ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 127.3
เมิ่งเสียนจัดเก็บรถม้าเสร็จนานแล้ว เห็นภรรยาเมิ่งต้าจินรบเร้า จึงนำของหมั้นทั้งหมดขึ้นไปวางบนรถม้าพร้อมเมิ่งเหริน รอให้ภรรยาเมิ่งต้าจิน เมิ่งชื่อ ภรรยาเมิ่งซานถง สะใภ้ซุนและเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นรถม้าครบทุกคนแล้ว ถึงขึ้นไปนั่งข้างหน้าพร้อมเมิ่งเหริน บังคับรถม้ามุ่งหน้าไปบ้านฝ่ายแม่ของสะใภ้ซุน
พ่อแม่อิงจื่อตั้งแต่ที่ได้ยินน้องสาวตัวเองมาบอกตอนที่กลับมาสวัสดีปีใหม่ ว่าบ้านเมิ่งพึงพอใจบุตรสาวของตนเอง กำหนดวันหมั้นหมายเป็นวันที่สิบ ต่างก็เอาแต่ดีใจจนนอนไม่หลับ อิงจื่อรูปร่างอรชร ใบหน้าสะสวยหมดจด เรื่องทำงานก็ไม่เป็นสองรองใคร หากไม่เพราะแม่ของอิงจื่อสุขภาพไม่ค่อยดี เป็นตัวถ่วงนาง แม่สื่อคงเหยียบธรณีประตูบ้านสึกไปนานแล้ว พ้นปีใหม่นี้ไปอิงจื่อก็จะมีอายุสิบหกปีแล้ว คนที่มาพูดทาบทามมีเพียงไม่กี่คน แต่คนที่มาพูดทาบทาม หากสภาพครอบครัวไม่แย่กว่าบ้านตนเอง ก็มีปัญหาด้านสุขภาพ พ่อแม่อิงจื่อไม่ยินดีให้บุตรสาวต้องไปแบกรับชะตากรรม จึงไม่เคยตกลง แต่ก็เพราะเหตุนี้ทำให้กลัดกลุ้มจนผมเกือบขาวไปทั้งศีรษะ ตอนที่ได้ยินน้องสาวบอกว่าจะหาสามีให้อิงจื่อ ทั้งสองไม่แม้แต่จะคิดก็ตบปากรับคำทันใด แต่พอได้ยินน้องสาวบอกว่าอีกฝ่ายมีฐานะดี ทั้งสองก็ให้รู้สึกพรั่นใจ เกรงฝ่ายชายจะรังเกียจที่แม่อิงจื่อสุขภาพไม่ดี เป็นอันต้องล้มพับงานแต่งงานนี้ไป ไม่คิดว่าน้องสาวจะกลับมาบอกว่า หลังจากอีกฝ่ายได้ลอบมอง ก็เอาแต่ชื่นชมอิงจื่อ บอกว่าไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องมีงานแต่งงาน ทั้งสองจึงได้แต่รอคอยให้วันนี้มาถึงโดยไว
ในที่สุดก็มาถึงวันที่สิบแล้ว พ่อแม่อิงจื่อปลุกเรียกลูกๆ ทั้งสี่คนแต่เช้าตรู่ หลังกินข้าวเช้าเสร็จ ก็เก็บกวาดทุกซอกทุกมุมทั้งภายในภายนอกบ้าน เช็ดโต๊ะในบ้านซ้ำไปซ้ำมา อยากสร้างภาพประทับใจให้ครอบครัวฝ่ายชาย ภายหน้าจะได้ปฏิบัติดีต่ออิงจื่อ เมื่อจัดเก็บทุกอย่างเรียบร้อย คนที่เจ้าบ้านเชิญให้มาต้อนรับแขก รวมถึงคนในหมู่บ้านที่ได้ยินข่าวเข้ามาเฝ้าสังเกตการณ์ต่างมาถึงหมดแล้ว คนทั้งหมดยืนอยู่ในลานบ้านรอสะใภ้ซุนพาครอบครัวฝ่ายชายมา
กระทั่งเวลาสาย คนทั้งหมดถึงได้เห็นรถม้าคันหนึ่งมุ่งหน้ามา เวลาคนในหมู่บ้านหมั้นหมาย ปกติทั่วไปจะให้คนในครอบครัวหาบของหมั้นส่งมาให้ ถ้ามีฐานะดีหน่อยจะจ้างรถเทียมเกวียนนำสิ่งของส่งมา ไม่เคยมีใครใช้รถม้า อีกอย่างในสายตาคนบ้านนอก มีแต่เศรษฐีถึงจะซื้อรถม้าได้ อิงจื่อก็ไม่ได้บอกว่าจะแต่งกับเศรษฐีมีเงิน จึงไม่มีใครคาดคิดว่าบ้านเมิ่งจะบังคับรถม้ามาขอหมั้น พอเห็นรถม้ามาถึง คนในลานบ้านต่างพากันคลางแคลงใจ ไม่เคยได้ยินว่าบ้านไหนมีญาติที่ร่ำรวยเช่นนี้ เหตุใดถึงมีรถม้าเข้ามาในหมู่บ้านตนเองได้
