วาสนาบันดาลรัก - ตอนพิเศษ 3 เรื่องน่าสนใจในเมืองเยี่ยนเจียง
ณ เมืองเยี่ยนเจียง สกุลเฮ่อนับเป็นสกุลที่มีความโดดเด่นที่สุดในย่านนี้ การร่ำเรียนและค้าขายสืบทอดยาวนานกว่าร้อยปี ณ ขณะนี้แม้จะไม่มีลูกหลานคนใดได้รับตำแหน่งใหญ่โตในราชสำนัก ทว่ารากฐานหยั่งลึก แตกแขนงเป็นกิ่งก้านสาขามากมาย ลูกศิษย์ลูกหาต่างก็โดดเด่นไม่ธรรมดา ในบรรดาคนเหล่านี้ หากจะเอ่ยถึงคนที่โดดเด่นที่สุดแปดเก้าในสิบคนต้องเอ่ยถึงคุณชายสกุลเฮ่อเป็นแน่
แต่ที่ทำให้คนถึงกับต้องฉงนงงงวยก็คือ คุณชายสกุลเฮ่อผู้นั้นเป็นชายตาบอด
เสียงแห่งความสงสัยเมื่อดังขึ้นแล้ว ก็จะเกิดเสียงที่ราวกับมีเจ็ดปากแปดลิ้นขึ้นทันที ต่างก็แย่งชิงกับเอ่ยถึงสาเหตุ
“คนนอกผู้นี้จะรู้ดีได้อย่างไรกันเล่า คุณชายสกุลเฮ่อนี้ทั้งด้านดนตรี หมากกระดาน หนังสือหรือวาดภาพ ไม่มีสิ่งใดที่ไม่ชำนาญ แม้นว่าตาจะบอด แต่โดดเด่นว่าพวกที่อวดตนว่าเก่งกาจเหล่านั้นกว่าร้อยเท่า” ชายหน้าขาวที่ดูท่าทีเป็นผู้คงแก่เรียนเอ่ยขึ้น
“ล้าหลัง ล้าหลังยิ่งนัก” คนเอ่ยเป็นชายร่างกำยำคนหนึ่ง “ดนตรี หมากกระดาน หนังสือและวาดภาพ เอาไปทำมาหากินอันใดได้ ที่ข้านับถือคุณชายสกุลเฮ่อก็คือเขาจัดตั้งสำนักศึกษาเหมิงขึ้นมา ตั้งใจรับเฉพาะเด็กที่ฐานะแร้นแค้น ไม่เพียงไม่เก็บค่าเล่าเรียน ยังดูแลเรื่องอาหารการกินอีกด้วย ดูหญิงหม้ายข้างบ้านข้าอย่างไรเล่า นางมีบุตรชายคน บุตรหญิงคน นางนำเอาลูกชายคนโตอายุเจ็ดขวบส่งไปเรียนที่นั่น ไม่ถึงสามปีหญิงหม้ายคนนั้นก็สิ้นบุญเสียก่อน ว่ากันว่าเหลือเพียงลูกสองคนก็นับว่าบาปใหญ่หลวงนัก พวกเจ้าทายสิว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร”
“เกิดเรื่องอันใดขึ้นรึ” คนต่างถิ่นที่ราวกับกำลังฟังเรื่องเล่า ตัดสินใจเอ่ยถามต่อไป”
ชายร่างกำยำนั้นมองคนต่างถิ่นอย่างประหลาดใจ ตอบราวกับภูมิใจเป็นหนักหนา “เด็กสิบขวบผู้นั้น ไม่เพียงแต่ได้รู้หนังสือ ฝีมือดีดลูกคิดก็ไม่ธรรมดานัก เมื่อลาออกจากสำนักศึกษาแล้วก็ไปคิดบัญชีให้กับร้านค้าต่างๆ ที่ไม่มีเงินจ้างนักบัญชี ทั้งยังรับจ้างเขียนจดหมาย ไม่เพียงแค่ตนไม่หิวตาย แม้แต่น้องสาวตนก็เลี้ยงให้อิ่มหนำสำราญได้ ข้านี่เองก็ประหลาดใจจึงไปถามเด็กผู้นั้น เขาเอ่ยว่าสำนักศึกษานั้นสอนให้อ่านออกเขียนได้ในปีแรก มีเพียงคนที่ได้เรียนได้ดีเท่านั้นจึงจะได้เรียนต่อ คนที่เหลือก็เรียนรู้ตามความถนัดและความสนใจของตน ส่วนเรื่องการคำนวณบัญชีนั้น นับว่าเป็นเรื่องดาษดื่น ยังมีการเรียนเรื่องการผลิตน้ำหมึก แกะพิมพ์หนังสือ เมื่อเรียนได้สักสองสามปี ก็ถึงเวลาที่ต้องออกมาทำมาหากินแล้ว”
