ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 128.1
คนทั้งหมดกลับเข้ามาในบ้าน พูดว่างานหมั้นเป็นไปอย่างราบรื่น คนในครอบครัวต่างปิติยินดี
หลังเสร็จงานหมั้นของเมิ่งเหริน ในที่สุดก็ไม่มีเรื่องอื่นให้ต้องว้าวุ่นใจแล้ว ช่วงเวลาต่อมาอีกหลายวัน ภายในบ้านจึงมีแต่เสียงหัวเราะครื้นเครง
ชั่วพริบตาเดียวก็มาถึงวันที่สิบห้าเดือนอ้าย วันที่นัดไปชมเทศกาลโคมไฟกับจูหลานในอำเภอ
หนึ่งวันก่อนหน้า เมิ่งเจี๋ยก็ตื่นเต้นดีใจแทบทนไม่ไหวแล้ว เอาแต่กระโดดโลดเต้น รอคอยให้วันที่สิบห้าเดือนอ้ายมาถึงโดยไว ทั้งขอร้องเมิ่งเชี่ยนโยวให้รับเมิ่งชิงไปชมโคมไฟพร้อมกับพวกเขาในอำเภอด้วย
เดิมเมิ่งเชี่ยนโยวก็คิดจะพาเมิ่งชิงไปด้วยกันอยู่แล้ว ได้ยินเมิ่งเจี๋ยเอ่ยปาก จึงให้เขาและเมิ่งอี้เซวียนไปตามตัวเมิ่งชิงกลับมา
หลังจากเมิ่งชิงกลับมา พอได้ยินว่าจะไปชมโคมไฟในอำเภอ ก็ดีอกดีใจ กระโดดโลดเต้นพร้อมเมิ่งเจี๋ยไม่หยุด กระทั่งดึกมากแล้วก็ไม่หลับไม่นอน เมิ่งชื่อขู่พวกเขาทั้งสอง หากยังไม่นอนหลับ พรุ่งนี้จะไม่พาพวกเขาสองคนไปด้วย เด็กน้อยทั้งสองกลัวเมิ่งชื่อจะไม่พาพวกเขาไปจริงๆ รีบหลับตาปี๋ ทั้งครอบครัวถึงเข้าสู่ห้วงแห่งฝันได้อย่างสงบสุข
ตอนเช้าเด็กน้อยทั้งสองตื่นแต่เช้าตรู่แล้ว ใส่เสื้อผ้าเรียบร้อย ร้องโวยวายให้รีบไปอำเภอ
หลังจากทั้งครอบครัวกินอาหารเช้า เมิ่งชื่อเก็บกวาดเสร็จ ทั้งครอบครัวก็เปลี่ยนเสื้อผ้า พกเงินติดตัว ขึ้นนั่งบนรถม้าที่เมิ่งเอ้ออิ๋นเป็นคนบังคับเดินทางมุ่งหน้าเข้าอำเภอ
เด็กน้อยทั้งสองคนพูดกระจุกกระจิกไปตลอดทาง แถมคอยเปิดม่านบังรถมองออกไปด้านนอกไม่หยุด เมิ่งชื่อ เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนแม้จะไม่แสดงอาการตื่นเต้นมากเท่าพวกเขา แต่ในใจก็ยินดีปรีดา โดยเฉพาะเมิ่งชื่อ จนอายุปูนนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางไกลเช่นนี้ แอบลอบมองตามตอนที่เด็กตัวน้อยทั้งสองเลิกม่านบังรถขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งอมยิ้มกับภาพที่เห็นทั้งหมด
หมู่บ้านหวงอยู่ไม่ไกลจากตัวอำเภอ บวกกับที่เมิ่งเอ้ออิ๋นใจร้อนรุ่ม บังคับรถม้าเร็วกว่าปกติ ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วยามก็มาถึงอำเภอชิงเหอ
จูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงรออยู่หน้าประตูเมืองแล้ว พอเห็นรถม้ามุ่งหน้าเข้ามา ก็รีบเดินเข้าหา
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นทั้งสองคนเดินเข้ามา รีบหยุดรถม้าทันใด
ทั้งสองคนทักทายเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างมีมารยาท
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงพวกเขาเปิดม่านบังรถออก
จูหลานพูดขึ้นอย่างดีใจ “แม่นางเมิ่ง เจ้ามาแล้ว พวกเราจองโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดให้พวกเจ้าแล้ว พวกเจ้าตามพวกเราไป พักผ่อนเสียก่อน ตอนบ่ายพวกเราจองโต๊ะในภัตตาคารไว้ กินข้าวด้วยกันสักมื้อเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอบใจทั้งสองท่าน”