ตอนที่เมิ่งเสียนจอดรถม้าตรงหน้าประตูบ้านอิงจื่อ คนทั้งหมดยังคงไม่รู้สึกตัว รอจนสะใภ้ซุนยิ้มตาหยีลงมาจากรถม้าพร้อมสะใภ้ทั้งสามของบ้านเมิ่งและเมิ่งเชี่ยนโยว คนทั้งหมดพลันแตกฮือในบัดดล ฝ่ายชายถึงกับบังคับรถม้ามา อิงจื่อได้ครอบครัวที่ดีเช่นนี้มาจากที่ใด
พ่อแม่อิงจื่อเห็นรถม้าจอดหน้าประตูบ้าน เห็นน้องสาวตนลงมาจากรถม้า ก็ตะลึงงัน ยืนไม่พูดไม่จาอยู่ตรงนั้น
สะใภ้ซุนรอให้คนทั้งหมดลงจากรถม้า ถึงหันไปร้องเรียกพี่ชายและพี่สะใภ้ “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ ครอบครัวฝ่ายชายมาส่งของหมั้นแล้ว”
พ่อแม่อิงจื่อถึงตื่นจากภวังค์ กระวีกระวาดเข้าไปต้อนรับ พูดจาอย่างมีอัธยาศัย “พวกเจ้ามาแล้ว ระหว่างทางหนาวเหน็บ รีบเข้ามาดื่มน้ำอุ่นในบ้านเถอะ”
ภรรยาเมิ่งต้าจินรีบตอบกลับ “ไม่รีบ นำของหมั้นหมายบนรถม้าลงมาวางแผ่ก่อนเถอะ”
ในชนบทมีกฎอย่างไม่เป็นทางการข้อหนึ่ง เมื่อบ้านฝ่ายหญิงมีงานหมั้นหมาย จะต้องนำของหมั้นที่บ้านฝ่ายชายนำมาออกมาจัดวางให้คนทั้งหมู่บ้านดู หากของหมั้นหมายฝ่ายหญิงมีมาก แสดงว่าฝ่ายชายให้ความสำคัญกับการแต่งงานนี้ ภายหน้าย่อมปฏิบัติต่อฝ่ายหญิงเป็นอย่างดี
ภรรยาเมิ่งต้าจินพูดจบ คนทั้งหมดหันมองไปที่นาง
สะใภ้ซุนรีบร้อนพูด “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ นางก็คือแม่สามีในอนาคตของอิงจื่อ” ทั้งชี้ไปที่เมิ่งชื่อและภรรยาเมิ่งซานถงพูดว่า “นี่คืออาสะใภ้รองและอาสะใภ้สามของเมิ่งเหริน”
พ่อแม่อิงจื่อเห็นสะใภ้ทั้งสามคนของบ้านเมิ่งแต่งกายดี เกิดความปิติยินดี
สะใภ้ซุนยังชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “นี่คือลูกพี่ลูกน้องของเมิ่งเหริน และเป็นนายหญิงของข้า เคยพบกับอิงจื่อมาแล้ว”
เดิมพ่อแม่อิงจื่อยังแคลงใจ เหตุใดถึงมีเด็กตามมาร่วมงานหมั้นด้วย พอได้ยินก็เข้าใจแจ่มแจ้ง
สุดท้ายสะใภ้ซุนถึงชี้เมิ่งเหรินพูดว่า “เขาก็คือเมิ่งเหริน เป็นคู่ที่จะมาหมั้นหมายอิงจื่อ พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ดูก่อนว่าพอใจหรือไม่”
พอก้าวพ้นประตูลานบ้านมาก็ถูกกลุ่มคนจับจ้องไม่วางตา เมิ่งเหรินเขินอายหน้าแดงนานแล้ว พอได้ยินสะใภ้ซุนแนะนำตนเองให้พ่อแม่อิงจื่อ ก็รีบโน้มตัวทำความเคารพ
