ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 128.3
จูหลานพลันปรับเสียงพูดดังลั่นอีก “วันนี้เจ้าทำไม่ได้ พรุ่งนี้น่าจะทำได้นะ อย่างไรสองสามวันนี้ครอบครัวเจ้ายังว่างงานอยู่ ไม่เช่นนั้นก็พักในอำเภอนี้เพิ่มอีกสักวัน รอให้พวกเจ้าทำพระกระโดดกำแพงให้พวกเรากินก่อนค่อยกลับ”
ทุกคนมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรอคอย
เมิ่งเชี่ยนโยวใคร่ครวญ พูดขึ้น “ข้าขอกลับไปปรึกษาท่านพ่อท่านแม่ก่อน หากพวกเขาเห็นด้วย ข้าจะอยู่ต่ออีกวัน ทำพระกระโดดกำแพงให้พวกเจ้าก่อนค่อยกลับ”
พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวยอมรับปาก จูหลานก็ดีใจจนฉุดไม่อยู่ พูดว่า “ยังมีอะไรต้องปรึกษาอีก หากพวกเจ้ารู้สึกว่าโรงเตี๊ยมไม่สบาย ไปอยู่บ้านข้าก็ได้ เช่นนี้แล้วจะทำอาหารก็สะดวก”
เฉียวหมิ่นหยุดชะงักตะเกียบในมือ เงยหน้าขึ้น มองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างชิงชัง
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ยุ่งยากเกินไป พวกเราพักที่โรงเตี๊ยมดีแล้ว”
จูหลานรู้สึกผิดหวัง
เฉียวหมิ่นก้มหน้ากินข้าวอีกครั้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวก็หยิบตะเกียบขึ้นใหม่ ก้มหน้ากินข้าว กินไปไม่กี่คำ ก็ถามขึ้นส่งๆ “อาหารของภัตตาคารในอำเภอก็ไม่เลว เหตุใดพวกเจ้าต้องไปกินอาหารของภัตตาคารในตำบลชิงซีด้วย”
จูหลานแย่งตอบ “เริ่มแรกเปาอีฝานบอกว่ามีภัตตาคารแห่งหนึ่งในตำบลชิงซีทำอาหารได้ไม่เลว ให้พวกเราลองไปลิ้มรส อย่างไรก็ห่างจากที่นี่ไม่ไกล พวกเราก็เลยไป ชิมรสชาติแล้วพอใช้ได้ ภายหลังพอมีเวลาก็จะรวมตัวกันไป นานวันเข้าก็กลายเป็นความเคยชิน หากในหนึ่งเดือนไม่ได้ไป ก็จะรู้สึกเหมือนขาดอะไรบางอย่างไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างมีนัยแฝง “ที่แท้ก็เป็นคุณชายเปาที่เชิญพวกเจ้าไป”
เปาอีฝานหน้าเปลี่ยนสี ตวาดจูหลาน “ปากดีนัก หากเจ้าไม่พูด ก็ไม่มีใครว่าเจ้าเป็นใบ้”
จูหลานเบะปาก ก้มหน้ากินข้าว
ซุนฮุ่ยกลัวเมิ่งเชี่ยนโยวจะเกรงใจ คอยคีบอาหารให้นางกิน
เมิ่งเชี่ยนโยวได้แต่ยิ้มพลางกล่าวขอบคุณ
เปาอีฝานเห็นซุนฮุ่ยเอาแต่ดูแลเมิ่งเชี่ยนโยว ตัวเองไม่ค่อยได้กิน จึงคีบอาหารใส่ถ้วยนางอย่างห่วงใย
ซุนฮุ่ยเขินหน้าแดง ลอบมองคนทั้งหมดแวบหนึ่ง พบว่าไม่มีใครสังเกตพวกเขาถึงวางใจลง
เมิ่งเชี่ยนโยวแอบขำในใจ เด็กโง่เอ๋ย เปาอีฝานออกท่าออกท่าขนาดนั้น จะให้แกล้งทำเป็นมองไม่เห็นยังยาก คงมีแต่นางที่ไม่สังเกตเห็นข้อนี้
จูหลานเห็นเปาอีฝานคีบอาหารให้ซุนฮุ่ย ก็เลียบแบบคีบอาหารใส่ถ้วยของเฉียวหมิ่นบ้าง พูดอย่างห่วงใย “สีหน้าเจ้าแย่มากจริงๆ กินเยอะๆ หน่อย กินเสร็จแล้วให้คนงานบังคับรถม้าพาเจ้ากลับไปพักผ่อน”
