วาสนาบันดาลรัก - ตอนพิเศษ 5 ชายผู้นี้หลอกกินเปล่า
“ฉงซี่ ยังจะออกไปที่ไหนอีกเล่า” เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ที่กำลังพิงม่านบังหัวเตียงอยู่ หรี่ตามองไปยังลูกสาวของตนเอ่ยขึ้น
ฉงสี่เซี่ยนจู่ก็แสนจะซื่อตรง “ใช่เจ้าค่ะ ข้าไปกับเจียหมิงและชูสยา พวกเรานัดกันแล้วว่าจะไปร่วมกินอาหารที่หอสุราไป่เว่ยจวี
“อ้อ…” เจาอวิ๋นจั่งกงจู่มองไปยังลูกสาวที่แสนจะเรียบร้อยของตน แต่ก็ยังอดไม่ไหวถามต่อไปอีกว่า “พวกนางทั้งสองคนล้วนแล้วแต่เป็นมารดาของเด็กตั้งสามคนแล้ว เมื่อเจ้ามองดูแล้ว ก็ไม่เกิดความคิดอันใดเลยหรือ”
ฉงสี่เซี่ยนจู่ว่าพลางจับหน้าผากตน “เสด็จแม่ ก่อนหน้านี้ท่านไม่ได้เคยพูดเอาไว้หรือ ขอเพียงลูกนั้นมีชีวิตอิสรเสรีก็เพียงพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องทำตัวเหมือนกับหญิงสาวส่วนใหญ่ที่แต่งงานมีสามีแล้วต้องคอยสั่งสอนบุตรธิดา”
เจาอวิ๋นจั่งกงจู่ลอบถอนหายใจ “คงเป็นเพราะว่าแม่อายุมากแล้วกระมัง จึงค่อยๆ เริ่มชอบความคึกคักขึ้นมา ถ้ามีเจ้าอยู่เป็นเพื่อนก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ไปหาต่อไปเจ้าอายุเท่าค่า ไม่มีลูกหลานคอยดูแลจะทำอย่างไรดีเล่า คงไม่ได้หวังว่าจะกอดเอาหมากกระดานนั้นใช้ชีวิตไปวันๆ กระมัง”
ฉงสี่เซี่ยนจู่เริ่มรู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที “เสด็จแม่ คำพูดนี้ท่านล้วนเอ่ยขึ้นมาสี่หนแล้ว”
“จริงหรือ ข้าเคยพูดหรือ เหตุใดข้าจึงจำไม่ได้นะ” เจาอวิ๋นจั่งกงจู่แสดงสีหน้าว่างเปล่า
ฉงสี่เซี่ยนจู่ลอบถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนรีบแสดงท่าทีรีบร้อนออกมา “ตายจริง เสด็จแม่ ใกล้ถึงเวลานัดของข้าแล้ว หากมีเรื่องอันใด รอให้ข้ากลับมาเราค่อยว่ากัน”
ไม่ได้รอให้จั่งกงจู่เอ่ยจบ นางก็รีบร้อนวิ่งออกไป กว่าครู่ใหญ่จึงควบม้าไปถึงถนนใหญ่ นางจึงค่อยๆ ลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
รสชาติของการถูกเร่งรัดให้แต่งงานนี้ ช่างน่าอึดอัดใจเสียนี่กระไร
เพียงแค่ชั่วครู่เดียวที่นางใจลอย จึงได้พบว่ามีชายผู้หนึ่งอยู่ใกล้ตนยิ่งนัก ก่อนที่จะรีบรั้งเชือกบังคับม้าเอาไว้ เนื่องจากวันนี้นางเร่งรีบออกเดินทางมา ด้วยความรีบร้อนไม่รู้ตัวว่าได้เลือกม้าที่มีนิสัยเลือดร้อนมา อาชาตัวนั้นยกขาหน้าขึ้นสูงทันที นางตกใจจนแทบสิ้น
