ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 129.3
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงเล่นอีกครึ่งชั่วยามได้ ดึกมากแล้ว ผู้คนที่พลุกพล่านจอแจบนท้องถนนก็แยกย้ายไปหมดแล้ว เหลือเพียงพ่อค้าหาบเร่ที่กำลังเก็บแผงลอย ในโรงเตี๊ยมก็เงียบสนิทหมดแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเด็กน้อยทั้งสองที่ยังเล่นสนุกไม่เลิก “เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ พวกเราควรพักผ่อนแล้ว”
เมิ่งเจี๋ยรู้สึกอาวรณ์หน้ากากในมือ พูดวิงวอน “ท่านพี่ พวกเรายังอยากเล่นต่ออีกหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกล่อม “นี่ก็ดึกมากแล้ว ทุกคนพักผ่อนหมดแล้ว หากเจ้ายังส่งเสียงโครมคราม จะรบกวนการพักผ่อนของคนอื่น เจี๋ยเอ๋อร์ ไม่ดื้อนะ รอพรุ่งนี้ตื่นขึ้นมาพวกเจ้าค่อยเล่นใหม่”
“เช่นนั้นข้าจะเอาหน้ากากพวกนี้กลับไปห้องท่านพ่อท่านแม่ด้วย” เมิ่งเจี๋ยพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คัดค้าน
เมิ่งเจี๋ยเลือกหน้ากากไปสามอันอย่างสุขใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพาเขามาหน้าประตูห้องสองสามีภรรยาเมิ่ง เคาะประตูแล้วพูด “ท่านพ่อ ท่านแม่ข้าพาเจี๋ยเอ๋อร์มาส่ง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเปิดประตูห้อง เมิ่งเจี๋ยกอดหน้ากากเดินเข้าห้องอย่างเบิกบาน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้น “ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านพักผ่อนเถอะ ข้าก็จะกลับไปนอนแล้ว”
เสียงเมิ่งชื่อดังลอยมาจากด้านใน “โยวเอ๋อร์ ก่อนนอนจะต้องปิดประตูหน้าต่างให้ดีนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ “ทราบแล้วท่านแม่” พูดจบ หันหลังเดินกลับห้อง
เมิ่งชิงกำลังจัดเรียงหน้ากากที่เหลืออีกสามอัน เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขา “ชิงเอ๋อร์ นอนได้แล้ว”
เมิ่งชิงได้ฟัง รีบเก็บหน้ากาก ขึ้นไปนอนบนเตียงแต่โดยดี
เมิ่งเชี่ยนโยวห่มผ้าห่มให้เขา แล้วจึงถอดเสื้อตัวนอกออก เอนตัวลงบนเตียง
เดินชมโคมไฟหนึ่งชั่วยาม เมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้สึกเหนื่อยล้า ล้มตัวนอนไม่ทันไร ก็สะลึมสะลือหลับไป
จู่ๆ เสียงเร่งเร้าเคาะประตูก็ดังขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวพลันตกใจตื่น ยังไม่ทันได้ร้องถาม เสียงร้องตื่นตระหนกของเมิ่งชื่อก็ดังลอยมา “โยวเอ๋อร์ เจี๋ยเอ๋อร์อยู่ในห้องลูกหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวใจกระตุกวูบ รีบลุกจากเตียง คลุมตัวด้วยเสื้อนอก เดินมาเปิดประตูห้อง ถามอย่างร้อนใจ “เจี๋ยเอ๋อร์กลับห้องไปแล้วไม่ใช่หรือ”
เมิ่งชื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ ร่างกายโงนเงน เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าไปประคอง ถามเสียงกระเส่า “ท่านแม่ เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