เฉียวหมิ่นหยุดชะงักตะเกือบในมือ ครู่ใหญ่ถึงรับคำเสียงแผ่ว
คนทั้งหมดกินอิ่มแล้วเสวนาในห้องรับรองอีกครู่หนึ่ง นัดกันว่าหลังจากแยกไปกินอาหารค่ำเสร็จ ให้มารวมตัวกันที่โรงเตี๊ยม เพื่อชมโคมไฟพร้อมครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยว
ครอบครัวตนเองไม่คุ้นชินสถานที่ มีคนมาเดินชมไปด้วยย่อมเป็นเรื่องดี เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ได้บอกปัด
หลังจากทุกคนลงมาชั้นหนึ่ง จูหลานก็หันไปพูดกับเฉียวหมิ่น “ให้คนงานพาเจ้าไปส่งที่บ้านก่อน ข้าส่งแม่นางเมิ่งและพี่ชายเสร็จแล้วจะตามกลับไป”
เฉียวหมิ่นพูดขึ้น “รถม้าให้ข้าใช้ ท่านจะส่งแม่นางเมิ่งกลับไปอย่างไร ไม่อย่างนั้นพวกเราไปส่งพวกเขาก่อนค่อยกลับบ้านพร้อมกัน”
จูหลานพูดอย่างห่วงใย “ร่างกายเจ้าจะทนไหวหรือ วางใจเถอะ ข้าสนิทกับแม่นางเมิ่งเป็นอย่างมากแล้ว พวกเขาไม่โทษว่าเจ้าเสียมารยาทหรอก”
เฉียวหมิ่นตอบกลับ “ข้าไม่เป็นไร กินข้าวเสร็จรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว อย่างไรก็ใช้เวลาไม่มาก พวกเราไปส่งแม่นางเมิ่งก่อนค่อยกลับไปพักผ่อนที่บ้านเถอะ”
จูหลานพยักหน้า หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “ข้ากับหมิ่นเอ๋อร์จะพาพวกเจ้าไปส่งก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธ “คุณหนูเฉียวสุขภาพไม่สู้ดี พวกเจ้ารีบกลับบ้านเถอะ ข้าและพี่ใหญ่เข้าอำเภอมาครั้งแรก จะได้ใช้โอกาสนี้เดินเล่นให้ทั่ว”
คนทั้งหมดรู้สึกไม่เหมาะสม ต่างแย่งกันบอกให้รถม้าของบ้านตัวเองไปส่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิเสธเฉกเช่นเดียวกัน บอกว่าตัวเองอยากเดินเล่นในเมืองจริงๆ
คนทั้งหมดเห็นนางยืนหยัด จึงว่าตามนาง หลังจากบอกลานางแล้ว ก็ขึ้นรถม้าของบ้านตัวเองจากไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองส่งพวกเขาจนลับตา ถึงหันมายิ้มพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ พวกเราเดินไปด้วยกันเถอะ เดินเล่นดูบ้านเมืองที่นี่”
เมิ่งเสียนพยักหน้าเห็นดีด้วย สองพี่น้องเดินไปดูไป ไม่นานก็เดินมาถึงโรงเตี๊ยม
สองสามีภรรยาเมิ่งพาลูกๆ ลงมากินอาหารเที่ยงในโรงเตี๊ยม จากนั้นก็นั่งพูดคุยอยู่ในห้องหนึ่งด้วยกัน พอเห็นพวกเขากลับมา เมิ่งชื่อพูดขึ้น “พวกเจ้ากลับมาพอดี พวกเราแบ่งห้องหับแล้ว แม่กับพ่อเจ้าจะนอนกับเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ในห้องหนึ่ง โยวเอ๋อร์ให้นอนห้องตรงกลาง เสียนเอ๋อร์ฉีเอ๋อร์และอี้เซวียนให้นอนห้องริมสุด”
เมิ่งชิงคัดค้าน “ข้าไม่นอนกับท่านลุงรองท่านป้ารอง ข้าจะอยู่ห้องเดียวกับพวกพี่ๆ”