“คุณชายเป็นอะไรหรือไม่” เมื่อตั้งสติได้ ฉงสี่เซี่ยนจู่มองไปยังคุณชายที่อยู่เบื้องหน้าก่อนจะถามออกมาเบาๆ
บุรุษที่อยู่เบื้องหน้าสวมใส่ชุดยาวสีขาวที่ดูออกว่าซักมันหลายครั้งแล้ว แต่เขากลับไม่ได้ดูเดือดเนื้อร้อนใจแม้แต่นิด ทั้งยังยิ้มยิงฟันขาวตอบนางกลับมาว่า “มิเป็นไรขอรับ”
“อย่างนั้นก็ดีแล้ว” ฉงสี่เซี่ยนจู่เมื่ออยู่ต่อหน้าคนแปลกหน้ามักแสดงท่าทีเย็นชาเสมอ เพียงแต่ว่าคนนี้เห็นได้ชัดว่าอายุอานามก็สามสิบกว่าปีแล้ว เหตุใดรอยยิ้มถึงได้ดูสว่างถึงเพียงนี้นะ คล้ายราวกับเด็กที่ไม่มีเรื่องราวอันใดให้ต้องทุกข์ร้อนใจ ช่างชวนให้คนลืมสิ้นเสียงประเพณีอันดีงามเสียนี่ จึงอดใจไม่ไหวต้องมองไปอีกหลายหน เพียงก้าวขาขึ้นม้า ก็หันกายจากไปทันทีเสียนี่
“ฮูหยิน โปรดรอสักครู่”
ฉงสี่เซี่ยนจู่ชะงักนิ่งไปในทันทรี หันมามองด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
ดูเหมือนเขาจะสังเกตได้ถึงความไม่พอใจของฉงสี่เซี่ยนจู่ บุรุษท่านนั้นรีบเอ่ยขึ้น “ข้าเพียงอยากสอบถามว่า ร้านอาหารเลิศรสในเมืองหลวงนี้อยู่ที่ใด
เมื่อเห็นว่าฉงสี่เซี่ยนจู่สีหน้าเย็นชา บุรุษท่านนี้ยิ้มพลางเอ่ย “ฮูหยินมิต้องแปลกใจ หากท่านไม่ทราบละก็ ข้าไปสอบถามผู้อื่นก็ได้ขอรับ อย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนท่านแล้ว”
“ข้าทราบดี” ฉงสี่เซี่ยนจู่มองไปที่ชายผู้นั้นเขม็ง ดูเหมือนว่ายากนักว่านางจะเอ่ยสามคำนี้ออกมาได้
บุรุษท่านนี้ดวงตาเป็นประกาย
“แต่ข้าไม่บอกเจ้าหรอก” ฉงสี่เซี่ยนจู่โยนคำพูดนี้ใส่หน้าเขาก่อนจะควบม้าจากไป
ชายผู้นั้นยกมือขึ้นปัดฝุ่นที่ม้าดีดใส่ตนเสียยกใหญ่ พลางยกยิ้มให้คนที่จากไป
ฉงสี่เซี่ยนจู่ที่มาถึงยังหอสุราไป่เว่ยจวีแล้ว นางนั่งดื่มชาในห้องหนึ่ง สายตาทอดมองออกไปยังถนนนอกหน้าต่าง
รออยู่ครึ่งชั่วยาม ก็ได้ยินเสียงเดินที่ทางเดิน นางที่กำลังถอนสายตากลับมาจู่ๆ ก็ชะงักไป นางรับถือถ้วยชาเดินไปที่ริมหน้าต่าง
“ฉงสี่ เจ้ามองอะไรอยู่รึ”
เจินเมี่ยวและชูสยาเดินเข้ามาพร้อมๆ กัน
“ไม่มีอะไร” ฉงสี่เซี่ยนจู่หมุนตัวกลับมา
บุรุษชุดขาวผู้นั้นเดินเข้ามาในหอสุราไป่เว่ยจวี ก็มีเสี่ยวเอ้อร์เดินเข้าไปต้อนรับทันที “รับอะไรดีขอรับคุณชาย”
“นำอาหารขึ้นชื่อของพวกเจ้ามา”
เสี่ยวเอ้อร์ลังเลอยู่สักครู่ “เอ่อ…ร้านเรามีอาหารขึ้นชื่ออยู่สิบแปดชนิดขอรับ”
สีหน้าชายผู้นั้นไม่เปลี่ยน เอ่ยอย่างนิ่งเรียบ “เช่นนั้นก็ชิมทั้งหมดเลยแล้วกัน สุราก็ต้องดีที่สุดเช่นกัน”