ในสายตาของชาวบ้านทั่วไป การเย็บปักถักร้อยเมื่อเทียบเคียงกับเรื่องอ่านเขียนเรียนหนังสือ ก็ดูราวกับสง่างามขึ้นมาทันที
“ดีเช่นนั้นเลยหรือ”
“แน่นอนสิ ดังนั้นเมื่อข้ารู้เข้า จึงรีบนำลูกทั้งสองคนไปส่งให้ได้ร่ำเรียนในทันที”
คนที่รู้จักชายร่างกำยำหัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านหยางพ่อค้าหมูท่านนี้ ท่านไม่นับว่ายากจนกระมัง ระวังคุณชายสกุลเฮ่อทราบความเข้า แล้วจะขับไสไล่ส่งลูกทั้งสองของท่านออกมา”
ชายร่างกำยำถลึงตาใส่คนผู้นั้นเสียที เอ่ยประณามว่า “ชิ พ่อค้าหมูอย่างข้านี่ เมื่อเทียบกับสกุลเฮ่อแล้วจะมิใช่คนยากจนแล้วจะเป็นอะไรเล่า ทุกคราที่ฉลองเทศกาล ข้าเองก็ให้ลูกนำเนื้อหมูไปมอบให้แก่สกุลเฮ่อ คนเหล่านั้นยังยิ้มรับเอาไว้”
“คุณชายสกุลเฮ่อผู้นี้ เหตุใดเมื่อฟังๆ แล้วจึงดูคล้ายเซียนเข้าไปทุกครา แม้ดวงตาจะมองไม่เห็น แต่ยังสามารถทำเรื่องราวพวกนี้ออกมาได้อีกหรือ”
คนต่างถิ่นในนั้นเอ่ยออกมาอย่างไม่ยอมแพ้ “ตั้งสำนักศึกษามาเพื่อรับแต่บุตรหลานผู้ยากไร้งั้นหรือ ก็คงได้รับชื่อเสียงที่ดีกระมัง เพียงแต่ว่าจุดบอดนี้เมื่อสกุลเฮ่อรับเอาไว้ หากต่อไปในภายภาคหน้าหากไม่มีสกุลเฮ่อแล้วจะทำอย่างไรเล่า”
นี่คงเป็นการลอบส่งสัญญาณว่าคุณชายสกุลเฮ่อนั้นลอบนำเงินในตระกูลมาเสาะแสวงหาชื่อเสียงและเงินทองเข้าตนกระมัง
“ไปๆๆ เจ้าไม่รู้เรื่องก็อย่ามาเอ่ยคำจาเลอะเทอะ ณ ที่แห่งนี้ คุณชายสกุลเฮ่อจัดตั้งหอสมุดขึ้นมาด้วย หนังสือจากหอสมุดแห่งนั้นล้วนแต่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เพียงแค่รายรับที่ได้จากหอสมุด ก็เพียงพอที่จะหนุนสำนักศึกษาได้แล้ว ไม่มีความจำเป็นใดที่ต้องใช้เงินของตระกูลเลยด้วยซ้ำ”
ความนิยมในการเรียนหนังสือในเมืองเยี่ยนเจียงสูงนัก กิจการร้านหนังสือจึงรุ่งเรืองไปด้วย กล่าวได้เลยว่าแต่ละวันรายรับมากเท่ากับทองหนึ่งโต่ว[1] เลยทีเดียว อันนี้ก็มิได้เกี่ยวข้องอะไรกับชื่อเสียงเลย
คนต่างถิ่นผู้นั้นจึงมิได้กล่าวคำใดอีก ผู้คนต่างก็เปลี่ยนไปอีกหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว มีเพียงแม่บ้านหญิงที่ยังวัยกระเตาะกับแม่นางผู้หนึ่งที่พอมีความกล้ายังคงลอบถอนหายใจ “คนพวกนี้พูดไปพูดมา แต่กลับไม่มีผู้ใดเอ่ยใจความสำคัญเลย คุณชายสกุลเฮ่อนั้นโดดเด่นมาก เห็นได้ชัดว่ามันเป็นความสง่างามที่ไม่มีใครเทียบได้ ความเกรงใจและการอุทิศตนให้กับมารดาตนอย่างไรเล่า ถ้าฉันสามารถเป็นสะใภ้ของเขาได้สักวัน นับประสาที่เขาตาบอด หากอยากให้ข้าตาบอดด้วย ข้าก็ยินดีและไม่เสียใจเลย”