ตั้งแต่เมิ่งชิงมาอาศัยอยู่กับพวกเขา ก็อยู่กับเมิ่งเสียนและพี่ๆ มาตลอด วันนี้เมิ่งชื่อกลัวคนทั้งหมดนอนเตียงเดียวกัน จะหลับไม่สบาย ถึงให้เขามานอนกับตนเองด้วย ไม่คิดว่าเจ้าตัวน้อยจะไม่ยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ชิงเอ๋อร์ เจ้ามานอนห้องเดียวกับพี่ก็แล้วกัน”
เมิ่งชิงตอบกลับ “ไม่ได้ พี่สาวเป็นผู้หญิง ข้าโตมากแล้ว จะนอนห้องเดียวกับพี่สาวไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ แกล้งพูดแซวเขา “ก็เพราะพี่สาวเป็นผู้หญิง ถึงอยากให้เจ้ามานอนกับพี่สาวอย่างไร ตอนกลางคืนหากมีคนไม่ดี เจ้าจะได้ปกป้องพี่สาวได้”
เมิ่งชิงมุ่นหัวคิ้วขบคิด อึดใจหนึ่งถึงพูดอย่างลำบากด้วยมาดของผู้ใหญ่ตัวน้อย “ก็ได้ ให้ครั้งนี้เท่านั้น ไม่มียกเว้นอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวร่องอหาย
สองสามีภรรยาเมิ่งและเมิ่งเสียนกับน้องๆ ก็ขบขันหัวเราะครืน
เมิ่งชิงไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะสิ่งใด แต่ก็หัวเราะตามไปด้วย
หลังจากหัวเราะเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พาเมิ่งชิงกลับมาที่ห้องตรงกลาง เมิ่งเสียนและน้องๆ กลับเข้าไปพักผ่อนในห้องริมสุด
เหน็ดเหนื่อยกันมาครึ่งวันแล้ว ทั้งครอบครัวเหนื่อยล้าอ่อนแรง เอนตัวนอนไม่กี่อึดใจก็สลบไสลไป โดยเฉพาะเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กตัวน้อยทั้งสอง เมื่อวานเอาแต่ตื่นเต้นกระสับกระส่าย แทบไม่ได้นอนหลับ พอได้หลับตาเอนตัวก็นอนไปถึงยามค่ำ ตอนที่เมิ่งชื่อเรียกทั้งสองคนขึ้นมากินข้าวเย็น ทั้งสองยังสะลึมสะลือ นอนไม่อิ่ม ไม่ยอมลุกขึ้น
เมิ่งชื่อพูดกล่อม “เจี๋ยเอ๋อร์ ลูกตื่นมาดูเถิด โคมไฟด้านนอกงดงามเหลือเกิน อีกประเดี๋ยวพวกเรากินข้าวเสร็จ จะได้ไปชมโคมไฟกัน”
เมิ่งเจี๋ยผุดลุกขึ้นมาจากเตียงพลัน เดินไปข้างหน้าต่าง เห็นถนนด้านนอกแขวนประดับเต็มไปโคมไฟรูปแบบต่างๆ พูดอย่างตื่นเต้น “ท่านแม่ โคมไฟเหล่านี้งดงามนัก”
เมิ่งชื่อยิ้มพูด “ใช่แล้ว งดงามมาก เจี๋ยเอ๋อร์รีบใส่เสื้อผ้า อีกเดี๋ยวพวกเราจะไปชมโคมไฟกัน”
เมิ่งเจี๋ยใส่เสื้อผ้าอย่างเชื่อฟัง
ทั้งครอบครัวกินอาหารค่ำอย่างขอไปที จากนั้นลงมารอพวกจูหลานชั้นล่าง
เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวนและจูหลานรวมถึงเฉียวหมิ่นมาถึงตามเวลานัด เห็นครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยวลงมารอชั้นล่างแล้ว เซี่ยเจียงเฟิงส่งยิ้มพลางกล่าว “ต้องขอโทษแม่นางเมิ่งด้วย พวกเรามาช้าไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ไม่ช้า พวกเราใจร้อนเอง ลงมาก่อนเวลา”