“ขอรับ ท่านโปรดรอสักครู่” เสี่ยวเอ้อร์ล้วนแต่เคยได้รับการสั่งสอนมา ทำงานที่หอสุราไป่เว่ยจวีนั้นอย่าตัดสินคนที่หน้าตา แต่ดูอย่างการแต่งกายของชายผู้นี้ ในใจเขาไม่มีความมั่นใจเลย จึงลอบเดินไปที่โต๊ะเก็บเงิน “เถ้าแก่ แขกท่านนั้นต้องการสั่งอาหารขึ้นชื่อทั้งสิบแปดอย่างของร้านเรา ข้ากังวลว่าเขาจะจ่ายไม่ไหวขอรับ”
ปั้นซย่ามองตรงไป ก่อนหันมาถีบเสี่ยวเอ้อร์เสียที “เจ้าโง่ เจ้าดูสง่าราศีของคุณชายท่านนั้นสิ เขาดูเหมือนคนไม่มีเงินที่ไหนกัน ที่หอสุราไป่เว่ยจวีเจ้าเห็นคนแต่งกายประหลาดน้อยนักหรือ มองคนจะใช้ดวงตามองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องใช้ใจมองด้วยสิ”
เสี่ยวเอ้อร์ได้ยินเถ้าแก่เอ่ยแบบนี้ ก็รีบไปรายงานรายการอาหารทันที
อาหารขึ้นชื่อทั้งสิบแปดอย่างค่อยๆ ทยอยขึ้นโต๊ะ ชายผู้นั้นยกตะเกียบขึ้น ท่าทาราวกับขี่เมฆาท่องธารา ความเร็วในการกินประหนึ่งเวหาม้วนกลับเมฆากระจายตัว สุดท้ายเมื่อดื่มชาชั้นดีแล้วจึงค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดปากแบบใช้แล้วทิ้งของทางร้านเช็ดไปที่ริมฝีปาก ยกยิ้มก่อนเอ่ย อาหารและบริการของทางร้านยอดเยี่ยมยิ่งนัก มิน่าเล่ากิจการถึงได้รุ่งเรืองถึงเพียงนี้”
เสี่ยวเอ้อร์ราวกับได้หน้าไปด้วย เอ่ยขึ้นว่า “นายท่านพอใจก็น่ายินดีมากขอรับ ข้าตัดเศษเกินออกไปแล้ว ทั้งหมด หนึ่งร้อยตำลึงเงินขอรับ”
ชายผู้นั้นท่าทีผ่อนคลาย “นับว่าไม่แพง”
เสี่ยวเอ้อร์โค้งเอวน้อมรับ ยกยิ้มพลางพยักหน้า “นายท่านโปรดปราน ครั้งหน้าก็ขอเชิญมาอีกครั้งขอรับ”
“ข้าจะมาอีก”
เสี่ยวเอ้อร์ยิ้มทั้งใบหน้า เขาจ้องไปที่ชายผู้นั้น
เมื่อเห็นว่าชายผู้นั้นไม่จากไป ทั้งยังไม่ควักเงินมาจ่าย อดไม่ไหวเอ่ยขึ้น “นายท่าน ทั้งหมดหนึ่งร้อยตำลึงเงินขอรับ”
“ไม่แพงจริงๆ เพียงแต่ข้าไม่มีเงิน”
เสี่ยวเอ้อร์ตกตะลึง เขาเหลือบมองไปที่ปั้นซย่าอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
ปั้นซย่าอยู่ไกล ยังไม่แจ้งชัดว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เขาส่งสัญญาณมาว่าให้ต้อนรับให้ดี
เสี่ยวเอ้อร์อดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป จึงตะโกนออกไปว่า “เถ้าแก่ คนผู้นี้มากินฟรีขอรับ
“ผู้ใดมาหลอกกินเปล่านะ” ม่านถูกเลิกขึ้น ชิงเกอเบียดปั้นซย่าไปด้านข้าง นางยกมีดทำครัวขึ้นสูงก่อนเดินออกมา”