หญิงสาวสองคนที่สวมหมวกฟางค่อยๆ ถอยออกมาจากกลุ่มคน เดินขึ้นไปยังหอน้ำชา เมื่อเข้าไปในห้องหนึ่งได้ จึงค่อยถอดหมวกนั้นออก
ทั้งสองคนล้วนอายุเพียงยี่สิบต้นๆ ผู้ที่อายุน้อยกว่านั้นท่าทางอ่อนโยนน่าทะนุถนอม ผู้ที่ดูโตกว่านั้นท่าทางสง่างามจนน่าตกตะลึง
หญิงสาวที่อายุมากกว่านั้นป้องปากพลางหัวเราะ “จือฮุ่ย เจ้าฟังเอาเถิด วันนี้เจ้าได้กลายเป็นหญิงสาวที่น่าอิจฉาที่สุดในเยี่ยนเจียงแล้ว”
“ท่านพี่เฉียง ท่านหัวเราะข้าอีกแล้วนะ”
“ข้ามิได้หัวเราะเยาะเจ้า เจ้าไม่ได้ยินที่พวกนางเอ่ยหรือ หากว่าได้เป็นเจ้าแม้เพียงสักวัน ชาตินี้ก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจแล้ว วันนี้เจ้านั้นมีบุตรครบแล้วทั้งชายหญิง สามีเจ้าก็เป็นบุคคลมีชื่อเสียงราวกับเซียนที่ใครต่างก็อิจฉา อีกทั้งยังมั่นคงกับเจ้าเพียงผู้เดียว ในสายตาคนผู้นั้น แทบจะเรียกได้ว่าชีวิตสมบูรณ์แบบแล้วกระมัง”
หลัวจือฮุ่ยหัวเราะพลางตอบ “หาได้มีผู้ใดกล้าเอ่ยไม่ ชีวิตคนเราต่างก็สมบูรณ์แบบทั้งสิ้น”
หากเอ่ยถึงตอนแรก ความน่าเสียดายในสายตาคนเหล่านั้น ในสายตานางไม่เพียงแค่เรื่องที่ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจเลย แต่ยิ่งคนเหล่านั้นมีน้ำหนักในใจนางมากเพียงใด ยิ่งรักเข้ากระดูกเพียงใด ความรู้สึกเสียใจเหล่านั้นคงยิ่งฝังลึกลงไปอีก
นางไม่เสียดายอย่างอื่น ที่เสียใจก็เพียงที่เขาไม่เคยได้เห็นหน้าตาของนางเท่านั้น พวกเขาให้สัญญาต่อกันแล้วว่าชาติหน้าจะผูกวาสนากันต่อไป แต่หากว่าเขาจำนางไม่ได้จะทำอย่างไรกันเล่า
หญิงสาวที่อายุมากกว่าผู้นั้นเมื่อได้ฟังก็เงียบขรึมลงทันที เนิ่นนานจึงเอ่ยขึ้น “ที่เจ้าพูดก็ถูก ใครเล่าจะไม่เสียใจ ดูอย่างข้าเถิด ชาตินี้เกรงว่าคงไม่มีโอกาสกลับเข้าเมืองหลวงเสียแล้ว”
ศัตรูที่ไม่เคยลืมเหล่านั้น ท่านย่า จื่อซู ไป๋เสา ชิงเกอ ชาตินี้เกรงว่าคงมิได้พบหน้ากันอีกแล้วเป็นแน่ ยังมีท่านพี่จวิ้นเปี่ยวที่ให้ชีวิตใหม่นี้แก่นางอีก ก็คงไม่มีโอกาสไปไหว้หลุมศพเขาเป็นแน่
ที่แท้หญิงสาวที่อายุมากกว่าผู้นี้ได้เปลี่ยนชื่อจากอาหลวนแล้ว ชื่อปัจจุบันของนางคือหวังเฉียง
