วาสนาบันดาลรัก - ตอนที่ 481 ท้าพนัน
หยางกงกงโบกมือ ขันทีสองคนก็เดินเข้ามา คนหนึ่งกดตัวเจินจิ้งเอาไว้ พันแพรต่วนสีขาวที่บริเวณลำคอของนางรอบหนึ่ง ออกแรงมือให้มากกว่าเก่า
มือทั้งสองข้างของเจินจิ้งคว้าแพรต่วนสีขาวที่ลำคอ ถีบฝีเท้าสุดแรงเกิด ดวงตาพองขึ้นทุกขณะ จดจ้องเขม็งอยู่ที่ฉินเชิ่งตี้ซึ่งอุ้มตัวเจินเจินออกไปไกลขึ้นทุกขณะ
ขณะนั้นเอง สมองของนางก็ปรากฏเป็นภาพเหตุการณ์มากมาย
ภาพขณะที่ทะเลาะกับพี่ใหญ่เมื่อยังเยาวน์ บิดาตำหนิพี่ใหญ่ กอดโอ๋นางเอาไว้ นางหัวเราะทั้งน้ำตา เสียงหัวเราะดังราวกับเสียงกระดิ่ง ดังไปทั่วทั้งลานกลางบ้านที่มีชิงช้าห้อยอยู่
ตอนยังเล็กนางหมั้นหมายอยู่กับเสนาบดีกรมพิธีการ ความสะใจและเขินอายจนหน้าแดงเล็กน้อย
ความผิดหวังหลังจากที่งานแต่งล้มเลิก ความโกรธเคืองเมื่อรู้ว่าต้องแต่งงานกับบัณฑิตผู้ยากจนข้นแค้น แล้วจึงค่อยๆ เติบใหญ่ ความเกลียดชังที่มีต่อเจินอาน
ความตื่นตระหนกและความรู้สึกที่ต้องเผชิญขณะที่ร่างกายและจิตใจอยู่ใต้ไม้ค้ำองุ่นที่ถูกประทานให้ ความปีติยินดีและความใฝ่ฝันที่จะได้ตั้งครรภ์และเลี้ยงดูเจินเจิน และความภาคภูมิใจที่ถูกแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยเฟย
ในที่สุด ทั้งหมดนี้กลับมลายกลายเป็นแสงสีขาว บดบังดวงตาทั้งสองข้าง นางค่อยๆ มองเห็นอะไรๆ ได้น้อยลงทุกที ทั้งหมดที่คาดคะเนเอาไว้ แสวงหา สิ่งเลวร้ายแต่ละอย่าง ในที่สุดก็กลับกลายเป็นความเงียบงัน
เจินจิ้งคลายมือออกแล้วเอื้อมมือออกไป ปล่อยให้มือหล่นลงอย่างไร้เรี่ยวแรง หลับตาทั้งสองข้างลง ร่างกายอ่อนเปลี้ยลงที่พื้น
หยางกงกงยังไม่วางใจ ก้าวไปข้างหน้าอังลมหายใจที่จมูก “หยางกงกง กุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์แล้ว”
การรัดคอตายที่ชวนอกสั่นขวัญแขวนภายในพระราชวังเช่นนี้ เป็นธรรมดาที่เจินเมี่ยวที่เดินทางออกจากวังจะไม่รับรู้
นางกลับมาที่จวน ก่อนอื่นนางปลอบประโลมหลัวจือเจิน สั่งให้คนไปยังที่ว่าการเชิญหลัวเทียนเฉิงกลับมา
คนที่วิ่งทำนู่นทำนี่คือหม่านชิว เป็นน้องชายของปั้นซย่า
หลังจากที่ปั้นซย่าสู่ขอชิงเกอ ก็ถูกส่งตัวไปยังจัดการหอสุราของจวนกั๋วกง ชิงเกอโดดเด่นด้านทำครัว สองสามีภรรยาร่วมมือกันทำให้หอสุราที่เหมือนกับเป็นธุรกิจเปิดบริการจนรุ่งเรือง แม้ว่าด้วยชื่อเสียงจะยังอยู่ภายใต้ชื่อจวนกั๋วกง ทว่าวันคืนกลับผันผ่านไปอย่างชุ่มฉ่ำเหลือเกิน มั่งคั่งร่ำรวย ปีก่อนชิงเกอเป็นเด็กน้อยตัวอวบอ้วน ปั้นซย่าผู้มีจิตใจร่าเริงคิดไว้เป็นอย่างดีแล้วว่าจะรอให้เด็กชายโตขึ้นสักหน่อยค่อยทดแทนบุญคุณให้เจ้านาย เมื่อพ้นจากการเป็นข้ารับใช้ของลูกชาย ก็ส่งเขาไปเรียนที่สำนักศึกษา
