ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 134.2
อาจารย์ที่สอบวัดระดับความรู้หันไปพูดกับอาจารย์ที่รับลงทะเบียน “เด็กคนนี้ถูกรับเลือกแล้ว เจ้าบอกเขาถึงเรื่องข้อปฏิบัติและค่าใช้จ่ายที่ต้องชำระ ให้พรุ่งนี้เช้าเขามาเข้าเรียนตรงเวลาก็พอ” พูดจบก็หันหลังเดินกลับเข้าโรงเรียน
อาจารย์ที่รับลงทะเบียนได้ยินว่าเมิ่งอี้เซวียนไม่กินนอนที่โรงเรียน จึงไม่พูดเรื่องการกินนอน พูดเพียงว่า “ทุกเดือนต้องจ่ายค่าครูสองตำลึง เจ้าเพิ่งมาลงทะเบียน จักต้องซื้อตำราคัมภีร์จำนวนหนึ่ง เครื่องเขียนหากว่าเตรียมมาเอง ทั้งหมดก็สี่ตำลึง หากใช้ของที่โรงเรียนเตรียมให้ ทั้งหมดหกตำลึง”
เมิ่งอี้เซวียนตอบกลับ “พวกเราจักเตรียมเครื่องเขียนเอง”
อาจารย์พยักหน้า “ทั้งหมดสี่ตำลึง เจ้าให้ผู้ใหญ่เข้ามาจ่ายเถอะ”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ไม่ต้อง ข้าจ่ายเอง” พูดจบก็ล้วงเงินสี่ตำลึงจากอกเสื้อออกมามอบให้อาจารย์
อาจารย์เห็นการแต่งกายของเขาไม่ถือว่าดีมาก ไม่เหมือนบุตรหลานบ้านเศรษฐีมีเงิน ไม่คิดว่าจะพกเงินติดตัวมากเช่นนี้ อดมองพินิจเขาไม่ได้ พร้อมกับมองประเมินรถม้าที่จอดด้านนอกไปด้วย
เมิ่งอี้เซวียนไม่หลบหลีก ให้เขามองประเมินตามสะดวก
อาจารย์เห็นเขาอายุเท่านี้กลับสงบนิ่งแน่วแน่ ยิ่งทวีความประหลาดใจ ออกใบเสร็จให้เขาอย่างเริงร่า พูดอย่างยินดี “นี่คือใบเสร็จค่าเล่าเรียนเจ้า เก็บไว้ให้ดี กลับไปให้ผู้ใหญ่เก็บรักษาไว้ พรุ่งนี้ยามเหม่าจักต้องมาเข้าเรียนตรงเวลา หากล่าช้าพวกเราจะถือว่ามาสาย”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ขอบคุณท่านอาจารย์ พรุ่งนี้ข้าจะมาตรงตามเวลา”
อาจารย์เห็นเขามีมารยาทดี ยิ่งรู้สึกชอบพอเขา
เมิ่งอี้เซวียนถือใบเสร็จเดินกลับมาข้างรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวใช้แววตาถาม เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลังขึ้นรถม้า เมิ่งอี้เซวียนขึ้นรถม้าตามหลังมา มอบใบเสร็จที่อาจารย์ให้ไว้กับนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่แม้แต่จะมอง ก็เก็บใส่แขนเสื้อ หันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน “ลุงใหญ่ พวกเราไปซื้อเครื่องเขียน”
เมิ่งต้าจินบังคับรถม้ามาถึงร้านหนังสือ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ค่อยรู้เรื่องของพวกนี้ หันไปพูดกับเมิ่งต้าจิน “ลุงใหญ่ ข้าเฝ้ารถม้า ท่านไปช่วยอี้เซวียนเลือกเครื่องเขียนที่เหมาะสมเถอะ ไม่ต้องดีเกินไป ให้เหมาะกับเขาใช้ก็พอ อีกอย่าง ช่วยซื้อกระดาษเซวียนเนื้อดีให้ท่านปู่อีกหน่อย เมื่อวานข้าเห็นท่านปู่ใช้เกือบจะหมดแล้ว”
เมิ่งต้าจินพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบเงินจำนวนหนึ่งให้เขา
เมิ่งต้าจินพาเมิ่งอี้เซวียนเข้าร้านหนังสือ เลือกเครื่องเขียนชุดหนึ่งและกระดาษเซวียนเนื้อดีจำนวนหนึ่งออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนกลับเข้ามานั่งในรถม้า ใคร่ครวญดูไม่มีสิ่งใดต้องซื้อหาแล้ว ก็ให้เมิ่งต้าจินบังคับรถม้าตรงกลับบ้าน
พอกลับมาถึงบ้าน เมิ่งอี้เซวียนหยิบกระเป๋านักเรียนที่เมิ่งเชี่ยนโยวทำให้เขาออกมา ใส่เครื่องเขียนไว้ข้างใน แล้ววางไว้อีกด้าน
เมิ่งชิงรู้ว่าพรุ่งนี้เมิ่งอี้เซวียนจะเข้าไปเรียนหนังสือในเมือง รู้สึกอาลัยอาวรณ์ เข้ามาคิดจะอยู่กับเขาให้นานขึ้น กลับเห็นกระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียนจนต้องร้องอุทาน “สิ่งนี้งดงามนัก พี่อี้เซวียน สิ่งนี้คืออะไร”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “นี่คือกระเป๋านักเรียน เอาไว้ใส่เครื่องเขียน”
เมิ่งชิงร้องโหวกเหวก “ข้าก็ต้องการกระเป๋านักเรียนงดงามเช่นนี้”
เมิ่งเจี๋ยได้ยินเสียงร้องของเขา จึงเดินเข้ามา เห็นกระเป๋านักเรียนก็แปลกประหลาดใจ ต่างเข้ามาขอร้องให้พวกเขาลองสะพายบ้าง