จะว่าไปก็บังเอิญนัก เดิมนางคือบุตรสาวสกุลหวังแห่งเยี่ยนเจียง สกุลหวังนั้นเทียบสกุลเฮ่อไม่ได้ แต่ในเมืองเยี่ยนเจียงก็นับว่าเป็นสกุลใหญ่ เมื่อกลับมาก็บอกผู้อื่นว่าสุขภาพไม่ดีแต่เด็กเลยไปรักษาตัวในภูเขาห่างไกล เมื่อร่างกายดีขึ้นแล้วจึงได้กลับมา เนื่องด้วยเหตุนี้ คนที่แต่งงานด้วยจึงมิใช่บุตรในสกุลใหญ่โต แต่เป็นบุตรชายในสกุลเล็กๆ สกุลหนึ่งที่ซื่อสัตย์เท่านั้น ถึงแม้นว่าจะไม่ได้สูงส่งอย่างที่หญิงอื่นปรารถนา แต่ดีตรงที่แสนจะอิสรเสรี
ทั้งสองต่างก็อยู่ที่เยี่ยนเจียง จะไม่พบหน้ากันได้อย่างไร มีความสัมพันธ์แต่หนเดิมจากเมืองหลวง ทั้งยังอุปนิสัยคล้ายกัน หลายปีมานี้จึงกลายเป็นสหายสนิทที่พูดคุยกันได้แทบทุกเรื่อง
อาหลวนที่พึมพำเสร็จสิ้นแล้ว หัวเราะต่อ “แต่ว่าหลายปีมานี้ ข้าไม่เคยห่างหายจากการส่งจดหมายให้ท่านย่าเลย เห็นไหมเล่า หลายวันก่อนก็เพิ่งได้รับจดหมายมาอีก ท่านย่าเอ่ยว่าหลายวันมานี้ชูสยาจวิ้นจู่จะทรงกลับมาดูตัวนี่ละ”
อาหลวนหน้าตางดงามโดดเด่น คงเพราะเคยได้รับความลำบากมาก่อน เลยไม่มีท่าทางหยิ่งยโสเลยสักนิด บุรุษที่นางแต่งให้ก็รักใคร่ดูแลนางราวกับไข่มุกในอุ้งมือก็มิปาน วันคืนหอมหวานนัก ดังนั้นอารมณ์ทอดถอนใจจึงเป็นแค่ความรู้สึกอยากทอดถอนใจเท่านั้นเอง
ทั้งสองร่วมดื่มน้ำชา แล้วต่างก็แยกย้ายกันกลับเรือนตน
เมื่อมองเห็นคนที่อยู่ในบ้าน หลัวจือฮุ่ยก็ตกใจเป็นอย่างมาก “ชิงฮุย วันนี้เหตุใดจึงกลับมาเสียเร็วเลยเล่า”
เฮ่อหลังยืนขึ้น แม้ดวงตาจะมองไม่เห็น แต่กลับเดิมายืนตรงหน้านางได้ราวกับคนปกติ เขาคว้ามือนางมากุม หัวเราะเบาๆ ว่า “ข้าให้คนสอนแทนสักครู่”
“เพราะเหตุใดกัน”
ดวงตาของเฮ่อหลังยิ่งทอดแสดงถึงความอ่อนโยน “เดือนหน้ามิใช่วันเกิดเจ้าหรือ ปีก่อนไม่ได้บอกแล้วหรือว่าวันเกิดปีนี้ ข้าจะออกไปวาดรูปกับเจ้าด้วย ข้าคิดว่า รอบๆ เมืองเยี่ยนเจียงนี้พวกเราล้วนเคยไป และเคยวาดมาหมดแล้วทั้งสิ้น ครั้งนี้พวกเราไปไกลหน่อย จือฮุ่ย เจ้ามีที่ไหนอยากไปหรือไม่”
หลัวจือฮุ่ยไม่ได้ตอบ
เฮ่อหลังขมวดคิ้ว “จือฮุ่ย”
เขายกมือขึ้นนวดเบาๆไปที่หัวตานางอย่างชำนาญ “เจ้าร้องไห้ทำไมกันเล่า”
“ไม่มีอะไรหรอก” หลัวจือฮุ่ยขบเม้มริมฝีปากแน่น พลันโถมตัวเข้าสู่อ้อมกอดของเฮ่อหลังทันที
สามีอย่างนี้ ได้ครอบครองในชาตินี้ช่างโชคดีเหลือประมาณ นางช่างโลภนัก ความเสียดายเหล่านั้นหากให้เขารู้ เขาต้องเสียใจเป็นแน่
หลัวจือฮุ่ยโอบกอดเฮ่อหลังเอาไว้ นางยิ้มกว้างออกมา “ข้าเพียงแต่ดีใจมากไปหน่อย รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้หญิงที่โชคดีที่สุดแล้ว”