เมิ่งชื่อคว้ามือนาง พูดเสียงสั่น “พอเจี๋ยเอ๋อร์กลับมาที่ห้อง บอกว่าไม่ชอบหน้ากากที่ตัวเองถือมา จะออกไปเปลี่ยนกับเมิ่งชิง แม่เห็นว่าไม่เป็นอะไร จึงยอมให้เขาไป ไม่คิดว่าหายไปพักใหญ่เขาก็ไม่กลับมา แม่นึกว่าเขาจะมาเล่นกับชิงเอ๋อร์ในห้องลูกอีก จึงไม่ได้ร้องเรียกเขา กลับมาเห็นว่าเจ้าดับไฟในห้องแล้ว แม่ถึงตะโกนเรียกอย่างตื่นตระหนกเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว ร้องเรียก “พี่ใหญ่ เจี๋ยเอ๋อร์อยู่ในห้องพวกท่านหรือไม่”
เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ เข้านอนกันหมดแล้ว ตกใจตื่นเพราะเสียงร้องตะโกนของเมิ่งชื่อ ต่างรีบลุกขึ้นสวมเสื้อผ้าแล้ววิ่งออกมา ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามก็ส่ายหน้า “ไม่มี”
เมิ่งชื่อทิ้งตัวลงกับพื้นฉับพลัน
เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ รีบเข้ามาประคองนาง
เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ยินเสียงเมิ่งชื่อก็วิ่งออกมา ถามขึ้น “เกิดอะไรขึ้น”
เมิ่งชื่อพูดอย่างหัวใจจะขาด “พ่อ เจี๋ยเอ๋อร์หายไปแล้ว”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตะลึงนิ่งอึ้งอยู่ตรงนั้น ถามอย่างไม่เชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร เจี๋ยเอ๋อร์ไม่ได้เอาหน้ากากมาเปลี่ยนห้องโยวเอ๋อร์หรือ”
ไม่รอให้เมิ่งชื่อตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นทันควัน “ท่านพ่อ ท่านประคองท่านแม่เข้าไปดูชิงเอ๋อร์ในห้องข้าให้ดี พวกเราจะออกไปตามหาในโรงเตี๊ยม”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าเลิกลั่ก ประคองเมิ่งชื่อเข้าไปในห้องเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบหันไปพูดกับทุกคน “พี่ใหญ่ ท่านหาชั้นบนนี้ให้ดี พี่รองท่านไปถามเสี่ยวเอ้อ ว่าเขาเห็นมีใครอุ้มเด็กออกไปจากโรงเตี๊ยมหรือไม่ ข้ากับอี้เซวียนจะไปหาที่ถนน ดูว่าเขาแอบหนีออกไปเล่นเองหรือเปล่า”
คนทั้งหมดพยักหน้า แยกย้ายปฏิบัตการ
เสียงร้องตะโกนของเมิ่งชื่อสร้างความตื่นตกใจให้แขกไม่น้อย ผู้คนต่างตื่นขึ้นมาสอบถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เมิ่งเสียนร้อนรนบอกทุกคนว่า น้องชายตัวเองหายไป สอบถามพวกเขาว่ามีใครเห็นบ้าง
ผู้คนที่มาพักอาศัยส่งเสียงอื้ออึง แย่งกันถามว่าหายไปได้อย่างไร
เมิ่งเสียนด้านหนึ่งตามหาอย่างว้าวุ่นใจ ด้านหนึ่งตอบคำถามทุกคน
ผู้คนเริ่มประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าชั่วเวลาสั้นๆ เด็กจะหายไปได้อย่างไร บางคนจิตใจดีช่วยตามหา
แต่ชั้นสองมีแต่ห้องพัก ไม่มีที่ให้คนหลบซ่อนได้ ไม่นานทุกคนก็หาเสร็จ ไม่เจอแม้แต่เงาของเมิ่งเจี๋ย
เมิ่งเสียนร้อนรนกระสับกระส่าย แต่ก็ไม่กล้าขอเข้าไปหาในห้องพัก จำต้องรีบวิ่งลงมาชั้นหนึ่ง
เมิ่งฉีสอบถามเสี่ยวเอ้อแล้ว เสี่ยวเอ้อบอกว่าไม่เห็นมีเด็กออกไป
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนมายังท้องถนน ท้องถนนเงียบสงัดว่างเปล่า แม้แต่คนหาบเร่แผงลอยก็เก็บข้าวของกลับบ้านไปหมดแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวมองถนนที่มืดสนิทแวบหนึ่ง ตัดสินใจกลับโรงเตี๊ยม เดินมาที่ชั้นหนึ่งหน้าโต๊ะคิดเงิน ถามเสี่ยวเอ้อด้วยใบหน้าอึมขรึม “เจ้าแน่ใจว่าไม่เห็นมีเด็กออกไป”
