ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 133.1
แม่เฉียวเพิ่งจะฟื้นขึ้นมา ได้ยินคำตัดสินของเปาชิงเหอ เป็นลมสลบไปอีกครั้ง สาวใช้ข้างกายตกใจทำอะไรไม่ถูก
พ่อเฉียวคุกเข่าร่ำไห้น้ำตานอง
เฉียวหมิ่นใบหน้าตายด้าน นั่งเหม่อลอยอยู่ตรงนั้น
เจ้าหน้าที่ขานรับคำสั่ง ลากตัวเฉียวหมิ่นและเฉียวต้าออกไป
เฉียวเอ้อที่เหมือนได้เกิดใหม่มองสภาพน่าสังเวชของพวกเขา นั่งเซ่อแน่นิ่งอยู่ที่พื้น
พ่อจูและแม่จูหันไปทำความเคารพเปาชิงเหออย่างนอบน้อม ส่งสัญญาณให้บ่าวรับใช้หามจูหลานกลับโรงหมอ
จูหลานร้องเรียกเสียงแผ่ว “แม่นางเมิ่ง!”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาด้วยสีหน้าไม่แน่ชัด
จูหลานถามขึ้นอย่างยากลำบาก “เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะข้า ทำให้น้องชายเจ้าได้รับเคราะห์กรรมหนัก ข้าไม่ขอให้เจ้าให้อภัย ข้าเพียงอยากถามเจ้า ภายหน้า…พวกเราจะยังเป็นเพื่อนกันหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาไม่พูดอะไร
จูหลานถอนหายใจรวยริน พูดขึ้น “ข้ารู้แล้ว” พูดจบ หันไปบอกบ่าวรับใช้ “พวกเราไปเถอะ”
บ่าวรับใช้แบกแคร่ขึ้น เดินออกไปด้านนอก
เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวดังไล่หลังมา “หากเจ้าทนบาดแผลจนหายได้ ข้าจะถือว่าไม่เคยเกิดเรื่องนี้ขึ้น”
จูหลานได้ยินดีใจสุดโต่ง ตะเกียกตะกายลุกขึ้นพูดอย่างยินดี “ข้าจะต้องหายดี เจ้าก็อย่าลืมคำพูดของเจ้า” กลับไม่ระวังยืดตัวกระทบบาดแผลบนร่างกาย เจ็บจนร้องโอดโอย ล้มตัวลงนอนบนแคร่ตามเดิม
แม่จูรีบเดินขึ้นหน้า พูดตำหนิ “หลานเอ๋อร์ เจ้าเพิ่งจะฟื้น ระวังหน่อยไม่ได้หรือไร”
จูหลานตอบกลับ “ท่านแม่ ไม่เป็นไร ข้าเพียงแค่ดีใจเกินไป ลืมบาดแผลที่ตัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยอมุมปากเผยรอยยิ้มที่ไม่อาจสังเกตเห็นได้
พ่อจูพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างหนักแน่น “แม่นางเมิ่ง บุญคุณของเจ้าพวกเราสกุลจูไม่มีวันลืม ภายหน้าหากมีสิ่งใดต้องการให้ช่วยขอให้พูดมา พวกเราไม่มีทางปฏิเสธ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างพินอบพิเทา “ขอบคุณท่านลุง”
พ่อจูจากไปอย่างซาบซึ้งใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวทำความเคารพเปาชิงเหออย่างอ่อนน้อม หันหลังเดินออกมา
มีเพียงพ่อเฉียวที่คุกเข่าอยู่บนพื้น แม่เฉียวที่ยังนอนสลบไม่ได้สติ สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูกอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในศาล
กลุ่มคนที่มาดูเรื่องสนุกนอกประตูเห็นว่าคดีสิ้นสุดแล้ว ต่างแยกย้ายไปคนละทิศละทาง หาคนเล่าเรื่องให้ฟังต่ออย่างครึ้มอกครึ้มใจ
เปาชิงเหอลุกขึ้นเดินมาเบื้องหน้าพ่อเฉียว
พ่อเฉียวมองเขาอย่างเคียดแค้น
เปาชิงเหอย่อตัวลง กระซิบข้างหูเขาสองสามคำ
พ่อเฉียวตะลึงตาค้าง มองเขาอย่างไม่เชื่อ
เปาชิงเหอพยักหน้า
พ่อเฉียวลุกขึ้น หันไปพูดกับสาวใช้และบ่าวรับใช้ “ประคองฮูหยินให้ดี พวกเรากลับบ้าน ต่อไปพวกเราสกุลเฉียวจะไม่มีคุณหนูเฉียวหมิ่นคนนี้อีก”
สาวใช้และบ่าวรับใช้เข้าประคองแม่เฉียวเดินออกไปจากศาล พ่อเฉียวเดินตามหลังไป
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาถึงโรงเตี๊ยม เมิ่งเจี๋ยยังไม่ฟื้น เมิ่งชื่อร้อนใจกระสับกระส่าย เห็นนางกลับมา รีบร้อนถาม “โยวเอ๋อร์ เหตุใดเจี๋ยเอ๋อร์ยังไม่ฟื้นอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบใจ “ท่านแม่ ท่านใจเย็นก่อน อีกประเดี๋ยวเจี๋ยเอ๋อร์ก็ฟื้นแล้ว”
เมิ่งชื่อถึงวางใจสงบนิ่งลง กลับไปนั่งข้างเตียง จ้องมองเมิ่งเจี๋ยอย่างไม่กะพริบตา
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเด็กที่เหลือเฝ้าอยู่อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งชิง “ชิงเอ๋อร์ ไปหยิบหน้ากากในห้องกลางมา อีกประเดี๋ยวพอเจี๋ยเอ๋อร์ฟื้น พวกเราให้เขาดีหรือไม่”
เมิ่งชิงพยักหน้าอย่างรู้ความ วิ่งไปหยิบหน้ากากจากห้องกลาง เมิ่งอวี้เซวียนเดินตามติดไป
เมิ่งชิงหยิบหน้ากากกลับมา ยืนข้างเตียงเมิ่งเจี๋ยอย่างเชื่อฟัง เฝ้ารอเขาตื่นมาเงียบๆ
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่ เมิ่งเจี๋ยขยับเปลือกตา เมิ่งชื่อร้องพูดยินดี “เจี๋ยเอ๋อร์ฟื้นแล้ว”
ทั้งครอบครัวล้อมมายืนข้างเตียง
เมิ่งเจี๋ยลืมตาขึ้น เห็นใบหน้าเมิ่งชื่ออยู่ตรงหน้า กะพริบตาปริบๆ อย่างไม่เชื่อ เห็นเมิ่งชื่อยังคงอยู่ตรงหน้า ยื่นสองมือออกไป ร้องเรียกอย่างดีใจ “ท่านแม่!”
เมิ่งชื่อโน้มตัวอุ้มเมิ่งเจี๋ยไว้แนบอก ร้องไห้ฟูมฟาย “เจี๋ยเอ๋อร์ ในที่สุดลูกก็ฟื้น ทำแม่ตกใจหมดแล้ว”
เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีก็พูดอย่างดีใจ “น้องเล็ก เจ้าฟื้นแล้ว”
เมิ่งเจี๋ยถูกเมิ่งชื่อกอดจนหายใจไม่ออก ดิ้นรนร้องพูด “ท่านแม่ ข้าอึดอัด”
เมิ่งชื่อรีบคลายมือ ถามอย่างว้าวุ่นใจ “อึดอัดตรงไหน แม่จะพาไปหาหมอ”
เมิ่งเจี๋ยตอบกลับ “ถูกท่านแม่กอดจนอึดอัด”
เมิ่งชื่อถึงได้สติกลับมา หัวเราะร่า