มีตัวอย่างจากพี่ชายอยู่ตรงหน้า หม่านชิวฮึกเหิมสุดกำลัง มิกล้าละเลยคำกำชับของต้าไหน่ไหน่แม้แต่น้อย หาตัวหลัวเทียนเฉิงเจอตั้งนานแล้ว
เมื่อหลัวเทียนเฉิงได้ยินว่าเจินเมี่ยวเชิญเขากลับจวน เกรงว่าจะเกิดเรื่องขึ้น บัดนี้เขาเป็นใหญ่ที่สุดในศาลาว่าการ กำชับกับลูกน้องเพียงคราเดียว ก็รีบร้อนกลับมาที่จวน
เจินเมี่ยวเพิ่งจะส่งหลัวจือเจินกลับไป สีหน้าไม่ค่อยดีนัก หลัวเทียนเฉิงได้เห็นนางใจก็พลันเต้นตึกตัก รีบเอ่ยถาม “เจี๋ยวเจี่ยว เรียกข้ากลับมามีอะไรหรือ”
เจินเมี่ยวรีบร้อนอธิบายสาเหตุ ทอดถอนใจพลางเอ่ย “น้องสามไม่ยินยอมจะเข้าวังเป็นพระสนม เดิมทีเห็นว่าท่าทีของหวงโฮ่วดูผ่อนคลายลงแล้ว ทว่าไม่รู้เหตุใดจึงกลับคำ นางครุ่นคิด นี่อาจะเป็นความคิดของฝ่าบาท ชื่อจื่อ ท่านไปหาฝ่าบาทเพื่อขอความเห็นใจได้หรือไม่”
“ฝ่าบาทชอบพอน้องสามเช่นนั้นหรือ” หลัวเทียนเฉิงค่อนข้างแปลกใจ
ถ้าจะว่ากันไป บัดนี้จวนเจิ้นกั๋วเองก็เป็นได้บุปผาซ้อนนุ่น เพียงจุดก็ติดไฟ[1] ความจริงแล้วไม่จำเป็นต้องจับจองตำแหน่งในวังหลังก็ยังได้ เชื่อว่าพระองค์ก็น่าจะแจ้งแก่ใจถึงเหตุผลนี้
หากพูดว่าฝ่าบาทสนอกสนใจในตัวน้องสาม ก็ไม่มีมูลเลยด้วยซ้ำ ต่อให้มีความเป็นไปได้ ก็ควรจะเปิดเผยกับเขาอย่างเป็นขั้นเป็นตอนเสียก่อน
เพียงครู่เดียวหลัวเทียนเฉิงก็คิดอ่านไปมากมาย คว้าไม่ถึงขอบเขต
“เวลานี้ขอเพียงไท่โฮ่วส่งดอกไม้คัดคนออก ใบรายชื่อผู้เข้าวังในตอนท้ายสุด ยังต้องให้ฝ่าบาททรงเลือก หากรอจนกระทั่งมีราชโองการลงมา จะไปขอความเห็นใจก็ไม่ทันแล้ว” เจินเมี่ยวเห็นเขาไม่เอ่ยอะไร อดที่จะร้อนใจมิได้
“จะว่าไป น้องสามทำเช่นนี้ ก็เอาแต่ใจไปสักหน่อย หญิงสาวในงานเลี้ยงฉลองมีตั้งมากมาย หากในใจมิปรารถนา ก็ให้ญาติไปบอกปฏิเสธ ผลลัพธ์หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรเล่า”
คำคนกล่าวไว้ว่า เพียงหาครอบครัวชาวบ้าน ยังต้องพิจารณาเลือกแม่สื่อแม่ชัก ประสาอะไรกับตระกูลหน่อเนื้อเชื้อกษัตริย์จะเลือกนางกำนัล ตระกูลใดบ้างจะยังกล้านึกถึงความยินยอมของหญิงสาว เช่นนั้นก็อยู่ให้ไกลจากเภทภัยไว้เสียดีกว่า
เจินเมี่ยวไม่พอใจนัก “ซื่อจื่อ น้องสามเป็นน้องสาวของท่านเชียวนะ”
หลัวเทียนเฉิงยิ้มเย็น “เจี๋ยวเจี่ยว เจ้าก็ใจอ่อนเช่นนี้ มิใช่ว่าน้องสามจะไม่รู้ว่าตนเป็นหญิงสาวของจวนกั๋วกง ได้รับความสนใจจากลูกผู้พี่ชายอย่างฝ่าบาท กล้าทำตามใจตนเองด้วยเชียวหรือ”