เซี่ยเจียงเฟิงตอบกลับ “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว เดิมพวกเราคิดจะให้แม่นางและครอบครัวไปพักที่บ้านของพวกเรา แม่นางไม่ยินยอม พวกเราจึงต้องจองโรงเตี๊ยมให้ และเพราะเหตุนี้ ทำให้พวกเราถูกเปาอีฝานและอันอี่หยวนตำหนิว่าไปยกหนึ่ง บอกว่าพวกเราจัดการเรื่องไม่เป็น”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ “ข้าว่าพวกเขาไม่ได้จะว่าพวกเจ้าจัดการเรื่องไม่เป็น แต่อยากให้ข้าเข้าไปอาศัยในบ้านพวกเจ้า จะได้ทำของอร่อยให้พวกเจ้ากิน”
จูหลานละเซี่ยเจียงเฟิงหัวเราะร่วน
ทั้งสองพาเมิ่งเอ้ออิ๋นและครอบครัวมายังโรงเตี๊ยมที่จองไว้แล้ว เสี่ยวเอ้อในร้านเห็นพวกเขาพาคนมาด้วยตัวเอง รู้ทันทีว่าเป็นแขกสำคัญ รีบวิ่งออกมา เปิดม่านบังรถออก เชิญคนทั้งหมดลงจากรถม้าอย่างนอบน้อม
เมิ่งชื่อเห็นเสี่ยวเอ้อเข้ามาช่วยเปิดม่านบังรถให้ด้วยตัวเอง รู้สึกตื่นตระหนก ตอนที่ก้าวขาลงมาขาอ่อนแรง เกือบจะล้มไปกองกับพื้น เมิ่งเชี่ยนโยวตาไวมือไวประคองไว้ทัน พูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านแม่ ขาเป็นเหน็บหรือ”
เมิ่งชื่อรีบร้อนพยักหน้า “ใช่ เดินทางไกล แม่นั่งจนเหน็บกินขาแล้ว”
จูหลานยิ้มพูด “อากาศหนาวเหน็บ คนมากเช่นนี้เบียดเสียดอยู่ในรถม้าคันเดียว ขาไม่ได้ยืดเหยียด เวลาผ่านไปนานย่อมเป็นเหน็บได้ ท่านป้ายืนให้มั่นคงก่อน ประเดี๋ยวก็หาย”
เมิ่งชื่อยืนตัวตรง หัวเราะแก้เก้อ
เมิ่งเจี๋ยลงจากรถม้า ชะเง้อถนนที่ไม่เห็นปลายทาง ร้องอุทาน “ว้าว! อำเภอใหญ่ยิ่งนัก!”
คนทั้งหมดขบขันกับปฏิกิริยาของเขา
เมิ่งเจี๋ยเขินหน้าแดง เข้าไปหลบหลังเมิ่งชื่ออย่างเก้อเขิน
จูหลานหันไปพูดกับเสี่ยวเอ้อ “เจ้าพาแขกไปยังห้องพักทั้งสามห้องที่พวกเราจองเอาไว้แล้ว”
เสี่ยวเอ้อรับคำอย่างนบนอบ สั่งให้เสี่ยวเอ้ออีกคนจูงรถม้าไปลานด้านหลัง และดูแลให้ดี ส่วนตัวเองนำคนทั้งหมดขึ้นมาชั้นสอง เปิดประตูห้องหนึ่งออก พูดว่า “สามห้องติดกันนี้ล้วนเป็นห้องที่คุณชายจูจองเอาไว้ ทุกท่านเชิญ”
คนทั้งหมดเข้ามาในห้อง
เมิ่งชื่อดูการตกแต่งของห้องนี้ เดาะลิ้นโพล่งปากถามออกไป “ห้องดีเช่นนี้ พักหนึ่งคืนราคาเท่าใด”
จูหลานตอบกลับ “ท่านป้าไม่ต้องเป็นห่วง พวกเราจ่ายเงินค่าห้องแล้ว ท่านพักให้สบายใจเถิด”
เมิ่งชื่อพูดจบก็เสียใจ ได้ยินจูหลานพูดเช่นนี้ ใบหน้าแดงเรื่อฉับพลัน
เซี่ยเจียงเฟิงเห็นอาการเก้กังของเมิ่งชื่อ รีบพูดขึ้น “ทุกท่านเดินทางมาไกล จะต้องเหนื่อยแย่แล้ว พวกท่านพักผ่อนก่อนเถอะ ข้ากับจูหลานจะไปรวมตัวกับเปาอีฝานและอันอี่หยวน ตอนบ่ายพวกเราค่อยไปกินอาหารที่ภัตตาคารด้วยกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ทั้งสองบอกลาเสร็จก็เดินลงไป