เมื่อเห็นว่าเถ้าแก่เนี้ยชิงเกอออกมา เสี่ยวเอ้อร์จึงมีความกล้ามากขึ้น “คนผู้นี้ขอรับ ชายผู้นีั้สั่งอาหารไปสิบแปดอย่าง ทั้งยังสั่งสุราและชาชั้นดีไปด้วย เมื่อกินเสร็จแล้วก็บอกว่าไม่มีเงิน”
เวลานี้เป็นเวลาที่หอสุราไป่เว่ยจวีมีคนมากินอาหารมากที่สุด เมื่อได้ยินเสี่ยวเอ้อร์เอ่ยออกมาแบบนี้ ทั้งหมดก็เงียบลงในฉับพลัน
ห้องรับรองชั้นสองที่เจินเมี่ยวและแม่นางอีกสองคนอยู่ได้ยินเสียงอึกทึกที่ด้านล่าง อดไม่ได้จึงเดินออกมาดู พวกนางจับระเบียงชะเง้อดูข้างล่าง
ชิงเกอเดินพุ่งตัวเข้ามาหาชายหนุ่มอย่างรวดเร็ว นางกวาดตาไปบนโต๊ะ ค่อยดึงสีหน้าเคร่งขรึมเอ่ยขึ้น “เจ้าคนผู้นี้ช่างไม่มีเหตุผลสิ้นดี หากหิวมาก แต่ไม่มีเงิน ก็สั่งอาหารเพียงไม่กี่อย่างรองท้องก็ได้นี่ พวกเราจะได้ถือว่าเป็นการทำบุญไปเสีย แต่นี่เจ้าสั่งแต่อาหารที่ดีที่สุด แล้วยังไม่จ่ายเงินอีก เจ้าเห็นว่าพวกเราเป็นคนโง่งมหรืออย่างไร”
ทั้งร้านเงียบสนิท
“ข้าจะลงไปดู
“ช้าก่อน” ฉงสี่เซี่ยนจู่รั้งเจินเมี่ยวเอาไว้
ชายในชุดคลุมยาวนั้นยิ้มให้ชิงเกอ “อีกเดี๋ยวจะต้องจ่ายอย่างแน่นอน”
ชิงเกอมองไปที่เสี่ยวเอ้อร์ เสี่ยวเอ้อร์จึงรีบถลึงตา “ท่านมิได้บอกว่าไม่มีเงินหรอกหรือ”
ชายหนุ่มมองไปที่ชิงเกอ “ขอยืมใช้พู่กันกับน้ำหมึกให้ข้าหน่อย”
พู่กันน้ำหมึกไม่มี ข้ามีแต่มีดทำครัวเท่านั้น”
ปั้นซย่ารีบเช็ดเหงื่อแล้วพุ่งตัวเข้ามา “ข้ามีๆ”
เมื่อเห็นชิงเกอถลึงตามองมา จึงรีบยกยิ้มให้นาง ในใจคิดว่าแม่ทูนหัวเอ๋ย มีดทำครัวเล่มนั้นใช้เชือดหมูก็พอแล้ว อย่าเพิ่งรับงานใหม่เพิ่มอีกเลย
ชูสยาจวิ้นจู่ที่มองทุกอย่างเสียจนทะลุปรุโปร่งจากด้านบน อมยิ้มก่อนจะเอ่ยขึ้น “ชายผู้นั้นน่าสนใจยิ่งนัก ยืมพู่กันกับน้ำหมึกรึ คงมิได้จะเขียนตัวอักษรคำว่า ‘เงินหนึ่งร้อยตำลึง’ หรอกใช่ไหม คงมิได้จะทำเป็นเงินจริงๆ หรอกนะ”
คนที่สงสัยมิได้มีเพียงเจินเมี่ยวและพวกพ้อง คนในห้องโถงก็ล้วนจับจ้องไปทุกอากัปกิริยาของชายผู้นั้น เมื่อเขาวางพู่กันลง ยกกระดาษขึ้น และได้เห็นตัวอักษรเหล่านั้น ต่างก็เกิดความโกลาหลขึ้นทันที
บนกระดาษนั้นเขียนเอาไว้ว่า “ผู้เล่นหมากกระดานหนึ่งในใต้หล้า”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะขบขันของผู้คน ชายผู้นั้นมิได้เปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด เขากลับยกยิ้มเอ่ยต่อ “ข้าเพิ่งกินอาหารอิ่มไปหนึ่งมื้อ บัดนี้มีแรงเดินหมากแล้ว มิทราบมีผู้ใดยินดีที่จะประลองฝีมือกับข้าหรือไม่ หากข้าได้รับชัยชนะ ก็จะขอเงินรางวัลเพียงหนึ่งร้อยตำลึงเงินเท่านั้น หากว่าข้าแพ้ ข้ายินดีที่จะมอบให้หนึ่งร้อยตำลึง”