เขายอมรับว่า อย่างตนไม่นับว่าเป็นคนจิตใจดี ไม่ได้มีความรู้สึกผูกพันกับพี่น้องสักเท่าไรกับน้องสาวที่อายุห่างจากเขามากขนาดนั้น นางเป็นหญิงสาวในจวนกั๋วกง ปกติแล้วเขาก็ต้องดูแลเอาใจใส่ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องที่นางไม่ยินดีจะเข้าวัง ถูกคัดตัวแล้วยังต้องไปขอความเห็นใจจากฝ่าบาทอีก มิใช่เขาจะยืนหยัดว่าทำไม่ได้ ทว่าในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่า น้องสาวผู้นี้ช่างไม่รู้ตัวเองเอาเสียเลย
“ท่านไม่ยินดีงั้นหรือ?” เจินเมี่ยวเม้มริมฝีปาก สีหน้าท่าทางเศร้าสลด
นางมีลางสังหรณ์ว่า เป็นไปได้ที่เขาจะรับปากไปพบเฉินชิ่งตี้ด้วยตนเองเพราะเรื่องนี้ เพียงแต่ต้องออกหน้าแทนน้องหญิงเพื่อไปขอความเห็นใจจากชายอื่น โดยเฉพาะชายผู้นั้นยังมีความคิดเอนเอียง นางทำไม่ลง
หลัวเทียนเฉิงแย้มยิ้มพลางตอบอย่างจนใจ “ดูคิ้วขมวดหน้ามุ่ยของเจ้าก็รู้แล้ว ข้าเองก็พูดไม่ถูก เพียงแต่ว่า ข้ามิรู้ว่าเจ้าใส่ใจน้องสามถึงเพียงนี้”
เห็นว่าเขารับปาก ใจของเจินเมี่ยวพลันผ่อนคลาย ใบหน้าปรากฏรอยยิ้ม “จะว่าไป เป็นเพราะข้าอยากแสดงฝีมือ ถึงได้คิดความคิดแย่ๆออกมา”
นี่จึงทำให้นางเล่าเรื่องที่ป้าสะใภ้มาขอคำปรึกษาออกมา
หลัวเทียนเฉิงได้ฟัง ก็พยักหน้า “ข้าค่อยไปวันพรุ่งนี้”
วันต่อมา ข่าวเจินกุ้ยเฟยสิ้นพระชนม์ก็แพร่ออกไป
ต่อให้กุ้ยเฟยจะมีหน้ามีตาอย่างไรก็มิเทียบเท่าหวงโฮ่ว ไม่นับว่าเป็นการสูญเสียของแผ่นดิน เฉินชิ่งตี้เพียงแต่ประกาศหยุดออกว่าราชการหนึ่งวัน แสดงออกถึงความโศกสลด
ดังนั้น การตายของเจินกุ้ยเฟยจึงไม่ได้ส่งผลกระทบมากนัก เพียงแต่เป็นระฆังเตือนภัยให้กับเหล่าหญิงสาวที่ฝันใฝ่อยู่เต็มอกที่กำลังจะเข้าวัง ให้บังเกิดความเกรงกลัวอยู่ภายในใจ บางคนถึงกับผลุนผลันออกจากตำแหน่ง ในวังหลวงนอกจากหวงโฮ่วแล้ว ตำแหน่งสนมจะมีลำดับสูงสักเพียงใด ก็ต้องแสดงตัวเอื้อมคว้าโอกาสงาม
นี่แม้กระทั่งจวนเจี้ยนอันปั๋ว เมื่อทราบข่าวก็มิได้มีผู้ใดโศกเศร้าอย่างแท้จริงไม่ เพียงแต่รู้สึกใจหาย นางเจี่ยงมาพบเจินเมี่ยวที่จวนเจิ้นกั๋วกงตั้งแต่เช้าตรู่
เป็นกังวลว่าการตายของเจินจิ้งเป็นการแจ้งเตือนจวนเจี้ยนอานปั๋วล่วงหน้าของเฉินชิ่งตี้ ถึงมาถามไถ่เอาความ
“ซื่อจื่อแจ้งข่าวข้าแล้ว บอกว่าเมื่อวานที่งานเลี้ยงกุ้ยเฟยเสวยปูกับผลไม้ ทำให้ร่างกายเย็น ถึงได้สิ้นพระชนม์ฉับพลัน”
นางเจี่ยงคิดจะเอ่ยแต่ก็หยุดเอาไว้ เห็นเจินเมี่ยวไม่ได้เอ่ยอะไรมากนัก อดไม่ได้ที่จะกดเสียงให้ต่ำลง “ถึงคำพูดจะเป็นเช่นนั้น ใครต่อใครก็รู้ว่าวังหลังมีเรื่องซ่อนเร้นมากมายเป็นที่สุด ลุงของเจ้าเองก็เป็นกังวล หากการตายของกุ้ยเฟยมีเบื้องหลัง เช่นนั้นจะมีเรื่องเดือดร้อนมาถึงจวนปั๋วหรือไม่”