รอจนทั้งสองคนไปไกลแล้ว เมิ่งชื่อถึงถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ แม่ทำให้ลูกขายหน้าใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ท่านแม่ จะเป็นไปได้อย่างไร คุณชายจูและคุณชายเซี่ยไม่ใช่คนอื่นไกล ไม่เห็นเป็นเรื่องขบขันหรอก”
เมิ่งชื่อพูดอย่างเสียใจ “ถ้ารู้ว่าจะทำขายหน้า แม่จะไม่มาเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านแม่ เดิมพวกเราก็เป็นคนบ้านนอก ตกตะลึงไปบ้างก็สมควรแล้ว ท่านอย่าเก็บมาใส่ใจเลย”
เมิ่งชื่อยังรู้สึกเสียใจ นั่งลงบนเตียงอย่างเศร้าสร้อย
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเกลี้ยกล่อม “แม่เอ๋ย วันนี้พวกเราพาลูกๆ มาชมโคมไฟ เจ้าเป็นแบบนี้ ลูกๆ จะยังมีอารมณ์ชมโคมไฟหรือ”
เมิ่งชื่อเงยหน้า มองดูลูกๆ ที่มองนางด้วยความเป็นห่วง พูดขึ้น “แม่ไม่เป็นอะไร พวกเจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” พูดจบ ฝืนยกยิ้มแข็งให้ทุกคน
เมิ่งเจี๋ยยังเด็ก ได้ยินเมิ่งชื่อพูดเช่นนี้ นึกว่าเมิ่งชื่อไม่เป็นอะไรแล้ว พูดกับเมิ่งเสียนอย่างยินดี “พี่ใหญ่ พวกเราไปดูห้องข้างๆ เถอะ”
เมิ่งเสียนพยักหน้า พาคนทั้งหมดมาห้องข้างๆ เปิดประตูห้องทั้งสองตามลำดับ
เมิ่งเจี๋ยร้องอุทาน “ว้าว! ห้องเหมือนกับเปี๊ยบเลย”
จากนั้นก็ถามขึ้นอย่างสงสัย “ท่านพี่ ห้องเหมือนกันเช่นนี้ หากตอนกลางคืนข้าเข้าห้องผิดจะทำอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวบีบจมูกกระจิริดของเขา ยิ้มพลางพูด “หากเข้าห้องผิด ก็ต้องนอนกับพี่ชายพี่สาว”
เมิ่งเจี๋ยโต้แย้ง “ไม่เอาหรอก ข้าจะนอนกับท่านพ่อท่านแม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “เช่นนั้นเจ้าต้องจำให้ดี ว่าห้องไหนเป็นห้องท่านพ่อท่านแม่ หากเจ้าเข้าห้องผิด พวกเราจับเจ้าได้จะไม่มีปล่อยเจ้าไป” พูดจบ ยื่นมือออกไปทำท่าจะคว้าเขาไว้
เมิ่งเจี๋ยหวีดร้องหลบหนี
เมิ่งเสียนเปิดหน้าต่างร้องอุทาน “น้องสาว เจ้ารีบมาดู จุดที่เรายืนสามารถมองเห็นทิวทัศน์ทั้งหมดของถนนเส้นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาข้างเตียง มองลอดออกไป เป็นอย่างที่เมิ่งเสียนกล่าว เห็นทิวทัศน์ทั้งหมดบนท้องถนน ไม่ว่าจะแผงขายของกินเล่น ขายของกระจุกกระจิกหรือคนเดินถนน ตรงหน้าต่างที่ยืนอยู่นี้สามารถมองเห็นได้อย่างแจ่มแจ้ง
เมิ่งฉีพูดขึ้น “เช่นนั้นคืนนี้พวกเราก็ไม่ต้องออกไปแล้ว อยู่ในห้องก็มองเห็นโคมไฟทั้งถนนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “มาชมโคมไฟเพื่อความคึกครื้น พวกเราสามารถหาของกินเล่นไปพลางทายปริศนาโคมไฟไปด้วยได้ หากพวกเราเอาแต่ดูอยู่ในห้องก็จะไม่ได้ลิ้มรสความสนุกนั้น”
เมิ่งฉีถามอย่างตื่นเต้น “ยังได้ทายปริศนาโคมไฟด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอน ได้ยินว่าถ้าทายปริศนาโคมไฟถูกจะมีรางวัลให้ด้วย”
“รางวัลอะไร” เมิ่งฉีถาม
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ รอให้ถึงตอนกลางคืนพวกเราลงไปดูก็รู้เอง”
