ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 125.3
ยายรองชั้นเลิศ
จางจู้และจางเกินจัดโต๊ะแยกไว้เรียบร้อยแล้ว ตัวหนึ่งเป็นโต๊ะผู้ชาย อีกตัวเป็นโต๊ะผู้หญิงและเด็ก
ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินรวมถึงเมิ่งชื่อนำอาหารที่ทำเสร็จแล้ววางแบ่งบนโต๊ะทั้งสอง อาสะใภ้รองของจางจู้เห็นอาหารหลากหลายเต็มโต๊ะถลึงตาโตลุกวาว แอบกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
พ่อของจางจู้ยกจอกเหล้าขึ้นกล่าวพอเป็นพิธี ทุกคนถึงลงมือกินข้าว
เมิ่งชื่อและเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะหยิบตะเกียบขึ้น อาสะใภ้รองของจางจู้ ชิงเอ๋อร์ และลูกทั้งสามคนของชิงเอ๋อร์ ยังมีจางเถี่ย ภรรยาและลูกที่พามาด้วยอีกสองคนต่างคีบอาหารกินอย่างมูมมามตะกละตะกลาม
อาสะใภ้รองของจางจู้กินเนื้อคำหนึ่ง ยังไม่ทันกลืนลงไปก็ส่งเสียงเอ็ดตะโร “แหม เนื้อนี้อร่อยนัก พวกเจ้ารีบชิมดู” พูดจบยกจานใส่เนื้อขึ้นเทเนื้อใส่ถ้วยคนฝั่งครอบครัวตัวเองคนละหลายชิ้น จนเหลือแต่จานเปล่า
เมิ่งเจี๋ยก็อยากกินเนื้อ พอเห็นว่าไม่มีแล้ว ร้องพูดอย่างน้อยใจ “ท่านพี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขา คีบกุนเชียงชิ้นหนึ่งให้เขา
ชิงเอ๋อร์พูดงึมงำฟังไม่ชัดเจน “กินสิ อาหารเลิศรสเช่นนี้เหตุใดพวกเจ้าถึงไม่กิน” พูดจบ ก็คีบกุนเชียงชิ้นหนึ่งยัดใส่ปากที่เต็มแน่น
เมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งอี้เซวียนถลึงตาโตอ้าปากค้างมองดูกลุ่มคนที่กินเหมือนตายอดตายอยาก
ภรรยาจางเถี่ยลุกขึ้นยืน คิดจะคีบเนื้อรมควันในจานที่วางตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียน เมิ่งอี้เซวียนตาไวมือไวยกจานขึ้น พูดอย่างไม่พอใจ “พวกเราเหลือเนื้อเพียงจานเดียวแล้ว น้องเล็กยังไม่ได้กินเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
อาสะใภ้รองของจางจู้ไม่พอใจ กินของในปากไปพลางพูดว่า “นี่เป็นของที่บ้านพวกเจ้าผลิตได้เอง อยากกินเมื่อไหร่ก็ได้ กลับจะต้องมาแย่งกับพวกข้าในวันนี้” คงเพราะพูดกระโชกโฮกฮากเกินไป ของที่อยู่ปากจึงกระเด็นออกมาเต็มโต๊ะ
เมิ่งชื่อย่นหัวคิ้ว
มองแม่และพี่สะใภ้ทั้งสองของตัวเองแวบหนึ่ง พบว่าพวกนางมองครอบครัวนั้นเหมือนไม่ใช่เรื่องแปลก ถึงเข้าใจแจ่มแจ้ง เมื่อครู่ที่พี่สะใภ้บอกว่ารอตอนกินข้าวก็จะรู้เอง หมายความว่ากระไร