พ่อแม่อิงจื่อได้ยินสะใภ้ซุนเล่าให้ฟังก่อนแล้ว บอกว่าฝ่ายชายเป็นบัณฑิต ตอนนี้พอเห็นเขาไม่เพียงหน้าตาหล่อเหลา ยังกิริยามารยาทดี ดูดีกว่าเด็กชนบททั่วไปไม่รู้เท่าใด พลันปลาบปลื้มปิติ
พอคนทั้งหมดได้ยินว่าเขาเป็นคู่หมั้นหมายของอิงจื่อ แววตาทุกคู่ก็จับจ้องไปที่เขา มองจนเมิ่งเหรินหน้าแดงเรื่ออีกครั้ง
เมิ่งเสียนยืนข้างรถม้า เห็นท่าทีวางมือวางไม้ไม่ถูกของเขา แอบปิดปากขบขัน
สะใภ้ซุนแนะนำเสร็จ เหล่าผู้หญิงที่ให้มาช่วยต้อนรับแขกเดินไปข้างรถม้า ยกของหมั้นบนรถม้าลงมา วางแยกไว้บนโต๊ะที่ตระเตรียมไว้แล้วในลานบ้าน
ภรรยาเมิ่งต้าจินก้าวมาด้านหน้า เริ่มจากคลี่ผ้าเนื้อละเอียดสองพับก่อน คนที่มามุงดูในลานบ้านอารมณ์เปลี่ยนเล็กน้อย กระทั่งภรรยาเมิ่งต้าจินเปิดผ้าไหมอีกสองพับออก ลานบ้านพลันเต็มไปด้วยเสียงสูดลมเข้าปาก ผืนผ้าไหมระยิบระยับวับวาว ภายใต้การสาดแสงของดวงอาทิตย์ แค่เห็นก็รู้ว่าเป็นผ้าชั้นเลิศ
คนในหมู่บ้านแค่ผ้าเนื้อดีก็น้อยนักจะมีใส่ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผ้าไหมชั้นเลิศนี้ ต่างพากันอิจฉาริษยา มีบางคนแอบก้าวมาข้างหน้า ลองลูบๆ คลำ สัมผัสที่อ่อนนุ่มมันวาวนั้น พลันทำให้คนผู้นั้นรู้สึกว่าเกิดมาไม่เสียชาติเกิดแล้ว
ตอนที่ภรรยาเมิ่งต้าจินนำกล่องขนมลายหงส์มังกรแห่งสิริมงคลและเนื้อหมูยี่สิบจินออกมาวางแผ่ กลุ่มคนส่งเสียงสูดลมหายใจดังกว่าเดิม
สุดท้ายเมิ่งชื่อถึงนำกล่องเครื่องประดับที่พกติดตัวไว้ออกมา
ปกติแล้วเครื่องประดับปิดท้ายถึงจะเป็นตัวเอกของงาน คนหมู่บ้านกลั้นหายใจเฝ้ารอ
ภรรยาเมิ่งต้าจินเปิดกล่องใบแรก ต่างหูดอกกล้วยไม้หยกกระทบแสงอาทิตย์เปล่งประกายวิบวาม
กลุ่มคนทนต่อไปไม่ไหว มีคนหนึ่งร้องอุทาน “สวรรค์ ต่างหูคู่นี้ดูดีเกินไปแล้ว ข้ามีอายุปูนนี้ ไม่เคยเห็นต่างหูงดงามเช่นนี้มาก่อน”
คนข้างๆ เห็นพ้อง “ใช่ ดูเนื้อของต่างหูนั่นสิ เกรงว่าราคาจะแพงเอาการ”
กลุ่มคนส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ พ่อแม่อิงจื่อก็มองตาค้างไปแล้ว
ภรรยาเมิ่งต้าจินเปิดกล่องสุดท้ายออก คนทั้งหมดไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีแล้ว นอกจากร้องอุทานก็คือร้องอุทาน
หลังจากแสดงของหมั้นหมายเสร็จ คนทั้งหมดต่างอยู่ในภวังค์ เงียบสงัดไปทั้งลานบ้าน
สะใภ้ซุนแอบใช้มือแตะตัวพี่สะใภ้ แม่ของอิงจื่อถึงรู้สึกตัว ละล่ำละลักพูดขึ้น “บ้านฝ่ายชาย รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อน”
ภรรยาเมิ่งต้าจินก็ไม่เกรงใจ เดินนำเข้าไปในบ้าน เห็นทุกซอกทุกมุมเก็บกวาดสะอาดหมดจด พยักหน้าพึงพอใจ ยิ่งรู้สึกพอใจสะใภ้ที่ยังไม่แต่งเข้าบ้านของตนเอง