เมิ่งฉีตอบอย่างอยากลองทำดู “เช่นนั้นคืนนี้พวกเรากินข้าวเร็วหน่อยแล้วรีบออกไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ได้ คืนนี้พวกเรารีบออกไป แต่ข้าบอกกับพวกท่านไว้ก่อน ตอนกลางคืนคนจะเยอะมาก ถึงตอนนั้นพวกเราทั้งหมดจะต้องตามติดท่านพ่อท่านแม่ อย่าให้ผลัดหลงในกลุ่มคนเด็ดขาด”
คนทั้งหมดรับคำ “รู้แล้ว”
พอเด็กๆ ออกไป เมิ่งเอ้ออิ๋นก็พูดปลอบใจเมิ่งชื่อต่อ เมิ่งชื่อถึงค่อยรู้สึกดีขึ้น หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “อีกประเดี๋ยวคุณชายจูและคุณชายเซี่ยจะเชิญพวกเราทั้งครอบครัวไปกินอาหารที่ภัตตาคาร ข้าว่าพวกเราอย่างไปเลย ข้ากลัวจะทำเรื่องขายหน้าอันใดอีก”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด “แต่นั่นเป็นน้ำใจจากคุณชายจูและคุณชายเซี่ย หากพวกเราบอกปัดไม่ไป จะไม่ดีหรือไม่”
เมิ่งชื่อขบคิด ก็รู้สึกว่าไม่เหมาะสม จึงยอมถอยให้ก้าวหนึ่งพูดว่า “เอาอย่างนี้ ให้โยวเอ๋อร์และเสียนเอ๋อร์ไป ปกติพวกเขาคบค้าสมาคมกัน มีสิ่งใดก็พูดได้ตามตรง พวกเราอย่าไปเลย”
เรื่องกินข้าวกับจูหลานและเซี่ยเจียงเฟิง เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย ได้ยินเมิ่งชื่อพูดเช่นนี้ เห็นด้วยในบัดดล “ได้ อีกประเดี๋ยวให้เด็กๆ เข้ามา พวกเราบอกพวกเขาว่า ให้โยวเอ๋อร์และเสียนเอ๋อร์ไปกันสองคนก็พอ พวกเราที่เหลือกินกันที่โรงเตี๊ยมนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวและคนอื่นๆ เที่ยวชมอีกสองห้องเสร็จ ปิดประตูห้องแล้วกลับมาที่ห้อง ได้ยินสองสามีภรรยาเมิ่งพูดเช่นนี้ รู้ว่าพวกเขากลัวเจอคนพวกนั้นจะอึดอัด จึงพยักหน้าตกลง “ก็ดี ข้าจะไปกับพี่ใหญ่ พวกท่านจะได้ไม่ต้องอึดอัดจนกินข้าวไม่ลง”
เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนย่อมไม่มีความคิดโต้แย้ง เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กตัวน้อยทั้งสอง ขอเพียงมีของให้กินก็พอ ยิ่งไม่มีความเห็นต่าง
หลังจากที่จูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงแจ้งข่าวให้เปาอีฝานและอันอี่หยวน ทั้งสี่คนปรึกษากันเล็กน้อย รู้สึกว่ามีเพียงพวกเขาสี่คนเชิญครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวดูจะไม่เหมาะสม จึงตกลงกันว่าจะเชิญผู้หญิงในครอบครัวออกมาด้วย แต่วันนี้เป็นวันขึ้นสิบห้าค่ำเดือนอ้ายวันเทศกาลชมโคมไฟ ในบ้านมีเครือญาติแห่แหนกันมาชมโคมไฟ พ่อแม่ของแต่ละคนต้องดูแลพวกเขาปลีกตัวออกมาไม่ได้ ภายใต้ความจนใจ จึงให้ภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของจูหลานและเปาอีฝานมาคอยต้อนรับ
ภรรยาที่ยังไม่ตบแต่งของจูหลานและเปาอีฝานล้วนเป็นคนในอำเภอ ทั้งสี่คนโตมาด้วยกันแต่เด็ก ย่อมรู้จักคุ้นเคยกัน ต่างพยักหน้ายินดี พอดีกับที่วันนี้ทั้งสองคนก็ได้เชิญพวกนางมาบ้านตนเอง เพื่อเตรียมไปชมโคมไฟคืนนี้ ทั้งสี่คนปรึกษาเสร็จ จูหลานและเปาอีฝานก็แยกย้ายกลับบ้านตัวเอง