจนเข้าไปสั่งสอนอบรมสักครา เขาโมโหเหลือเกิน อย่าให้เขารู้ว่าผู้ใดที่คิดกลั่นแกล้งจยาหมิง เขาไม่ปล่อยมันไว้แน่!
เขายืนกอดอกอยู่ในที่ลับตาคอยเฝ้ามองอยู่เช่นนั้น บรรยากาศโดยรอบดูเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ ทำเอาขันทีผู้นำทางตัวสั่นขึ้นมาทีเดียว
หยางกงกงชินเสียแล้ว เขาได้แต่คิดในใจด้วยสีหน้าเรียบเฉยว่าครั้งนี้ฝ่าบาทจะลงมือแล้วหรือ
อืม แม้จะเป็นตอนกลางวัน แต่ที่นี่ก็ค่อนข้างเงียบสงบ ดอกไม้ต้นไม้เยอะ เป็นสถานที่ที่ดีทีเดียว เขาจะคอยดูลาดเลาให้ฝ่าบาทเอง
“ฝ่าบาท จยาหมิงเซี่ยนจู๋ผ่านไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“เราเห็นแล้ว”
หยางกงกงอดเตือนขึ้นมิได้ว่า “ข้างหน้าเป็นตำหนักชีหลวน ที่นั่นคนเยอะนัก”
เฉินชิ่งตี้มองหยางกงกงด้วยสีหน้าแปลกใจ
ขันทีคนสนิทของเขากำลังคิดอันใดอยู่หรือ เขาไม่อยากรู้สึกนิด
เขาเป็นคนเช่นนั้นหรือ แต่ต่อให้คิดจริงก็มิจำเป็นต้องเป็นที่นี่ก็ได้ โอ้ย ไม่ใช่ เขาไม่เคยคิดเช่นนั้นเลย!
เขาแค่คิดว่า…
มารดามันเถิด ขันทีผู้นี้ช่างชั่วช้าจริงๆ
เฉินชิ่งตี้จัดอาภรณ์ตนคราหนึ่งเพื่อปกปิดความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นมององค์หญิงฟางโหรวที่เดินเข้ามาหาด้วยความแปลกใจ
องค์หญิงฟางโหรวอายุสิบหกแล้ว ในยุคสมัยนี้หากยังไม่ออกเรือนนับว่าเป็นสตรีทึนทึกแล้ว น่าเสียดายที่สตรีงดงามผู้หนึ่งกลับเดินเป๋ไปเป๋มา จนทำลายความงามที่มีอยู่ไป
“ไม่พบกันนาน จยาหมิงเซี่ยนจู่นับวันยิ่งโอหัง เห็นข้าแล้วกลับไม่รู้จักทำความเคารพ”
“ถวายพระพรองค์เพคะ”
องค์หญิงฟางโหรวจ้องเจินเมี่ยวนิ่ง สีหน้ากลับยิ่งย่ำแย่ขึ้นทุกที
วันนี้เป็นงานชมบุปผา นางเป็นองค์หญิง ย่อมต้องได้รับเชิญแน่นอน แต่นางมีสภาพเป็นเช่นนี้ไปแล้ว จะไปปรากฏตัวต่อหน้าสตรีสูงศักดิ์ทั้งหลายได้อย่างไร
เหตุใดเจินเมี่ยวที่มิได้มีฐานะสูงส่งอันใด ทั้งยังเป็นไม่มีศีลธรรมกลับมีชีวิตที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงได้ครอบครองบุรุษที่นางมีใจให้ตั้งแต่เยาว์วัย แต่นางกลับยังกล้าหักหลังเขา
องค์หญิงฟางโหรวคิดเรื่องนี้แล้วก็โมโหขึ้นมา หลัวเทียนเฉิงก็เคยเป็นองครักษ์ของนาง เคยพานางออกไปเที่ยวเล่น ที่สำคัญยังเคยช่วยชีวิตนางด้วย แต่ตอนนี้พวกเขาสมหวังกันไปแล้วแต่นางยังคงโดดเดี่ยว
ดูท่าเรื่องที่นางได้ยินนางกำนัลสองคนคุยกันคงไม่ผิดแน่ เจินเมี่ยวมีเขาแล้วยังไม่รู้จักพอ ยังคิดจะยั่วยวนฝ่าบาทอีก!