เจินเมี่ยวรู้แจ้งถึงเส้นสนกลใน “ซื่อจื่อกล่าวว่าให้พวกเราวางใจ แม้ว่าฝ่าบาทจะไม่ออกว่าราชการเพื่อแสดงความไว้อาลัยหนึ่งวัน นั่นก็เพื่อไว้หน้าองค์หญิงและองค์รัชทายาท เมื่อเป็นเช่นนั้น จวนปั๋วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะมีเรื่องเดือดร้อนอันใด”
นางเจี่ยงถึงได้วางใจ ก้าวออกจากประตูใหญ่จวนกั๋วกงแล้วจึงขึ้นรถม้า อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเสียงเย็น หญิงสามัญชนก็เป็นสามัญชนอยู่วันยังค่ำ การคาดหวังให้พวกนางเทิดทูนบรรพบุรุษก็เป็นเรื่องขบขันดีๆนี่เอง ไม่สร้างเรื่องเดือดร้อนให้กับครอบครัว ก็ต้องขอบคุณฟ้าดินมากแล้ว
เฉินชิ่งตี้สดับฟัง ตะลึงงันไปสักครู่แล้วจึงเอ่ยขึ้น “วันนั้นที่จยาหมิงอยู่ในวัง ที่แท้ก็มีความคิดเช่นนี้เอง เหตุใดจึงไม่เอ่ยกับข้าตามตรงเล่า”
หลายวันที่ผ่านมาเขารอคอยให้เจินเมี่ยวเข้าเฝ้าเพื่อทูลขอ คาดไม่ถึงว่ารอแล้วรอเล่า ผู้ที่มากลับเป็นหลัวเทียนเฉิง แม้จะไม่ถึงกับโกรธเคือง ทว่าในใจก็มิได้พึงพอใจนัก
เดิมทีหลัวเทียนเฉิงเองก็ไม่ได้คิดเรื่องที่เจินเมี่ยวพึ่งพาเพื่อให้เขามาเข้าเฝ้า เวลานี้ได้ยินเฉินชิ่งตี้ตรัสออกมาเช่นนั้น ในใจก็พลันหวานชื่นขึ้นมา อดไม่ได้ที่จะโค้งมุมปากขึ้น เผยให้เห็นรอยยิ้ม
เฉินชิ่งตี้ได้เห็น ในใจก็ยิ่งเจ็บแปลบ กลอกตาอยู่เงียบๆ
“จยาหมิงเกรงว่าจะเสียน้ำใจ ถึงได้กลับไปให้กระหม่อมมาหารือกับพระองค์” ฮูหยินมีเรื่องลำบากใจจึงมาหาสามี ก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผลอยู่แล้ว
เฉินชิ่งตี้เผยให้เห็นสีหน้าลำบากใจ “แต่เราหลงรักคุณหนูสามสกุลหลัวตั้งแต่แรกเห็น”
หลัวเทียนเฉิงกระตุกมุมปากขึ้นมา
หลงรักตั้งแต่แรกเห็นบ้าบออะไรกัน ก่อนหน้านี้เหล่าหญิงสาวที่ฝ่าบาทพากลับมาที่วังหลวง มีคนไหนบ้างที่ไม่ได้รู้สึกหลงรักตั้งแต่แรกพบ
เฉินชิ่งตี้เองก็ไม่ยินดีที่จะเป็นปรปักษ์กับหลัวเทียนเฉิงจริงๆ เห็นว่าเขากลับมาทูลขออีกครา ก็พลันโล่งใจ “อย่างนี้ก็แล้วกัน จิ่นหมิง เจ้ามาพนันกับเรา หากชนะ เราจะรับปากคำขอของเจ้า หากแพ้ เจ้าจะต้องส่งคุณหนูสามเข้าวังหลวงมาแต่โดยดี”
“พนันกันอย่างไร ฝ่าบาทโปรดแถลงไข”
“เจ้าจำซู่ซู่ได้หรือไม่” สีหน้าของเฉินชิงตี้เปี่ยมด้วยความประสงค์ร้าย
เห็นหลัวเทียนเฉิงสีหน้างงงวย ใบหน้าถมึงทึง “ผู้ที่อาศัยในบ้านสามัญชนคอยปิดบังฐานะของเจ้ากับเรานั่นไง!”