เมิ่งอี้เซวียนวางจานเนื้อรมควันไว้ตรงหน้าเมิ่งเจี๋ย พูดอย่างนุ่มนวล “เจี๋ยเอ๋อร์ กินเถอะ”
เจี๋ยเอ๋อร์พยักหน้า คีบเนื้อรมควันใส่ถ้วยตัวเอง ค่อยๆ กินคำเล็ก
เสียวเป่ามองเนื้อรมควันในจานร้องโวยวาย “ท่านแม่ ข้าก็อยากกิน”
เมิ่งอี้เซวียนมองเขาแวบหนึ่ง ขยับจานเข้ามาข้างตัวเอง
ชิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืน คิดจะคีบเนื้อให้เสียวเป่า เมิ่งอี้เซวียนหยุดยั้งนาง “อย่าขยับ ข้าแบ่งให้เอง” พูดจบ เทใส่จานตรงหน้าเสียวเป่าจำนวนหนึ่ง
เสียวเป่าไม่พอใจ พูดโวยวาย “ท่านแม่ จานของเขาเยอะกว่า”
อาสะใภ้รองของจางจู้ถลึงตาใส่เมิ่งอี้เซวียน ลุกขึ้นยืนแย่งจานในมือเขามา พูดอย่างดูแคลน “เจ้าเด็กกำพร้าถูกเก็บมาเลี้ยงมีสิทธิ์อะไรได้กินเยอะกว่าเสียวเป่าของเรา”
เมิ่งอี้เซวียนหยุดชะงักมือ อาสะใภ้รองของจางจู้ฉวยโอกาสนี้แย่งจานในมือเขามา วางตรงหน้าเสียวเป่า
เมิ่งเชี่ยนโยววางตะเกียบในมือดัง “ป๊าบ” ไปบนโต๊ะ
คนทั้งหมดสะดุ้งตกใจ แหงนหน้ามองนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ยายรอง รู้ไหมว่าเมื่อครู่พูดอะไรออกมา”
อาสะใภ้รองของจางจู้กำลังจะพูด ภรรยาจางเถี่ยกระทุ้งนาง พลันได้สติกลับมา พูดด้วยรอยยิ้ม “ดูปากยายสิ ไม่มีหูรูดเลย อย่าเก็บไปใส่ใจ ข้าจะยกจานคืนให้เขาเดี๋ยวนี้” พูดจบลุกขึ้นเตรียมจะยกจาน
“ใครกล้าแตะต้องจานนั้นอีกข้าจะหักมือคนผู้นั้น” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเย็นเยือกแฝงความอำมหิต
อาสะใภ้รองของจางจู้ตกใจหดมือกลับเฉียบพลัน
ชิงเอ๋อร์และภรรยาจางเถี่ยรวมถึงเด็กๆ ทั้งหมดตกใจจนลืมกินข้าว มองนางอย่างตกตะลึง
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน ยกจานเนื้อรมควันมาวางตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียน และยกอาหารพื้นบ้านอีกจำนวนหนึ่งที่พวกเขายังไม่ได้กินมาวางฝั่งบ้านตัวเอง ทำท่าแบ่งเขตแดนพูดกับอาสะใภ้รองของจางจู้และครอบครัว “อาหารพวกนั้นเป็นของพวกเจ้า อาหารเหล่านี้พวกเจ้าห้ามแตะต้อง ถ้าใครกล้ายื่นตะเกียบเข้ามา ข้าจะโยนมันผู้นั้นออกไปทันที”
อาสะใภ้รองของจางจู้มองดูฝั่งนั้นไม่มีสิ่งของน่าอร่อย จึงหัวเราะพูดขึ้น “ได้ๆๆ พวกเราไม่แตะต้อง พวกเจ้ารีบกินเถอะ” พูดเสร็จก็พูดกับคนในครอบครัว “รีบกิน เดี๋ยวอาหารเย็นจะไม่อร่อย”