เมิ่งเจี๋ยหันไปเรียกเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ!”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตาแดงชื้น ลูบหัวเมิ่งเจี๋ยแล้วพูด “ไม่เป็นไรก็ดี ไม่เป็นไรก็ดี”
เมิ่งเจี๋ยหันไปหาเมิ่งเชี่ยนโยว ร้องเรียก “ท่านพี่!”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบหัวเขา
เมิ่งเจี๋ยพูดกับนางอย่างฮึกเฮิม “ท่านพี่ ข้ากล้าหาญมาก ไม่กลัวเกรงพวกเขา ข้ากัดมือของเขา เขาเจ็บจนร้องแผดเสียงร้องดังสนั่น”
เมิ่งเชี่ยนโยวนิ่งอึ้ง พูดชื่นชม “เจี๋ยเอ๋อร์เก่งที่สุด”
เมิ่งเจี๋ยหัวเราะขวยเขิน พูดขึ้น “ข้ารู้ว่าท่านพี่จะต้องหาข้าพบ ข้าไม่กลัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ตาแดงชื้น ลูบหัวเขาอย่างอ่อนโยน
เมิ่งเจี๋ยร้องเรียกอีก “พี่ใหญ่ พี่รอง พี่อี้เซวียน”
คนทั้งสามส่งยิ้มให้เขา
เมิ่งชิงวางหน้ากากไปเบื้องหน้าเขาพูดอย่างไร้เดียงสา “หน้ากากนี้ให้เจ้าทั้งหมด ต่อไปเจ้าจะได้ไม่หายไปอีก”
เมิ่งเจี๋ยพูดอย่างดีใจ “ขอบใจชิงเอ๋อร์”
เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเจี๋ยไม่เป็นไรแล้วก็โล่งใจ พูดอย่างกระวนกระวาย “โยวเอ๋อร์ พวกเรากลับบ้านเถอะ เมืองนี้แม่ไม่อยากอยู่ต่อแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบใจ “ท่านแม่ เจี๋ยเอ๋อร์เพิ่งจะฟื้น ให้เขาพักผ่อนอีกหน่อยค่อยกลับเถอะ”
เมิ่งชื่อมองบุตรชายคนเล็กที่ยังอ่อนแอ พยักหน้ารับคำ
ทั้งครอบครัวห้อมล้อมชวนเมิ่งเจี๋ยพูดคุยอย่างสนุกสนานอีกครู่หนึ่ง เมิ่งเจี๋ยถึงค่อยๆ ฟื้นตัวกระปรี้กระเปร่าขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งยองข้างเตียงเมิ่งเจี๋ย ถามเสียงเบา “เจี๋ยเอ๋อร์ พี่ถามเจ้า เจ้าถูกพวกเขาอุ้มไปได้อย่างไร”
เมิ่งเจี๋ยพูดอย่างหวาดกลัว “พอข้าออกมาจากห้องท่านแม่ เห็นชายสองคนถือหน้ากากแลดูน่าสนุกอยู่ข้างบันได ข้าจึงเดินเข้าไปหา จากนั้นพวกเขาก็ปิดปากข้า ข้าดิ้นรนสุดชีวิต พวกเขาใช้ฝ่ามือฟาดมาที่ลำคอข้า ข้าก็ไม่รู้เรื่องอะไรอีก ตอนที่ข้าฟื้นขึ้นมา ก็อยู่ในบ้านซอมซ่อนั้นแล้ว พอข้าเห็นว่าไม่รู้จักพวกเขา ก็บอกพวกเขาให้ส่งข้ากลับไป พวกเขาไม่ยอม ข้าก็เลยกัดมือเขาไปคนหนึ่ง คนคนนั้นเจ็บจนแผดเสียงร้อง ใช้ฝ่ามือตบหน้าข้า ตบจนข้าเจ็บมากแต่อย่างไรข้าก็ไม่ยอมปล่อยปาก ท่านพี่ ข้ากล้าหาญมากใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดวงตาเขาแล้วพูด “อือ เจี๋ยเอ๋อร์กล้าหาญมาก พี่ภูมิใจในตัวเจ้า”
เมิ่งเจี๋ยพูดอย่างยินดี “ข้าว่าแล้วท่านพี่จะต้องชมข้า”