โอ้อวดให้น้อยๆ หน่อยเถิด แม้แต่เงินค่าอาหารท่านยังไม่มีจะจ่าย หากท่านแพ้เล่า จะไปเอาเงินที่ไหนมากัน
ชายผู้นั้นมองไปทางปั้นซย่า “เถ้าแก่จะกรุณาจ่ายให้ข้าล่วงหน้าสักหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ได้หรือไม่ หากข้าแพ้ ก็คิดรวมกับข้าอาหารเสียเลย ข้ายินดีล้างจานชดใช้”
ปั้นซย่าคำนวณอย่างรวดเร็ว อดใจไว้ที่จะไม่กลอกตาก่อนเอ่ยขึ้นว่า “นายท่าน ค่าตอบแทนล้างจานเพียงเดือนละสองตำลึงเงิน เท่านั้น ต่อให้ไม่กินไม่ดื่ม ท่านก็ต้องล้างถึงแปดปีเชียวนะ”
“ให้เขาไป” เสียงหญิงนางหนึ่งเอ่ยขึ้นเบาๆ”
ชายผู้นั้นเงยหน้าขึ้น ตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากนั้นก็ยิ้มกว้างพร้อมกับยกมือประสานทำความเคารพก่อนเอ่ยขึ้น “ขอบพระคุณฮูหยิน”
ฉงสี่พลันสีหน้าหมองคล้ำ นางเดินลงบันไดไปทันที
เจินเมี่ยวลอบสบตากับชูสยา ชูสยาจวิ้นจู่หัวเราะก่อนเอ่ย “นี่เป็นหนแรกเลยที่ข้าเห็นว่ามีใครสามารถทำให้ฉงสี่โมโหได้”
ไม่นาน เงินก็กองลงเป็นหลายแถวยาว คนที่มาที่นี่หากมิใช่ล้วนมีฐานะและร่ำรวย ก็คงเป็นเหล่าผู้ที่มาหาความสำราญ ก็มิได้สนใจว่า ต่างก็มิได้สนใจว่าเหรียญเงินสองเหรียญที่หยิบออกมาเพื่อตอกหน้าคนไร้สติที่กล้าเสี่ยงอะไรแปลกๆ นี้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าความรู้สึกฮึกเหิมที่อยากเอาชนะในการพนันของบุรุษชาวต้าโจวเลย ผู้ที่มีทักษะการเล่นหมากรุกแบบพอเอาตัวรอดได้ต่างก็โยนเงินออกไปทันที
ชายคนนั้นหยิบชุดหมากรุกออกจากกระเป๋า เขานำพวกมันวางบนโต๊ะที่สะอาดแล้ว พลางถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านใดจะเริ่มก่อน”
“ข้าเอง”
คนที่เอ่ยคนแรก ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งกาน้ำชา ก็ล่าถอยไปด้วยใบหน้าแดงก่ำ
คนที่สอง คนที่สามต่อเนื่องไปจนถึงคนที่หกล้วนพ่ายแพ้ออกมาทั้งสิ้น ตอนนี้ไม่มีผู้ใดกล้าออกหน้าแล้ว
เรื่องเงินนั้นเป็นเรื่องเล็ก พ่ายแพ้ก็มิใช่เรื่องใหญ่ แต่ว่า พ่ายแพ้เสียจนหมดรูปนี้ ใครเล่าจะอยากอยู่ต่อให้ถูกหมิ่นเกียรติ
ปั้นซย่าก็เริ่มบ่น “หากเป็นเยี่ยงนี้ต่อไป ต่อให้ชนะทุกตา เมื่อชนะจนครบเงินค่าอาหารแล้ว คืนนี้พวกเราก็คงไม่ต้องเปิดร้านต่อแล้ว”