คนทั้งหมดก้มหน้าก้มตากินข้าว แต่ครั้งนี้สงวนท่าทีมากขึ้น
ภรรยาจางจู้ลุกขึ้นยืน พูดขึ้น “ข้าจะไปหั่นเนื้อรมควันและกุนเชียงมาเพิ่ม”
“แบ่งมาให้พวกเราด้วย เด็กๆ ยังกินไม่อิ่ม” อาสะใภ้รองของจางจู้พูดขึ้น
ภรรยาจางจู้ไม่ได้สนใจนาง นำเนื้อรมควันที่หั่นมาใหม่วางไว้ฝั่งตนเอง
เนื้อรมควันจานใหญ่เต็มจานวางอยู่ตรงหน้า กลับกินไม่ได้ อาสะใภ้รองของจางจู้เริ่มไม่พอใจ นัยน์ตากลิ้งกลอก ลุกขึ้นไปที่โต๊ะฝั่งผู้ชาย ด้านหนึ่งยกจานเนื้อรมควันบนโต๊ะ ด้านหนึ่งพูดขึ้น “พวกเจ้าผู้ชายเอาแต่ดื่มเหล้า ไม่กินอาหารอยู่แล้ว ข้าจะยกเนื้อจานนี้ไป ให้เด็กๆ กิน ต้าเป่า เสียวเป่ายังกินไม่พอ” พูดจบก็ยกจานกลับมาวางตรงหน้าตัวเอง พูดกับคนในครอบครัวอย่างชื่นบาน “รีบกิน กินหมดแล้วโต๊ะนั้นยังมีเนื้ออีก”
ทั้งครอบครัวใช้ตะเกียบยื้อแย่งกัน
เมิ่งชื่อมุ่นหัวคิ้ว
ภรรยาจางจู้รีบพูดโน้วน้าว “น้องสาว รีบกินเถอะ เด็กๆ หิวกันแล้ว”
เมิ่งชื่อมองเมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเจี๋ย ลอบถอนหายใจ พูดขึ้น “กินเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนสะอิดสะเอือนกับท่าทางการกินของครอบครัวนั้น แทบจะกินไม่ลงแต่แรกแล้ว แต่กลัวผู้ใหญ่จะเป็นกังวล ถึงกินพอเป็นพิธีสองสามคำ
แม่จางจู้โมโหอย่างที่สุด ฝืนคีบอาหารไม่กี่คำแล้วพูด “พวกเจ้ากินเถอะ ข้าอิ่มแล้ว” พูดจบ กลับเข้าห้องด้วยสีหน้าหมองคล้ำ
เมิ่งชื่อรีบลุกตามเข้าไป
ภรรยาจางจู้และภรรยาจางเกินหันหน้ามองกัน ก็ลุกขึ้นตามไปด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเมิ่งเจี๋ยที่ยังกินไม่อิ่ม จึงไม่เคลื่อนไหว
เมิ่งเจี๋ยกินอาหารอีกพอประมาณ ถึงวางตะเกียบ พูดอย่างน่าเอ็นดู “ท่านพี่ ข้ากินอิ่มแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พาเขาและเมิ่งอี้เซวียนกลับเข้าห้อง
อาสะใภ้รองของจางจู้เห็นพวกเขาไปหมดแล้ว เบะปากใส่ ลุกขึ้นยืน ยกเนื้อรมควันจานใหญ่เต็มจานวางตรงหน้าตัวเองแล้วพูดว่า “พวกเขาไม่กินก็ดี พวกเรากิน”
แม่จางจู้กลับเข้ามาในห้อง นั่งบนเตียงอย่างหงุดหงิด เมิ่งชื่อกลัวนางจะเสียสุขภาพ รีบพูดปราม “ท่านแม่ อย่าโมโหเลย โมโหกับคนพวกนี้ไม่คุ้มค่า”