“งานเลี้ยงเลิกแล้ว เหตุใดจยาหมิงเซี่ยนจู่จึงยังไม่ออกจากวังอีกเล่า” องค์หญิงฟางโหรวเดินเข้ามาใกล้
เวลานี้เจินเมี่ยวก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติแล้ว นางจึงเอ่ยเสียงเรียบว่า “กำลังจะออกจากวังเพคะ”
องค์หญิงฟางโหรวยกฝ่ามือขึ้นฟาดลงไปบนหน้าเจินเมี่ยวอย่างรวดเร็ว
เจินเมี่ยวคิดไม่ถึงว่าองค์หญิงฟางโหรวจะกล้าตบคน นางกุมแก้มตนเองไว้อย่างมึนงง
“ไม่ต้องมองข้าเช่นนั้น ข้าแค่ตบคนแพศยาเท่านั้น เจ้ารู้ว่าเสด็จพี่ชอบมาที่ศาลาเย่ว์เตี๋ยใช่หรือไม่ ถึงได้มาป้วนเปี้ยนแถวนี้ ความคิดอันน่าละอายเช่นนั้น มีผู้ใดบ้างไม่รู้”
มีผู้ใดบ้างไม่รู้
เจินเมี่ยวได้ยินประโยคนี้ก็หน้าเปลี่ยนสีไปทันที
นางเข้าวังมาครั้งนั้น เฉินชิ่งตี้กระทำการเสียมารยาทกับนางนั้นเป็นเรื่องจริง แต่เขาถึงกลับปล่อยข่าวเช่นนี้ออกไปงั้นหรือ แล้วนางจะมีหน้าไปพบผู้คนได้อย่างไร หากซื่อจื่อทราบเข้าจะไม่เสียใจมากหรอกหรือ
เจินจิ้งที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับได้แต่ยิ้มสะใจ
การตบครั้งนี้มันช่างระบายโทสะได้ดีนัก น่าเสียดายที่นางมิอาจไปทำเองได้
นางต้องการให้เจินเมี่ยวคิดว่าเรื่องน่าละอายของนางกับฝ่าบาทได้แพร่กระจายไปทั่ววังแล้ว ต้องการให้เจินเมี่ยวอับอาย หากกลับจวนไปแล้วทนความอับอายไม่ไหวจนฆ่าตัวตายไปเลยยิ่งดี
องค์หญิงฟางโหรวช่างเป็นเครื่องมือที่ดีนัก
เจินเมี่ยวแสบที่ใบหน้ายิ่ง แต่ใจของนางเจ็บยิ่งกว่า เมื่อเห็นองค์หญิงฟางโหรวยิ้มอย่างภาคภูมิใจ ก็รู้สึกขัดตายิ่ง นางกัดฟันแล้วยกเท้าขึ้นถีบองค์หญิงฟางโหรวจนล้ม
องค์หญิงฟางโหรวร้องโหยหวน นางจ้องเจินเมี่ยวอย่างไม่อยากเชื่อ “เจ้ากล้าเตะข้า”
เจินเมี่ยวตรวจดูเรียบร้อยแล้วว่าที่นี่นอกจากจะดูรกร้างแล้วยังไม่มีคนอีกด้วย
องค์หญิงฟางโหรวพานางกำนัลมาด้วยแค่สองคน ส่วนนางมีขันทีแค่คนเดียว แต่หากโทสะนี้มิได้ระบายออกไปในตอนนี้ก็อย่ามาเรียกนางว่าเจินเมี่ยว
เท้าที่คิดจะก้าวออกไปของเฉินชิ่งตี้ยยกค้างอยู่บนอากาศ ท่าทีดูอึ้งงันไม่น้อย
เดิมเจินเมี่ยวมิได้ตอบคำถามขององค์หญิงฟางโหรว แต่กลับเข้าไปเตะต่อยนางโดยไม่พูดอันใด
องค์หญิงฟางโหรวลุกแทบไม่ขึ้น นางจึงยกมือขึ้นป้องศีรษะตนไว้ แล้วคำรามลั่น “พวกเจ้าเป็นศพหรือไร ยังไม่มาจัดการนางอีก”
นางกำนัลทั้งสองจึงตื่นจากภวังค์แล้ววิ่งเข้าใส่เจินเมี่ยวทันที