เฮ่อหลังยกมือขึ้นแตะเบาๆ ที่ริมฝีปากนาง “เด็กโง่ ข้าต่างหากที่เป็นคนโชคดีคนนั้น”
หลังจากนั้นหนึ่งเดือน ทั้งสองยืนอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเมิ่งฮวาที่ห่างจากเมืองเยี่ยนเจียงหลายร้อยลี้ด้วยสีหน้ามีความสุข
“ชิงฮุย ท่านได้ยินเสียงแม่น้ำไหลหรือไม่”
เฮ่อหลังยกยิ้มตอบ “ได้ยินแล้ว ข้ายังได้ยินเสียงของดอกอิง[2]ที่ลอยมาพร้อมกับสายน้ำไหล และยังได้กลิ่นหอมของมันอีกด้วย”
ทั้งสองฝั่งของแม่น้ำเมิ่งฮวามีต้นอิงอายุหลายร้อยปีที่มีกิ่งก้านสาขาและต้นไม้ยังเขียวชอุ่มทุกๆ ทุกเดือนกุมภาพันธ์และมีนาคมดอกอิงจะบานเต็มที่และลอยตกลงไปในแม่น้ำเมิ่งฮวา น้ำใสๆ ของแม่น้ำ เมิ่งฮวาจะถูกย้อมเป็นสีชมพูและกลายเป็นแม่น้ำแห่งดอกไม้ ทั้งหมดนี้สวยสดงดงามราวกับความฝัน
หลัวจือฮุ่ยเกรงว่าเวลากลางวันคนจะเยอะ อาจมีคนเดินมาชนเฮ่อหลังเข้าได้ จึงรอให้เย็นย่ำจึงมาที่นี่ แต่นางกลับพบว่าเมื่อน้ำเมิ่งฮวาเมื่อเทียบกับในตอนกลางวันแล้ว ภายใต้แสงดาวและดวงจันทร์ที่ส่องแสงสวยงามกว่ากลางวันมากนัก
ไม่ไกลจากคนทั้งสอง มีเหล่าบรรดาองครักษ์และสาวใช้ยืนอยู่ คนเหล่านั้นมองไปที่คนทั้งสอง ต่างก็รู้สึกว่างดงามราวกับภาพวาด
ทันใดนั้นก็มีบทเพลงภูเขาดังขึ้น ดนตรีก็แปลกหูยิ่งนัก เนื้อเพลงก็แปลกยิ่งกว่า ฟังแล้วมีความรู้สึกราวกับสบายหูยิ่งนัก
เฮ่อหลังผู้สงบและอ่อนโยนมาโดยตลอดก็เปลี่ยนสีหน้าทันที เขาจับมือของหลัวจื่อฮุ่ย พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นที่ไม่สามารถปกปิดได้ “จือฮุ่ยดูสิว่าผู้ใดกำลังร้องเพลงอยู่”
หลัวจื่อฮุยไม่เคยเห็นเฮ่อหลังมีท่าทีเยี่ยงนี้มาก่อน นางสะดุ้งก่อนจะมองออกไป นางมองเห็นเรือท้องแบนล่องไปตามแม่น้ำ มีชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนหัวเรือท่ามกลางแสงจันทร์สลัวใบหน้าของเขาจึงไม่ใคร่ชัดเจนนัก ตามเสียงร้องเพลงแล้วเห็นว่ายิ่งใกล้เข้ามาทุกที เมื่อเข้าใกล้ผู้คนที่วิ่งไปที่ริมฝั่งแม่น้ำก็จะโบกมือและไม่นานก็จากไป
“ปะ…เป็นท่านอาจารย์” เฮ่อหลังตื่นเต้นยิ่งนัก อดใจไม่ไหวที่จะก้าวไปข้างหน้า
หลัวจือฮุ่ยตกใจจนแทบสิ้นสติรีบยื้อยุดเขาไว้สุดกำลัง “ชิงฮุย ด้านหน้าคือแม่น้ำนะ”
“เฮ่อเอ้อร์ รีบตามไป”
เฮ่อเอ้อร์ลอบมองไปที่หลัวจือฮุ่ย
หลัวจือฮุ่ยถอนใจ “ชิงฮุย เรือไปไกลเสียแล้ว พวกเราอยู่บนฝั่ง ตามไม่ทันหรอก”