“ปีใหม่แท้ๆ พวกเจ้าอุตส่าห์กลับมาทั้งครอบครัว เดิมคิดจะให้พวกเจ้าได้กินอย่างอิ่มหนำสักมื้อ ไม่คิดว่าจะต้องมาพังเพราะคนหน้าด้านพวกนั้น ข้าจะไม่โมโหได้อย่างไร” หญิงชราจางพูดอย่างเดือดดาล
เมิ่งชื่อลูบหน้าอกนาง พูดขึ้น “ท่านแม่ ไม่เป็นไร ข้าหาใช่คนนอกไม่ ไว้ครั้งหน้ากลับมา ค่อยให้พี่สะใภ้ใหญ่ พี่สะใภ้รองทำของอร่อยให้ข้าก็ได้”
แม่จางจู้ยังคงโมโหไม่เลิก “พูดง่ายๆ เจ้าจะมีเวลาว่างกลับมาบ้านแม่บ่อยๆ ได้อย่างไร ครั้งหน้าพวกเจ้าจะมากันทั้งครอบครัวยังไม่รู้จะเป็นเมื่อใด”
เมิ่งชื่อมองภรรยาจางจู้อย่างขอความช่วยเหลือ
ภรรยาจางจู้รีบเอ่ยปาก “ท่านแม่ ท่านอย่าโมโหเด็ดขาด หากเสียสุขภาพไป น้องสาวจะต้องเป็นกังวลมาก”
ภรรยาจางเกินก็พูดขึ้น “ใช่ ท่านแม่ อย่าโมโหเลย เด็กๆ อยู่กันหมด ดูสิพวกเขาต่างก็เป็นห่วงท่าน”
แม่จางจู้มองเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน คิดได้ว่าเด็กทั้งสองต่างก็ไม่ได้กินข้าว ทอดถอนใจ พูดขึ้น “พวกเจ้าพูดถูก โมโหเพื่อคนเช่นนั้นไม่คุ้มค่า ข้าไม่โมโหแล้ว”
เมิ่งชื่อแย้มยิ้มพูด “ท่านแม่ เช่นนี้ถูกต้องแล้ว สุขภาพของเราสำคัญที่สุด”
แม่จางจู้เปลี่ยนกิริยาท่าทาง หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเจี๋ย “พวกเจ้าเข้ามาหายาย ยายจะให้เงินแต๊ะเอีย พวกเจ้าจะได้มีความสุข”
ทั้งสามเดินมาตรงหน้าหญิงชราจาง
หญิงชราจางหยิบอั่งเปาหนาจำนวนหนึ่งออกมาให้เด็กทั้งสามคน
ทั้งสามพูดโดยพร้อมเพรียง “ขอบคุณท่านยาย”
อาสะใภ้รองของจางจู้กินข้าวเสร็จเดินเข้ามา เห็นซองอั่งเปาในมือคนทั้งสามเข้าพอดี รีบพูดขึ้น “ต้าเป่า เสียวเป่า พวกเจ้ากินอิ่มแล้วรีบเข้ามา ท่านยายให้เงินแต๊ะเอียแล้ว”
เด็กทั้งสองได้ยินรีบวางตะเกียบในมือลง วิ่งมาตรงหน้าหญิงชราจาง ยื่นมือน้อยๆ พูดว่า “ท่านยาย เงินแต๊ะเอียของพวกเราล่ะ”
แม่จางจู้หน้าง้ำ หยิบอั่งเปาที่เมื่อครู่เตรียมไว้แล้วออกมาให้คนละซอง
เด็กทั้งสองไม่ได้กล่าวขอบคุณ รีบวิ่งออกไปจากห้อง ร้องบอกชิงเอ๋อร์ “ท่านแม่ ท่านยายให้เงินแต๊ะเอียแล้ว”
ชิงเอ๋อร์รับอั่งเปามาอย่างยินดี เปิดออกดู ด้านในมีเงินเพียงสองอีแปะ บ่นกระปอดกระแปดเสียงดังลั่น “ขี้งกจริงๆ ให้มาแค่สองอีแปะ”
อาสะใภ้รองของจางจู้ได้ยินเสียงบ่นของนาง แล้วมองดูอั่งเปาที่ยังไม่ทันเก็บขึ้นของเมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ พูดอย่างไม่พอใจ “พี่สะใภ้ ทำเกินไปหน่อยแล้ว อั่งเปาของพวกเขาหนานูน เหตุใดถึงให้เสียวเป่าและต้าเป่าของพวกเราเพียงสองอีแปะ”