เจินเมี่ยวนั้นฝึกฝนร่างกายประจำ แม้นางจะต่อยตีกับบุรุษมิได้ แต่กับนางกำนัลอ่อนแอสองคนนางมีหรือจะจัดการไม่ได้
นางแค่วาดขาเตะไปเพียงครั้ง นางกำนัลสองคนก็ล้มลงไปเสียแล้ว อีกคนหนึ่งยังล้มทับองค์หญิงฟางโหรวด้วย
เจินเมี่ยวได้ระบายโทสะแล้วจึงฉวยโอกาสตอนที่คนทั้งสามยังลุกขึ้นมามิได้หันไปพูดกับขันทีที่กำลังเบิกตาอ้าปากค้างอยู่ว่า “มัวแต่อึ้งอันใด รีบนำทางไปเร็ว”
เมื่อเห็นขันทีน้อยยังคงยืนนิ่ง นางจึงเอ่ยน้ำเสียงเย็นชาว่า “นี่ เจ้าก็อยากให้ข้าช่วยหรือ ข้ายังไม่ได้คิดบัญชีที่เจ้าพาข้ามาหลงทางเลยด้วยซ้ำ”
ขันทีน้อยหน้าเปลี่ยนสีไปทันที เขาเอ่ยเสียงสั่นว่า “เซี่ยนจู่ เชิญทางนี้ขอรับ”
องค์หญิงฟางโหรวที่นอนกองอยู่บนพื้นโกรธจนปอดแทบระเบิด นางลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล นางถลึงตาให้เจินเมี่ยวจนมันแทบจะหลุดออกมาแล้ว “เจินเมี่ยว ถ้าเจ้าเก่งจริง ก็รีบตีข้าตอนนี้เลย มิเช่นนั้นข้าจะไปหาไท่โฮ่ว ไปถามดูสักหน่อยว่าหากลงมือทุบตีองค์หญิงควรต้องได้รับโทษอย่างไร”
เจินเมี่ยวยกมือขึ้นปัดปอยผม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “องค์หญิงคงเย้าเล่นแล้ว องค์หญิงเป็นกิ่งทองใบหยก ไปที่ใดล้วนมีคนคอยคุ้มครอง แล้วจะถูกข้าดีได้อย่างไร”
องค์หญิงฟางโหรวฟังแล้วอึ้งไป ความบ้าคลั่งพาดผ่านในดวงตานางไป แล้วแค่นหัวเราะเอ่ยว่า “ได้ เรื่องนี้ไท่โฮ่วไม่เชื่อก็ไม่เป็นไร เช่นนั้นข้าก็จะบอกว่าเจ้าคิดยั่วยวนฝ่าบาท”
เจินเมี่ยวหัวเราะน้อยๆ ด้วยสีหน้าเรียบเฉย “หลักฐานเล่า เช่นนั้นข้าคงพูดได้ว่าองค์หญิงเกิดความรู้สึกต้องห้ามขึ้นกับฝ่าบาท ถึงได้มิออกเรือนเสียที ไท่โฮ่วจะเชื่อหรือ องค์หญิงฟางโหรว ท่านมิใช่เด็กสิบขวบแล้ว ก่อนพูดอันใดโปรดใช้สติพิจารณาด้วย อย่าใช้บั้นท้ายได้หรือไม่”
เฉินชิ่งตี้ที่หลบอยู่ในที่ลับได้ยินเจินเมี่ยวเอ่ยเช่นนี้ถึงกับหน้าเขียวเลยทีเดียว
สตรีผู้นี้พูดจาเหลวไหลอันใดกัน
เขาหมุนกายเดินออกมาปรากฏตัวเพียงคนเดียว ทั้งเอ่ยเสียงเรียบว่า “เหตุใดเราถึงไม่รู้ว่าที่นี่คึกคักถึงเพียงนี้!”
คนที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดล้วนนิ่งอึ้งไปพร้อมกัน แม้แต่เจินจิ้งที่ซ่อนอยู่ในที่ลับก็ยังอึ้งไปด้วย
ตามด้วยอารมณ์โกรธจนหน้าไร้สี
นางคิดถูกจริงๆ ฝ่าบาทยังคงไม่ลืมเจินเมี่ยวจริงๆ ด้วย