หลัวเทียนเฉิงรู้ตัวในทันที “กระหม่อมจำได้”
“เช่นนี้ก็แล้วกัน จิ่นหมิง พวกเราพนันกันเรื่องซู่ซู่ หากนางไปขอพบจยาหมิง แล้วบอกว่าเป็นอนุของเจ้า หากจยาหมิงเชื่อเจ้า ถือว่าเจ้าชนะ หากนางเป็นทุกข์เพราะเจ้า ก็ถือว่าเจ้าแพ้”
หลัวเทียนเฉิงสีหน้าเครียดเคร่ง “ฝ่าบาท พระองค์จะใส่ร้ายข้านี่”
ฝ่าบาทเสวยจนอิ่มหนำแล้วใช่หรือไม่ ต้องเบื่อหน่ายถึงเพียงใดถึงได้คิดออกมาได้
เฉินชิ่งตี้ตีหน้าซื่อ “จิ่นหมิง หรือว่าเจ้าไม่อยากรู้ว่าจยาหมิงคิดอย่างไรกับเจ้า อีกอย่าง เป็นเพียงเรื่องล้อเล่นเท่านั้น หากนางเป็นทุกข์เพราะเจ้าจริง หลังจากนั้นเราจะอธิบายกับนางเอง”
เห็นว่าหลัวเทียนเฉิงยังไม่พยักหน้า จึงเอ่ยอย่างมีชั้นเชิง “อย่างไรเจ้าก็จะไม่ร่วมพนันกับเราใช่หรือไม่ ก็ได้ เช่นนั้นก็รีบส่งตัวคุณหนูสามสกุลหลัวเข้าวังมาเถิด ข้าหลงรักนางตั้งแต่แรกเห็นจริงๆ!”
หลัวเทียนเฉิง “…”
คิดว่าหากทำเรื่องที่ฮูหยินฝากฝังมาไม่สำเร็จ นางจะต้องผิดหวังเป็นแน่ หลัวเทียนเฉิงทำได้เพียงกล้ำกลืนพยักหน้า ทั้งพยายามฟื้นความจำว่าเป้าธนูที่เขาเคยทำไว้ตั้งแต่แรกอยู่ที่ใด อันเดียวอาจจะไม่พอให้คุกเข่าดูเหมือนว่าจะต้องทำสำรองเอาไว้อีก
เจินเมี่ยวนั่งไม่ติด กำลังรอให้หลัวเทียนเฉิงกลับมา เพื่อไต่ถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไรบ้าง ก็เห็นใบหน้าแข็งทื่อราวกับตอไม้เข้ามารายงานอย่างแปลกประหลาด “ต้าไหน่ไหน่ ที่นอกจวนมีหญิงนางหนึ่ง อยากพบท่าน คนเฝ้าประตูเห็นว่านางไม่เปิดเผยฐานะ จึงไม่ให้เข้ามา สุดท้ายหญิงผู้นั้นพูดอะไรไม่รู้ความ คนเฝ้าประตูมิกล้าตัดสินใจเอง จึงมารายงานให้ทราบเจ้าค่ะ”
“หญิงผู้นั้นเล่า”
“ยังอยู่ข้างนอกเจ้าค่ะ”
“พานางเข้ามายังศาลาตรงหัวมุมด้านหน้า ข้าจะไปพบ”
คนไม่มีหัวนอนปลายเท้า แน่นอนว่าไม่ควรเชื้อเชิญให้เข้ามาในเรือน
เจินเมี่ยวเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดที่สามารถรับแขกได้ เดินออกไปจากวงล้อมของบรรดาหญิงรับใช้ชราทั้งหลาย
หญิงนางนั้นสวมอาภรณ์เรียบง่าย ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจึงหันมา
[1] บุปผาซ้อนนุ่น เพียงจุดก็ติดไฟ เป็นสำนวน หมายความว่าดีขึ้นเป็นเท่าตัว