เสี่ยวเอ้อพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “เช่นนั้นเจ้าเห็นมีใครเพิ่งออกไปจากโรงเตี๊ยมหรือไม่”
เสี่ยวเอ้อสะท้อนแววตา ส่ายหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเสี่ยวเอ้อด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด “ไปเรียกหลงจู๊ของพวกเจ้ามา”
จูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงมาจองทั้งสามห้องนี้ด้วยตัวเอง วันนี้พวกเขาทั้งสองคนก็เป็นคนไปรับเมิ่งเชี่ยนโยวและครอบครัวมา เสี่ยวเอ้อรู้ว่าพวกเขาเป็นแขกสำคัญ ย่อมไม่กล้ารอช้า รีบวิ่งไปหลังร้านร้องตะโกนเรียกหลงจู๊
ยุ่งมาทั้งวัน หลงจู๊เหนื่อยสายตัวแทบขาด เพิ่งจะได้เอนตัวนอน ก็ได้ยินเสียงเสี่ยวเอ้อมาเคาะประตู โมโหจนเกือบสบถด่าออกไป ถามด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “มีเรื่องอะไร”
เสี่ยวเอ้อลนลานตอบกลับ “แขกสำคัญที่คุณชายจูและคุณชายเซี่ยเชิญมา เด็กที่พวกเขาพามาเพิ่งจะหายไปจากโรงเตี๊ยม ตอนนี้พวกเขาต้องการพบท่าน”
อาการง่วงงุนของหลงจู๊กระเจิงหายไปพลัน รีบใส่เสื้อผ้าออกมา ร้อนรนถาม “เหตุใดเด็กถึงหายไปได้”
เสี่ยวเอ้อตอบอย่างนอบน้อม “ข้าก็ไม่ทราบ เมื่อครู่คนในครอบครัวพวกเขาจู่ๆ ก็วิ่งลงมาจากชั้นบน ถามข้าว่าเห็นมีเด็กวิ่งออกไปหรือไม่ ข้าถึงได้รู้ว่าเด็กบ้านพวกเขาหายไป”
โรงเตี๊ยมแห่งนี้เปิดทำการมาหลายปีแล้ว อย่าว่าแต่ทำเด็กหาย แม้แต่ทำของหายก็ยังไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้นจึงมีลูกค้ามีเงินเข้ามาพักไม่ขาด หากวันนี้มีเด็กหายไปจากโรงเตี๊ยมของตนจริงๆ เช่นนั้นชื่อเสียงของโรงเตี๊ยมได้ป่นปี้ในพริบตาเป็นแน่ ถึงตอนนั้นคงต้องปิดโรงเตี๊ยมสถานเดียว หัวใจของหลงจู๊พลันหนาวเหน็บยิ่งกว่าอากาศในฤดูหนาวนี้ ขาสั่นพั่บๆ ตลอดทางที่เดินไป
หลงจู๊เดินมาถึงชั้นหนึ่ง เห็นเด็กๆ ยืนอยู่หน้าโต๊ะคิดเงิน พลันนิ่งอึ้ง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ให้เสียเวลา พูดตามตรง “เมื่อครู่น้องชายคนเล็กของข้าหายไปจากโรงเตี๊ยม ข้าสงสัยว่าจะมีคนลักพาตัวเขาไป ตอนนี้เจ้าจงไปทำตามที่ข้าบอกสองเรื่อง”
หลงจู๊เช็ดเหงื่อที่ตกใจผุดซึมออกมาเต็มหน้าผาก ถามขึ้น “สองเรื่องอะไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เรื่องแรก เจ้าให้เสี่ยวเอ้อบังคับรถม้าพาข้าไปส่งบ้านคุณชายจู เรื่องที่สอง เจ้ารีบไปสั่งให้เสี่ยวเอ้อค้นหาโรงเตี๊ยมนี้ให้ครบทุกซอกทุกมุม ดูว่าน้องชายข้ายังอยู่ในโรงเตี๊ยมหรือไม่”
เรื่องแรกยังพอทำเนา เรื่องที่สองจัดการยากแล้ว โดยเฉพาะชั้นสอง บางส่วนที่เข้าพักล้วนเป็นแขกสำคัญ หากไปรบกวนพวกเขากลางดึก ไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดความปั่นป่วนโดยคาดไม่ถึงหรือไม่
เมิ่งเชี่ยนโยวราวกับจะรู้ว่าเขาคิดอ่านสิ่งใด พูดขึ้นว่า “ไม่ต้องให้เสี่ยวเอ้อค้นหาทุกห้อง เพียงแค่ค้นหาที่ที่พอจะหลบซ่อนตัวได้ของโรงเตี๊ยมนี้ให้หมดทุกซอกทุกมุมก็พอ”
หลงจู๊ถึงพูดอย่างโล่งอก “ข้ารู้แล้ว ข้าจะให้เสี่ยวเอ้อไปค้นหาเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ “โรงเตี๊ยมของพวกท่านมีประตูหลังหรือไม่”