จูหลานพูดอย่างร้อนรน “เช่นนั้นพวกเราก็ไปเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “ไม่รอคุณชายเปาหรือ”
อันอี่หยวนตอบกลับ “เกิดเรื่องบางอย่างกับครอบครัวเปาอีฝาน จะมาช้าหน่อย ให้พวกเราเดินเล่นไปก่อน เมื่อเขาจัดการเสร็จ จะมาหาพวกเราพร้อมคุณหนูซุน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เช่นนั้นพวกเราก็ไปเถอะ”
ทุกคนพยักหน้า
พวกจูหลานทั้งสี่คนเดินนำหน้า ครอบครัวเมิ่งชื่อเดินตามหลัง คนทั้งหมดเดินชมโคมไฟพร้อมกับคนอื่นๆ อย่างชื่นบาน
บนถนนมีโคมไฟมากมายหลากหลายแบบ ครอบครัวเมิ่งชื่อมองจนเคลิ้บเคลิ้ม หยุดฝีเท้าล้อมชมโคมไฟที่ชอบเป็นระยะ
จูหลานพูดขึ้น “แม่นางเมิ่ง หากพวกเจ้าชอบ ให้พวกเราซื้อให้พวกเจ้าสักสองสามอันเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่ต้อง พวกเราชื่นชมก็พอแล้ว ขอบคุณคุณชายจู”
คนทั้งหมดเดินมาหน้าแผงที่มีคนเยอะ เถ้าแก่ที่ขายโคมไฟกำลังเปล่งเสียงพูดกับกลุ่มคน “ในโคมไฟของข้าทุกอันจะมีปริศนาโคมไฟ หากคนไหนทายถูก โคมไฟนั้นข้าจะให้เปล่าไม่คิดเงิน หากทายไม่ถูก จะต้องจ่ายเงินซื้อโคมไฟมาให้ข้าสิบอีแปะ”
เมิ่งเสียนและน้องๆ หยุดชะงักฝีเท้า คิดอยากจะลอง
คนทั้งหมดจึงหยุดเดินล้อมวงดูพวกเขา
เริ่มที่เมิ่งเสียนหยิบโคมไฟแปดเหลี่ยมขึ้นมา เปิดปริศนาคำทายด้านในออก ไม่ถึงอึดใจพวกเขาก็ไขปริศนาได้ เถ้าแก่ขายโคมไฟมอบโคมไฟให้พวกเขา
เมิ่งเจี๋ยรับโคมไฟมาถือไว้ ดีอกดีใจยกใหญ่
เมิ่งชิงกระวนกระวายหันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ข้าก็อยากได้ ข้าอยากได้รูปปลา”
เมิ่งเสียนลูบหัวเขา บอกเขาใจเย็นๆ จากนั้นเอื้อมมือไปหยิบโคมไฟปริศนารูปปลามา ครั้งนี้คนทั้งหมดต้องไขปริศนาพักใหญ่ ถึงได้คำตอบ เถ้าแก่ขายโคมไฟมอบโคมไฟให้พวกเขาพลางพูดว่า “นายน้อยทั้งหลายล้วนฉลาดรอบรู้ ข้าเดินทางมาหลายที่ ยังไม่เคยเจอใครไขปริศนาได้คราเดียวสองครั้งติดกัน”
เมิ่งเสียน เมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนยิ้มอย่างเคอะเขิน
คนที่มาชมโคมไฟโดยรอบเห็นพวกเขาชนะได้โคมไฟมาถึงสองอัน ต่างทยอยเดินขึ้นหน้า หยิบโคมไฟปริศนาที่ตนเองชอบมา ขมวดคิ้วย่นยู่ขบคิด
เมิ่งชื่อถูกกลุ่มคนที่จะเดินมาหน้าแผงเบียดจนตัวโยน รีบหันไปพูด “โยวเอ๋อร์ พวกเราไปเดินเล่นที่อื่นเถอะ ที่นี่คนเยอะเกินไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ตอนที่กำลังจะเรียกคนอื่นๆ ไปที่อื่น เถ้าแก่ขายโคมไฟชี้ไปที่โคมไฟงดงามอันหนึ่งพูดขึ้น “นี่คือโคมไฟที่ดีที่สุดในปีนี้ของแผงข้า ข้าใช้เวลาครึ่งเดือนถึงทำสำเร็จ และทำเพียงอันเดียว เดิมคิดจะนำมาเรียกลูกค้า ไม่เข้าร่วมโคมไฟปริศนาคำทาย ข้าเห็นนายน้อยทั้งหลายแล้วถูกชะตา ไม่เช่นนั้นข้าจะตั้งปริศนาขึ้นมาหนึ่งข้อ หากพวกเจ้าตอบถูก โคมไฟนี้ข้าจะมอบให้พวกเจ้า หากพวกเจ้าตอบไม่ได้ ก็ต้องจ่ายเงินหนึ่งร้อยอีแปะมาซื้อโคมไฟนี้ของข้าดีหรือไม่”