“ตอนนี้เจี๋ยเอ๋อร์ยังกลัวหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงแผ่ว
เมิ่งเจี๋ยส่ายหน้า “ไม่กลัว ข้าไม่เคยกลัว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก ลอบดีใจที่การฝึกฝนอย่างเป็นกิจวัตรของตนเองบังเกิดผล เรื่องในครั้งนี้ไม่สร้างรอยด่างไว้ในใจเมิ่งเจี๋ย
เมิ่งเจี๋ยลูบท้องน้อยตัวเองพูดว่า “ท่านแม่ ข้าหิว ข้าอยากกินของอร่อย”
เมิ่งชื่อลนลานลุกขึ้นพูดขึ้น “เจี๋ยเอ๋อร์ รอเดี๋ยวนะ แม่จะไปทำให้เดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวรั้งนางไว้ “ท่านแม่ ที่นี่เป็นโรงเตี๊ยม ไม่มีที่ให้ทำอาหาร ข้าจะไปบอกหลงจู๊ให้เขาทำโจ๊กมาให้ เจี๋ยเอ๋อร์ไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันหนึ่งคืนแล้ว ไม่ควรกินของมันเลี่ยน”
เมิ่งชื่อได้สติกลับมา รีบร้อนพูด “ได้ เจ้ารีบไป เจี๋ยเอ๋อร์คงจะหิวแย่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวลงมาชั้นล่าง ให้หลงจู๊สั่งการเสี่ยวเอ้อต้มโจ๊กขึ้นมา
เรื่องที่เฉียวหมิ่นลักพาตัวเมิ่งเจี๋ยหลงจู๊รู้เรื่องหมดแล้ว จุดจบที่น่าเวทนาของนาง หลงจู๊ก็ได้ยินแล้ว ตอนนี้เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ตรงหน้า หลงจู๊ตกใจท้องขาสั่นพั่บๆ ได้ยินคำพูดนาง ก็รีบสั่งเสี่ยวเอ้อไปต้มโจ๊กทันที
เปาอีฝานกลับถึงจวนพักผ่อนเล็กน้อย ก็ลุกขึ้นสั่งเด็กรับใช้ยกน้ำมาให้ตนเองล้างหน้าล้างตา คิดจะออกไปพร้อมเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนดูว่าเมิ่งเจี๋ยฟื้นแล้วหรือไม่
ซุนฮุ่ยเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเคร่งครึม ไม่แม้แต่จะทักทาย ก็นั่งลงบนเก้าอี้ข้างๆ
เปาอีฝานมองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง ถามขึ้น “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
ซุนฮุ่ยพูดไม่ออก
เปาอีฝานเร่งเร้าถาม “มีเรื่องอันใดก็พูดมา ระหว่างเรายังต้องมีสิ่งใดปิดบังกันอีก”
ซุนฮุ่ยเล่าถึงจุดจบของเฉียวหมิ่นออกมา
เปาอีฝานไม่คิดว่าเฉียวหมิ่นจะถูกตัดสินลงโทษเช่นนี้ พลันตะลึงงัน
ซุนฮุ่ยถามขึ้น “อย่างไรก็ตามหาน้องชายแม่นางเมิ่งกลับมาได้แล้ว และมิได้เป็นสิ่งใดมาก ท่านลุงพิจารณาโทษเช่นนี้หนักหนาเกินไปหรือไม่”
เปาอีฝานได้สติคืนมา พูดว่า “ตามกฎหมายประเทศอู่ การลักพาตัวจะต้องถูกตัดศีรษะ เฉียวหมิ่นยังรักษาชีวิตไว้ได้ นับว่าท่านพ่อข้าเมตตาปราณีแล้ว”