หลงจู๊พยักหน้า “มีบานหนึ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “รีบให้เสี่ยวเอ้อไปเฝ้าไว้ ยังมีประตูนี้ ก่อนที่ทางการจะส่งคนมาสืบค้น ใครก็ห้ามออกไปไหน”
หลงจู๊รู้ว่าเรื่องนี้ร้ายแรงมาก รีบพยักหน้ารับคำ สั่งการเสี่ยวเอ้อให้รีบไปดำเนินการ
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเสียน “พี่ใหญ่ ท่านเฝ้าประตูนี้ไว้ ก่อนที่ข้าจะกลับมา ใครก็ห้ามออกไป” จากนั้นหันไปพูดกับเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียน “พวกท่านสองคนไปเฝ้าประตูหลัง ก่อนที่ข้าจะกลับมาห้ามใครออกไปเช่นกัน หากมีใครกล้าฝ่าออกไปตอนนี้ พวกท่านรู้ดีว่าต้องทำอย่างไร”
ทั้งสามคนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับทุกคนต่อว่า “ข้าจะไปหาคุณชายจูและคุณชายเปา แล้วจะรีบกลับมา”
เมิ่งเสียนพูดเน้นย้ำ “ระวังตัวด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เร่งฝีเท้าเดินขึ้นรถม้าที่เสี่ยวเอ้อบังคับออกมา สั่งเสี่ยวเอ้อให้ไปบ้านจูหลาน
แม้ตัวอำเภอจะใหญ่ แต่ชื่อเสียงของคุณชายทั้งสี่แห่งอำเภอนี้ใหญ่คับฟ้ายิ่งกว่า แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก ไม่มีใครไม่เคยได้ยิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงบ้านของพวกเขา เสี่ยวเอ้อได้ยินคำสั่งของเมิ่งเชี่ยนโยว กระตุกบังเ**ยน บังคับรถม้าพุ่งทะยานฝ่าราตรีอันมืดมิดมาถึงหน้าประตูบ้านจูหลาน
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่รอให้รถม้าจอดสนิท ลอยตัวลงมาจากรถม้า เดินมาที่หน้าประตูใหญ่ ทุบประตูใหญ่บ้านจูหลานเสียงดังปังๆๆ
คนเฝ้าประตูตกใจตื่น ตวาดถาม “ใครกัน ดึกดื่นค่อนคืน มีเรื่องด่วนอันใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ข้าคือเมิ่งเชี่ยนโยว เป็นเพื่อนกับคุณชายของพวกเจ้า หลายวันก่อนเคยมาบ้านพวกเจ้าพร้อมคุณชายเซี่ย”
คนเฝ้าประตูพลันนึกขึ้นได้ว่าเป็นใคร ปลดกลอนประตูออกพลางซักถาม “ดึกเช่นนี้ แม่นางเมิ่งมีธุระด่วนอันใด”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “บ้านข้าเกิดเรื่องเร่งด่วน ต้องให้คุณชายของพวกเจ้าช่วย เจ้ารีบพาข้าไปหาคุณชายพวกเจ้าเถอะ”
คนเฝ้าประตูเปิดประตูใหญ่ออกแล้ว ได้ยินนางพูดเช่นนี้ พูดขึ้นทันควัน “แม่นางเมิ่งรีบเข้ามา ข้าจะพาเจ้าไปหาคุณชายของพวกเราเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวข้ามประตู เดินตามคนเฝ้าประตูมาถึงเรือนของจูหลาน ไม่รอให้คนเฝ้าประตูแจ้งข่าว ก็ส่งเสียงร้องตะโกนขึ้นเองกลางลานบ้าน “จูหลาน รีบลุกขึ้น น้องชายคนเล็กข้าหายไปแล้ว”
จูหลานสะลึมสะลือได้ยินเสียงคนมาตะโกนร้องยังนึกว่าเป็นความฝัน ต่อมารู้สึกว่าน้ำเสียงมีความคุ้นหู จึงตกใจตื่น ร้องถามเสียงดัง “แม่นางเมิ่งใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับกลางลานบ้าน “ข้าเอง เจ้ารีบออกมา น้องชายคนเล็กข้าหายไปแล้ว”