ชายผู้นั้นเมื่อเห็นว่าไม่มีใครออกมาอีกก็เริ่มคร่ำครวญ “เอาอย่างนี้แล้วกัน ข้าจะปิดตา พร้อมกันนั้นข้าจะเล่นหมากกระดานพร้อมๆ กันกับคนห้าคน หากว่าข้าชนะทั้งห้าตา ก็เชิญทั้งห้าท่านชำระค่าอาหารให้ข้า ดีหรือไม่”
“ได้ ปั้นซย่า เจ้ารีบให้คนไปจัดโต๊ะห้าตัว จัดวางหมากกระดานให้เสร็จสรรพ” เจินเมี่ยวค่อยๆ เยื้องกรายเข้ามา สายตานางที่มองไปที่ชายผู้นั้นราวกับพร้อมจะแผดเผา นางยังอดใจไม่ไหวที่จะมองไปยังฉงสี่อีกคราหนึ่ง
ฉงสี่เซี่ยนจู่ที่เมื่อครู่ยังสีหน้าสงบนิ่ง ครานี้กลับมีสีหน้าหมองคล้ำยิ่งนัก นางยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน
ไม่นานโต๊ะทั้งห้าตัวก็จัดเรียบร้อย คนเข้าร่วมการประลองทั้งห้าคนก็นั่งพร้อมแล้ว หอสุรามอบหมายให้คนห้าคนคอยกำกับดูแลอยู่ทุกโต๊ะ
จวบจนตอนนี้ ฉงสี่เซี่ยนจู่จึงได้เอ่ยปากขึ้นว่า “ข้า…อาสาเป็นคนอ่านการเดินหมาก”
เสียงเงียบเสียจนหามีเข็มตกลงพื้นก็คงได้ยิน เสียงของฉงสี่เซี่ยนจู่ดังขึ้นต่อเนื่อง “โต๊ะแรก ก้าวห้าไปทางบูรพา ก้าวเก้าไปทางทักษิณ”
ชายผู้นั้นปิดตาลงเบาๆ เอ่ยตอบทันที “ก้าวห้าไปทางบูรพา ก้าวสิบสองไปทางทักษิณ”
เสียงของทั้งสองดังโต้ตอบกันไปมา ผู้คนที่ร่วมชมการเดินหมากต่างก็ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง ได้ยินเพียงเสียงหายใจเท่านั้น
ทุกคนล้วนไม่ได้สังเกตถึงเวลาที่ดำเนินไปเลย เมื่อผู้แข่งขันคนสุดท้ายยอมแพ้ ทั้งร้านก็เงียบสงัดทันที
ชายผู้นั้นยืนขึ้น “เถ้าแก่ ค่าอาหารของข้าในที่สุดก็ครบเสียที”
เขายังมองไปทางฉงสี่เซี่ยนจู่ “ขอบคุณฮูหยินที่ให้การสนับสนุนขอรับ”
เมื่อเอ่ยจบก็ลอบคลำไปที่เงินสิบสองตำลึงที่ได้รับเกินมา ในใจลอบคิดเงินเยอะมากมายเพียงนี้ เพียงพอที่จะกินหมั่นโถวได้ทั้งเดือน ถือโอกาสนี้สำรวจเมืองหลวงเสียรอบแล้วกัน เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มแห่งความพึงพอใจออกมา
เมื่อรอจนคนผู้นั้นเดินออกไปพ้นหอสุราไป่เว่ยจวีแล้ว ฉงสี่เซี่ยนจู่ถึงได้สติแล้ววิ่งตามออกไป นางคว้าเอาแขนเสื้อคนผู้นั้นเอาไว้ “คุณชาย พวกเรามาประลองกันสักตาดีหรือไม่”
“ฮูหยิน ข้ากินอิ่มแล้ว”
ฉงสี่เซี่ยนจู่ชักสีหน้าทันที “ข้ามิใช่ฮูหยิน”
ชายผู้นั้นแสดงสีหน้าประหลาดใจ
ฉงสี่เซี่ยนจู่จับแขนเสื้อเขาเอาไว้ไม่ปล่อย เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ว่า “แต่หากเจ้าแต่งงานกับข้า ข้าก็คงเป็นฮูหยินแน่”