สะใภ้ซุนส่งสายตาให้พี่ใหญ่ของตัวเอง บอกเป็นนัยให้รีบเก็บของหมั้นขึ้น คนมากเช่นนี้ หากสูญหายไปจะไม่ดี
พี่ใหญ่ของสะใภ้ซุน เดินเข้าไปเก็บกล่องเครื่องประดับสองใบไว้ในอก จากนั้นถึงร้องสั่งให้คนนำสิ่งของทั้งหมดเข้าไปเก็บในห้องอิงจื่อ
ตั้งแต่สะใภ้ซุนพาคนทั้งหมดลงจากรถม้า อิงจื่อก็ได้แต่แอบมองอยู่หลังประตู ตอนที่เห็นภรรยาเมิ่งต้าจินและเมิ่งชื่อ พลันเคืองขุ่นในใจ กระทั่งท้ายที่สุดได้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยว เพลิงโทสะก็พลุ่งพล่าน นางถึงได้รู้วันนั้นพวกนางไม่ได้มานั่งเล่น แต่ตั้งใจมาดูตนเอง ถึงว่าพอไปถึงท่านน้าก็ให้ตนหวีผมผลัดหน้า แต่พอสะใภ้ซุนแนะนำเมิ่งเหริน ก็กลับเขินหน้าแดงอีก จากมุมที่นางอยู่สามารถเห็นใบหน้าทั้งหมดของเมิ่งเหรินได้พอดี ดูดีกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้มาก โดยเฉพาะกลิ่นอายแห่งบัณฑิตที่สะท้อนออกมาทั่วตัวนั้น ยิ่งพิศก็ยิ่งชมชอบ เพลิงโทสะในใจพลันมลายหายไปโดยไม่รู้ตัว
ตอนที่ภรรยาเมิ่งต้าจินวางแผ่ของหมั้นหมาย อิงจื่อมองเห็นไม่ชัด แต่เมื่อได้ยินเสียงสูดลมหายใจที่ดังเป็นระลอกและเสียงร้องอุทานจากกลุ่มคน ก็พอจะรู้ว่าของหมั้นที่ฝ่ายชายนำมาจักต้องไม่ธรรมดา เกิดความรู้สึกยินดีปรีดา
หลังจากแม่ของอิงจื่อพาทุกคนเข้ามาในบ้าน คนที่มาช่วยรับรองแขกรีบรินน้ำยกมาให้พวกเขาคนละถ้วย ภรรยาเมิ่งต้าจินและคนอื่นๆ กล่าวขอบคุณตามมารยาท ยกถ้วยขึ้นจิบคำเล็ก ถึงพูดขึ้น “อิงจื่อของพวกท่านล่ะ ให้นางออกมาให้เหรินเอ๋อร์ได้พบหน้าหน่อยเถอะ”
การที่ฝ่ายหญิงและฝ่ายชายพบหน้ากันในงานหมั้นหมาย ก็เป็นอีกหนึ่งประเพณีพื้นบ้านของที่นี่ ภรรยาเมิ่งต้าจินกล่าวได้อย่างถูกทำนองคลองธรรม
แม่ของอิงจื่อรับคำ เดินเข้ามาในห้องอิงจื่อ ให้นางแต่งตัวให้ดี บอกนางว่าอีกประเดี๋ยวเมิ่งเหรินจะเข้ามาในห้องนาง ให้ทั้งสองคนได้พบหน้ากัน
อิงจื่อใบหน้าแดงเรื่อ พยักหน้า หันไปส่องกระจกอีกรอบ
แม้ครอบครัวฝ่ายชายจะมีฐานะดี แต่หากบุตรสาวไม่ชมชอบ พวกเขาก็คงไม่อาจวางใจลงได้ ตอนนี้เห็นบุตรสาวดีใจเช่นนี้ รับรู้ว่านางก็พึงพอใจงานแต่งงานนี้ แม่อิงจื่อรู้สึกยินดีจนพูดไม่ออก
แม่อิงจื่อให้อิงจื่อรออยู่ในห้อง ตนเองเดินออกมาจากห้อง หันไปพยักหน้าให้สะใภ้ซุน สะใภ้ซุนเข้าใจทันที แย้มยิ้มพูด “อิงจื่อรออยู่ในห้องแล้ว เมิ่งเหรินเข้าไปเถอะ”
เมิ่งเหรินมองไปที่ภรรยาเมิ่งต้าจิน เห็นนางพยักหน้า จึงเดินหน้าแดงตามสะใภ้ซุนเข้าไปในห้องอิงจื่อ