ครั้งนี้จูหลานได้ยินชัดเจนแล้วว่านางพูดอะไร ตะลีตะลานสวมเสื้อผ้า เปิดประตูห้องเดินออกมา ร้อนรนถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดน้องชายเจ้าถึงหายไปได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “พวกเราเดินไปคุยไปเถอะ เจ้ารีบพาข้าไปบ้านเปาอีฝาน ให้เขาคิดหาวิธีให้ใต้เท้าเปาตามไปช่วยสืบคดี”
จูหลานพยักหน้า
ทั้งสองมาถึงด้านนอกประตูอย่างรวดเร็ว จูหลานพูดกับคนเฝ้าประตู “หากฟ้าสาง แล้วท่านพ่อท่านแม่ถามถึง เจ้าจงบอกว่าข้าไปช่วยแม่นางเมิ่งตามหาน้องชายที่หายไป”
คนเฝ้าประตูรับคำอย่างนอบน้อม
ทั้งสองไม่สนใจเรื่องต้องห้าม ขึ้นรถม้าไปคันเดียวกัน ระหว่างทางเมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้จูหลานฟังอย่างละเอียด
จูหลานย่นหัวคิ้ว “เจ้าบอกว่าเมิ่งเจี๋ยหายไปจากหน้าประตูห้องของพวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “แม่ข้าบอกเช่นนี้ แต่ข้ารู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ ประตูห้องของแม่ข้าและประตูห้องข้าห่างกันเพียงสองก้าว หากมีคนกล้าลักพาตัวเจี๋ยเอ๋อร์ไปจากหน้าประตู คนผู้นั้นก็กล้าหาญเกินไปแล้ว”
จูหลานถามอีก “หากไม่ใช่ เช่นนั้นเจี๋ยเอ๋อร์จะหายไปได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “นี่เป็นเรื่องที่ข้าคิดไม่ตก ช่วงเวลานี้ข้าคอยสอนวรยุทธ์ให้พวกเขาตลอด แม้เจี๋ยเอ๋อร์จะเรียนรู้ไม่ได้ทั้งหมด แต่กระบวนท่าเล็กๆ น้อยๆ ก็ยังพอได้ หากมีคนฝืนจะลักพาตัวเขาไป เขาไม่มีทางจะไม่ตอบโต้ แต่พวกเรากลับไม่ได้ยินเสียงผิดปกติอะไรเลย เช่นนั้นเจี๋ยเอ๋อร์จะหายไปได้อย่างไร”
ไม่นานรถม้าก็มาถึงจวนผู้ว่าการอำเภอ
จูหลานและเมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า มายืนอยู่หน้าประตูจวนผู้ว่า ออกแรงทุบประตูจวนผู้ว่าเต็มแรงพักหนึ่ง ด้านในก็ไม่มีความเคลื่อนไหว
จูหลานกระวนกระวายพูด “ครอบครัวของเปาอีฝานอาศัยอยู่ด้านหลังจวนผู้ว่า ปกติไม่ค่อยมีใครมาเคาะประตูยามวิกาล ดังนั้นบ้านพวกเขาแม้แต่ยามเฝ้าประตูก็ไม่มี พวกเราทุบแบบนี้ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่พวกเขาถึงจะได้ยิน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปโดยรอบ พบว่าหน้าจวนมีกลองใบหนึ่ง รีบเดินขึ้นหน้า หยิบไม้พลองตีกลองทันใด
จูหลานตกใจสะดุ้งโหยง รีบเข้าไปห้าม “นี่เป็นกลองส่งสัญญาณฉุกเฉิน เมื่อตีกลองนี้ยามวิกาลคนจะได้ยินทั้งอำเภอ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่กำลังทำสิ่งใด จะต้องรีบวิ่งมารวมตัวที่จวนผู้ว่า ดังนั้นนอกจากเกิดเรื่องใหญ่ ไม่เช่นนั้นห้ามแตะต้องกลองนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “น้องชายข้าหายไปกลางดึกยังไม่เป็นเรื่องใหญ่หรือ อย่างไรอีกประเดี๋ยวใต้เท้าเปาก็ต้องเรียกรวมไพล่พลไปที่โรงเตี๊ยม ไม่เช่นนั้นพวกเราช่วยเขาตีกลองส่งสัญญาณก่อน พอใต้เท้าเปาออกมา เจ้าหน้าที่จะได้มาถึงพอดี”
จูหลานครุ่นคิดแล้วก็เห็นด้วย หยิบไม้พลองในมือเมิ่งเชี่ยนโยวมา พูดว่า “ข้าเอง” พูดจบก็ตีกลองเต็มแรง
คนในจวนผู้ว่าต่างตกใจตื่น เปาชิงเหอรีบสวมชุดเจ้าหน้าที่ทางการ พูดกับบ่าวรับใช้ “ไปดูว่าใครที่มันบังอาจ กล้ามาตีกลองโดยที่ข้าไม่ได้อนุญาต”