คนทั้งหมดได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ก็เกิดแรงฮึกเหิม แย่งกันขอให้เขาพูดปริศนาออกมา ดูว่าตนเองจะทายถูกหรือไม่
เถ้าแก่ขายโคมไฟยิ้มอ่อนมองไปที่คนทั้งหมด
เมิ่งเสียนมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พี่ใหญ่ อยากทายก็ทายเถอะ อย่างมากพวกเราก็แค่จ่ายเงินหนึ่งร้อยอีแปะซื้อโคมไฟของเขา”
เมิ่งเสียนยินดี พูดกับเถ้าแก่ขายโคมไฟอย่างมีมารยาท “เชิญท่านตั้งปริศนา”
เถ้าแก่ขยับลูกคอ พูดปริศนาเสียงดัง
หน้าแผงเงียบสงัดเฉียบพลัน ทุกคนต่างใช้สมาธิขบคิดเพื่อไขปริศนานี้ แม้แต่เซี่ยเจียงเฟิง อันอี่หยวนและจูหลานต่างก็ขมวดคิ้วย่นยู่ขบคิด
เมิ่งเชี่ยนโยวขี้เกียจเปลืองสมองคิด ยืนอยู่อีกด้านกับสองสามีภรรยาเมิ่ง แย้มยิ้มให้กับท่าทีขบคิดเอาเป็นเอาตายของทุกคน
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเด็กน้อยทั้งสองก็ได้รับผลกระทบ พวกเขาหยุดวิ่งเล่น กลั้นลมหายใจ รอคอยให้พวกเขาทายปริศนาได้โดยเร็ว
เมิ่งเสียนและน้องๆ ขบคิดครู่หนึ่ง สุมหัวปรึกษากัน ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ ต่างเริ่มกระวนกระวาย
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีกระวนกระวายของพวกเขา เปล่งเสียงพูดกับเถ้าแก่ขายโคมไฟ “เถ้าแก่ โคมไฟนี้พวกเราซื้อเอง”
โคมไฟทั่วไปวางขายในราคาไม่กี่อีแปะ แต่โคมไฟตรงหน้านี้กลับขายได้ถึงหนึ่งร้อยอีแปะจริงๆ เถ้าแก่ปิติดีใจ กำลังเตรียมจะมอบโคมไฟกับมือเมิ่งเชี่ยนโยว เมิ่งอี้เซวียนกลับเอ่ยปากพูดขึ้น “ช้าก่อน ข้ารู้แล้วว่าคำตอบคืออะไร”
คนที่ยืนอยู่หน้าแผงทั้งหมดมองเขาอย่างเฝ้ารอ
เมิ่งอี้เซวียนหน้าแดงเรื่อ พูดคำตอบออกมา
เถ้าแก่ขายโคมไฟไม่คิดว่าเขาจะทายถูกจริงๆ พลันตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
เมิ่งอี้เซวียนใช้น้ำเสียงน่าฟังถามเขา “เถ้าแก่ ข้าทายถูกหรือไม่”
เถ้าแก่เรียกสติกลับมา รีบร้อนพูด “ถูกๆๆ” พูดจบ มอบโคมไฟส่งให้กับมือเมิ่งอี้เซวียนอย่างเต็มใจ “นายน้อยท่านนี้ โคมไฟนี้เป็นของเจ้าแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนรับมาอย่างยินดี
คนที่มุงดูโดยรอบเห็นเถ้าแก่ขายโคมไฟมอบโคมไฟที่ดีที่สุดให้กับเด็กที่ไขปริศนาได้ถูกต้องจริงๆ ต่างกรูกันเดินขึ้นหน้า มีทั้งคนทาย ทั้งคนซื้อ เถ้าแก่โคมไฟรับรองลูกค้าอย่างมีความสุข
เมิ่งอี้เซวียนถือโคมไฟหลบผู้คนอย่างระวังมาเบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว ยื่นโคมไฟไปตรงหน้านาง พูดเอาใจ “ชอบไหม ข้าให้เจ้า”