“แต่ข้าได้ยินเจ้าหน้าที่พูดว่า เดิมท่านลุงตัดสินโทษตัดศีรษะเฉียวหมิ่น แต่แม่นางเมิ่งขอร้องให้เขาไว้ชีวิตนาง ทั้งยังเรียกร้องให้ท่านลุงตัดสินโทษเช่นนั้น ท่านว่า เหตุใดท่านลุงต้องฟังคำแนะนำของนาง การอยู่ก็เหมือนตายนี้ของเฉียวหมิ่น สู้ให้นางถูกบั่นศีรษะเสียยังดีกว่า” ซุนฮุ่ยถามอย่างแคลงใจ
เปาอีฝานสะท้อนแววตา พูดว่า “เรื่องถึงที่สุดแล้ว เจ้าเลิกคาดเดาตามอำเภอใจได้แล้ว ข้าจะล้างหน้าล้างตา กินอาหารเช้า พวกเราและเซี่ยเจียงเฟิงและอันอี่หยวนจะไปดูกันว่าน้องชายแม่นางเมิ่งฟื้นหรือยัง”
ซุนฮุ่ยลุกขึ้นยืน ด้านหนึ่งสั่งการสาวใช้ไปยกอาหารเช้าเข้ามา อีกด้านพูดว่า “ข้ามิได้คาดเดา ข้าเพียงทอดถอนใจว่าเฉียวหมิ่นเดินมาถึงจุดนี้ ต้องมามีจุดจบที่น่าสังเวชเช่นนี้ได้อย่างไร อย่างไรพวกเราก็รู้จักกันมาหลายปี ยังรู้สึกเจ็บปวดใจแทน”
เปาอีฝานพูดขึ้น “เฉียวหมิ่นจิตใจเ**้ยมโหด สักวันจะต้องพบจุดจบเช่นนี้ ตอนนี้ข้ากลับยินดีแทนจูหลาน โชคดีที่เขายังไม่ได้แต่งเอาคนเช่นนี้เข้าบ้าน ไม่เช่นนั้น ภายหน้าพวกเราคงต้องตัดขาดกับเขา”
ได้ยินเขาเอ่ยถึงจูหลาน ซุนฮุ่ยจึงพูดเรื่องที่พ่อจู แม่จูไปที่ศาลาว่าการ ยกเลิกการหมั้นหมายออกมาด้วย กล่าวอย่างทอดถอนใจ “เฉียวหมิ่นเพียงแค่คลั่งรักมากเกินไป ถึงได้คิดสั้น ตอนนี้สำนึกได้ก็สายไปเสียแล้ว”
เปาอีฝานพูดว่า “คนเช่นนางสำนึกได้ก็เพียงชั่วคราว หากภายหน้าพบเรื่องเช่นนี้จักต้องกระทำการเช่นนี้อีก สกุลจูกระทำการเด็ดขาด ถือว่าได้ขจัดปัญหาที่ซ่อนเร้นในภายหน้าให้สิ้นซาก”
ซุนฮุ่ยถอนหายใจ “แม้สกุลจูไม่ยกเลิกการหมั้นหมาย ด้วยจุดจบของเฉียวหมิ่นการแต่งงานนี้ก็ไม่มีทางเป็นไปได้แล้ว เช่นนี้ก็ดี เฉียวหมิ่นจะได้ตัดใจหมดสิ้น ไม่ให้นางใช้มาเป็นข้ออ้างทำร้ายผู้อื่นได้อีก”
เปาอีฝานพูดเตือนนาง “ทุกคนมีชะตาชีวิตของตนเอง เมื่อนางกระทำเรื่องชั่วช้าเช่นนี้ ก็ควรจะได้รับโทษทัณฑ์อย่างสาสม เจ้าไม่ต้องกลัดกลุ้มใจเพื่อนางแล้ว คิดว่าอีกประเดี๋ยวพวกเราไปจะนำของสิ่งใดไปเยี่ยมน้องชายแม่นางเมิ่งดีกว่า”
ซุนฮุ่ยถูกเปลี่ยนประเด็นสนทนา พูดขึ้นทันควัน “จริงด้วย อีกประเดี๋ยวพวกเราไปเยี่ยมน้องชายแม่นางเมิ่งจักไปมือเปล่าไม่ได้ แต่นำของเยี่ยมอะไรติดมือไปดีเล่า”
เปาอีฝานหัวเราะพูด “ข้าให้เจ้าไปเตรียมการ เจ้ากลับมาย้อนถามข้า เรื่องการเยี่ยมเยียนข้าไม่เคยจัดการมาก่อน ไม่เช่นนั้นเจ้าไปถามแม่ข้า ให้ท่านช่วยพวกเราเตรียมการ”
ซุนฮุ่ยลุกขึ้นพูด “ข้าจะไปถามท่านป้าเดี๋ยวนี้ ท่านกินเสร็จแล้วให้คนไปเรียกข้าก็พอ”
เปาอีฝานพยักหน้า ซุนฮุ่ยเดินออกไปด้านนอก