เฮ่อหลังตกตะลึง และหลังจากนั้นไม่นานเขาก็กลับไปแสดงสีหน้าตามปกติของเขา ทั้งยังเอ่ยเบา ๆ ว่า “ข้าคงหมกมุ่นมากไป อาจารย์เคยบอกเองว่าตอนเขาจากไป เมื่อวาสนาสิ้นแล้วก็คือสิ้นแล้ว ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องโชคชะตา ในเมื่อรู้ว่าเขาสบายดีอยู่ ก็เป็นเรื่องน่ายินดีมากแล้ว”
“ชิงฮุย ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยได้ยินท่านพูดถึงท่านอาจารย์มาก่อน”
เฮ่อหลังจ้องมองใจกลางแม่น้ำอย่างไม่ใส่ใจ “ข้าตาบอดตั้งแต่อายุแปดขวบและหลังจากนั้นสองปีก็เอาแต่โทษตัวเอง จนกระทั่งข้าก็ได้พบกับอาจารย์ เขาเอ่ยว่า เขาสามารถเล่นหมากรุกกับหลาย ๆ คนได้โดยที่หลับตาอยู่ ส่วนข้าก็มองไม่เห็น การรับรู้อื่น ๆ จะโดดเด่นกว่า ทำไมข้าต้องอยู่อย่างสูญเปล่าเล่า เหตุใดจึงไม่ขยันทำงานหนักเพื่อทำให้ดีกว่าเขา ตอนนั้นข้าจึงได้รู้ว่า ถึงข้าจะตาบอด แต่ข้าก็ทำได้ดีกว่าเขาอยู่ ท่านอาจารย์อยู่สอนข้าเป็นเวลาสามปี เขาสอนดนตรี หมากรุก หนังสือ และการวาดภาพให้ข้า แต่ทั้งหมดล้วนไม่ได้ลึกซึ้งมากนัก แต่เขาสอนข้าถึงวิธีการเรียนรู้ในฐานะคนตาบอด นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าเป็นข้าอยู่ทุกวันนี้ เมื่อได้ฟังเสียงอาจารย์ ในตอนนั้นท่านยังเด็กมาก แม้ว่าจะผ่านไปหลายปี มีการเปลี่ยนแปลงบ้าง แต่ข้าจะไม่มีวันลืมเขา คนนั้นเมื่อครู่ ต้องเป็นเขาแน่ ต้องเป็นอาจารย์แน่ๆ และก็ไม่รู้ว่าเขาจะเดินทางไปที่ใดอีก”
เมื่อมีเรื่องขึ้นมาขัดเสีย ทั้งสองที่ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่นาน จึงกลับไปยังที่นั่งพัก เมื่ออาบน้ำผลัดผ้าเรียบร้อยแล้ว ในห้องจึงเหลือเพียงเขาทั้งสอง เฮ่อหลังจึงได้นำของขวัญวันเกิดออกมามอบให้นาง
เมื่อเห็นว่ามันเป็นม้วนหนังสือ หลัวจือฮุ่ยก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย นางค่อยๆ คลี่ออกดู ก็อดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา
ภาพวาดเป็นผู้หญิงนั่งสบาย ๆ วางแก้มไว้ในอุ้งมือข้างหนึ่งแล้วถือพู่กันไว้ในมืออีกข้าง นางเป็นผู้ใดกันนะ
“ชิงฮุย นี่คือ…”
“เด็กโง่ คิ้ว ตา ริมฝีปาก จมูกของเจ้า ส่วนใดกันที่ข้าไม่เคยลูบคลำบ้าง ถึงแม้ตาข้าจะมองไม่เห็น แต่ใจข้าก็มองเห็น ดังนั้นเจ้ามั่นใจได้ ไม่ว่าเมื่อไร ข้าจะต้องจำเจ้าได้แน่นอน”
หลัวจือฮุ่ยปิดปากตน น้ำตาไหลออกมา ร่องรอยแห่งความเสียใจในใจนั้นล้วนไหลออกไปพร้อมน้ำตาเสียหมดสิ้น สุดท้ายก็ไม่หลงเหลือร่องรอยความเสียใจใดๆ อีก
[1] หนึ่งโต่วเท่ากับหนึ่งชั่ง
[2] ดอกซากุระ