สะใภ้ซุนพาเมิ่งเหรินเข้ามาในห้องอิงจื่อ หลังจากแนะนำทั้งสองคนพอเป็นพิธี กำชับให้ทั้งสองคนพูดคุยกันให้ดีๆ จากนั้นหมุนตัวออกไปจากห้อง
คนที่มามุงดูในลานบ้านยังไม่ยอมแยกย้าย พอเห็นสะใภ้ซุนพาเมิ่งเหรินเข้าไปในห้องอิงจื่อ ต่างก็กรูกันมาใต้หน้าต่างด้านนอกห้องอิงจื่อ ย่อตัวลงแอบฟังคนทั้งสองพูดคุย
สะใภ้ซุนเป็นผู้หญิงของหมู่บ้านนี้ ย่อมจำคนเหล่านี้ได้ พอเห็นพวกเขาย่อตัวลงใต้หน้าต่างอย่างอดใจรอไม่ไหว ก็หัวเราะดุว่า “แต่ละคนอายุตั้งเท่าไหร่แล้ว ยังทำเรื่องเช่นนี้”
คนทั้งหมดหัวเราะแหะๆ
อิงจื่อและเมิ่งเหรินยืนประจันหน้ากันไม่มีใครปริปาก ได้ยินเสียงพูดคุยด้านนอกยิ่งทำให้ไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใด ต่างหน้าแดงก้มหน้างุด
ครู่หนึ่ง อิงจื่อก็หัวเราะ “พรืด” ออกมา เมิ่งเหรินเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ เห็นอิงจื่อกำลังหัวเราะดวงตาโค้งโก่ง เกิดความรู้สึกลุ่มหลงฉับพลัน มองนางอย่างเหม่อลอย
อิงจื่อเห็นเมิ่งเหรินมองนางเช่นนั้น หน้ายิ่งแดงเป็นลูกตำลึง ผลุนผลันเก็บคืนรอยยิ้ม พูดกับเมิ่งเหรินว่า “ขอโทษด้วย ข้าไม่ได้หัวเราะเจ้า อย่าเก็บไปใส่ใจ”
เมิ่งเหรินตื่นจากภวังค์ รีบร้อนพูด “ข้าที่เสียมารยาท แม่นางอย่าได้ถือสา”
คนข้างนอกไม่ได้ยินว่าทั้งสองคุยอะไรกัน ต่างร้อนรนกระสับกระส่าย ยื้อแย่งกันเอาหูยื่นเข้ามาด้านในหน้าต่าง หวังจะฟังว่าทั้งสองคนคุยอะไรกัน กลับไม่ระวังชนเข้ากับลายฉลุบนหน้าต่าง ร้องโอดโอยเอามือกุมหัว นั่งยองอยู่ใต้หน้าต่าง คนข้างๆ ตีนางอย่างโมโห ตำหนิเสียงเบา “เจ้านี่นะ ร้องเสียงดังทำไม หากพวกเขาได้ยินเข้า พวกเรายิ่งไม่ได้รู้กันว่าพวกเขาพูดอะไร”
คนที่ถูกตีรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรม กำลังจะโต้แย้ง เมิ่งเหรินกลับเดินออกมาจากในห้องแล้ว
ทุกคนเห็นเช่นนั้น เขินหน้าแดงฉับพลัน ทยอยกันหันหลังให้อย่างรู้สึกผิด
เมิ่งเหรินเดินผ่านคนกลุ่มนั้นอย่างไม่สนใจ มาถึงห้องรับรองแขก
ภรรยาเมิ่งต้าจินเห็นเมิ่งเหรินเดินมา รู้ว่าทั้งสองคนคุยกันเสร็จแล้ว ก็ส่งยิ้มพูดกับอิงจื่อ “สายมากแล้ว พวกเราควรกลับได้แล้ว”
คนในบ้านลุกขึ้นยืน ออกไปส่งคนทั้งหมดถึงนอกประตูอย่างมีมารยาท
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งมองไปที่ห้องอิงจื่ออย่างไม่ตั้งใจแวบหนึ่ง เห็นอิงจื่อกำลังลอบยืนมองออกมาด้านหลังประตู ยิ้มอย่างรู้ใจ เดินตามคนอื่นๆ ขึ้นรถม้า
เมิ่งเสียนรอให้ทุกคนขึ้นรถม้าเสร็จ จึงบังคับรถม้าจากไป
พ่อแม่อิงจื่อมองส่งรถม้าจากไปด้วยสายตาจนกระทั่งมองไม่เห็น ถึงกลับเข้าบ้านอย่างมีความสุข