แม่จางจู้ทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ตะคอกเสียงสั่น “หากพวกเจ้ารังเกียจว่าน้อย ก็คืนข้ามา เงินสองอีแปะนี้ข้าก็ไม่ได้อยากจะให้”
อาสะใภ้รองของจางจู้เบะปาก พูดอย่างไม่พอใจ “ตอนนี้บ้านพวกท่านมีเงินแล้ว ดูแคลนพวกเราแล้วใช่หรือไม่ ชิงเอ๋อร์อุตส่าห์เดินทางมาสวัสดีปีใหม่พวกท่าน เห็นแก่หน้าชิงเอ๋อร์ท่านไม่ควรให้ลูกนางแค่สองอีแปะ”
ภรรยาจางจู้ถาม “สองอีแปะยังรังเกียจว่าน้อย ไม่ทราบว่าอาสะใภ้รองเตรียมเงินแต๊ะเอียมาให้ลูกๆ ของน้องสาวพวกเราเท่าใด”
อาสะใภ้รองของจางจู้แผดเสียง “พวกเราแทบไม่มีจะกินอยู่แล้ว จะมีเงินเหลือมาให้พวกเขาเป็นเงินแต๊ะเอียได้อย่างไร”
ภรรยาจางจู้กำลังจะตอบโต้กลับ เสียงจางจู้ก็ดังขึ้นจากด้านนอก “แม่ อารองและสามีชิงเอ๋อร์จะกลับแล้ว เจ้ารีบออกมาส่ง”
ภรรยาจางจู้ร้องอือรับคำ เดินออกมาส่งทุกคน
อาสะใภ้รองของจางจู้และชิงเอ๋อร์พาเด็กๆ เดินตามออกมา
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็เดินตามออกมา
เฉ่าเอ๋อร์บุตรสาวคนโตของชิงเอ๋อร์เห็นเมิ่งเสียนพลันเขินหน้าแดง ก้มหน้าลง คอยลอบมองประเมินเขา
คนทั้งหมดไม่มีใครสังเกตเห็น หลังจากส่งครอบครัวอาสะใภ้รองกลับไปแล้ว คนทั้งหมดก็ถอนใจโล่งอกพร้อมกัน
ภรรยาจางจู้บ่นค่อนขอดจางจู้ “เจ้าให้ครอบครัวอาสะใภ้รองอยู่กินข้าวด้วย ตอนนี้ดีแล้ว ท่านแม่และน้องสาวยังมีเด็กๆ ต่างไม่ได้กินข้าว”
จางจู้ก็โมโห แต่ก็อับจนปัญญา ใครบอกให้พวกเขาเป็นอารอง อาสะใภ้ตัวเองล่ะ ทำได้เพียงพูดกับภรรยาตัวเองว่า “ไม่เช่นนั้นเจ้าไปทำให้พวกเขาใหม่”
ภรรยาจางจู้พยักหน้า “ข้าก็คิดเช่นนี้ อีกเดี๋ยวข้ากับน้องสะใภ้จะทำบะหมี่ให้พวกเขากิน”
จางจู้ตอบ “ดี ข้าไปช่วยพวกเจ้าจุดไฟ จะได้เร็วขึ้น”
ภรรยาจางจู้ร้องเรียกภรรยาจางเกิน บอกว่าอยากนวดแป้งทำบะหมี่ให้น้องสาวและเด็กๆ กิน ภรรยาจางเกินย่อมรับคำยินดี เดินตามนางไปยังเรือนครัว
แม่จางจู้ยังคงโมโห ครั้งนี้เมิ่งชื่อพูดปลอบประโลมอย่างไรก็ไม่ได้ผล ในตอนที่กำลังร้อนรุ่มใจนั้น อาสะใภ้รองของจางจู้ก็กลับมาอย่างเริงร่า พอพ้นประตูเข้ามาก็พูดกับจางชื่อว่า “พี่สะใภ้ มีเรื่องดี เฉ่าเอ๋อร์ของพวกเราพอใจหลานชายคนโตของพวกเจ้าแล้ว”