เมิ่งอี้เซวียนลูบหัวพวกเขา นำเครื่องเขียนออกมาอย่างระวัง นำกระเป๋านักเรียนขึ้นสะพายบนหลังเมิ่งชิง
เมิ่งชิงสะพายกระเป๋านักเรียนเดินวนสองรอบอย่างดีอกดีใจ ถามขึ้น “ดูดีหรือไม่”
เมิ่งเจี๋ยพยักหน้า พูดอย่างอดใจรอไม่ไหว “ให้ข้าสะพายบ้าง”
เมิ่งชิงถอดกระเป๋านักเรียนออกอย่างรู้ความ มอบให้เมิ่งเจี๋ย
เมิ่งเจี๋ยทำตามเขาสะพายกระเป๋านักเรียนขึ้นหลัง ถามเมิ่งชิงอย่างดีใจเช่นกัน “ดูดีหรือไม่”
เมิ่งชิงตบมือน้อยๆ พูดว่า “ดูดี ดูดีมาก”
เมิ่งเจี๋ยแหงนหน้า พูดวิงวอนเมิ่งอี้เซวียน “พี่อี้เซวียน ข้าอยากได้กระเป๋านักเรียนนี้”
เมิ่งชิงรีบพูดตาม “ข้าก็อยากได้!”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก พูดว่า “พี่มีกระเป๋านักเรียนแค่ใบนี้ใบเดียว พรุ่งนี้ต้องสะพายไปโรงเรียน ไม่มีเหลือให้พวกเจ้า”
“ท่านก็ช่วยซื้อมาให้พวกเราไม่ได้หรือ” เมิ่งเจี๋ยถามอีก
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “สิ่งนี้ซื้อหาข้างนอกไม่ได้”
เมิ่งชิงถาม “เช่นนั้นสิ่งนี้ท่านได้มาจากที่ใด”
เมิ่งอี้เซวียนลังเลครู่หนึ่ง ถึงพูด “สิ่งนี้โยวเอ๋อร์เป็นคนมอบให้ข้า”
“ท่านพี่มอบให้ท่าน” เด็กน้อยทั้งสองถามพร้อมกัน
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงสบตากัน จากนั้นก้าวเท้าป้อมๆ วิ่งออกไป วิ่งไปพลางตะโกนร้อง “ท่านพี่ ท่านพี่”
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเดินเข้ามาในห้องเมิ่งชื่อ ริมน้ำร้อนใส่ถ้วย ยังดื่มไม่ทันหมด ก็ได้ยินเสียงร้องตะโกนของเด็กน้อยทั้งสอง นึกว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ไม่ทันได้วางถ้วยชาลง ก็ลนลานวิ่งออกมาถามไถ่ “เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งมาตรงหน้านางพร้อมกัน ส่งเสียงพูดดังลั่น “ท่านพี่ พวกเราอยากได้กระเป๋านักเรียนสวยๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตะลึงค้าง พอเห็นกระเป๋านักเรียนที่เมิ่งเจี๋ยสะพายก็ได้สติคืนมา ถอนใจโล่งอก แย้มยิ้มพูด “พวกเจ้าไม่ได้จะไปโรงเรียน จะเอากระเป๋านักเรียนไปทำสิ่งใด”
เด็กทั้งสองดึงแขนของนาง พูดรบเร้า “ท่านพี่ พวกเราก็อยากไปเรียนหนังสือในเมือง พวกเราอยากได้กระเป๋านักเรียนใหม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลัวจะลวกโดนพวกเขา ยกถ้วยชาขึ้นสูง พูดว่า “พวกเจ้ายังอายุน้อยเกินไป โรงเรียนในเมืองยังไม่รับพวกเจ้า”
เด็กน้อยทั้งสองรู้สึกผิดหวัง ร้อนใจจนเกือบร้องไห้ออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเช่นนั้นรีบร้อนพูด “แต่ว่า อีกไม่นานจะจัดตั้งโรงเรียนในหมู่บ้าน หากพวกเจ้ารับปากจะไปเข้าเรียน และตั้งใจเล่าเรียนตามที่อาจารย์สอน พี่รับปากจะทำกระเป๋านักเรียนให้พวกเจ้าคนละใบ”
เด็กน้อยทั้งสองรีบรับคำ “พวกเรารับปาก พวกเรารับปาก ท่านพี่รีบทำกระเป๋านักเรียนสวยๆ ให้พวกเราเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขัดพวกเขาไม่ได้ พยักหน้ารับคำ “ได้ๆๆ พี่จะทำกระเป๋านักเรียนให้พวกเจ้า”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงดีใจกระโดดโลดเต้น
เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำร้อนในมือจิบหนึ่ง ถึงพูดกับเด็กทั้งสอง “แต่ว่า พี่เพียงวาดรูปกระเป๋านักเรียนได้ พวกเจ้ายังต้องให้ท่านแม่ช่วยเย็บให้พวกเจ้าด้วย”
เด็กน้อยทั้งสองพรวดพราดวิ่งเข้าไปในบ้าน รบเร้าให้เมิ่งชื่อช่วยเย็บกระเป๋านักเรียนให้พวกเขา
เมิ่งชื่อกำลังว่างไม่มีอะไรทำ พยักหน้ารับปากโดยพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามาในบ้าน วางถ้วยชาลง หันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิง “พวกเจ้าไปเอากระดาษพู่กันมา พี่จะวาดลวดลายไม่เหมือนกันให้สองสามแบบ พวกเจ้าเลือกดูว่าชอบแบบไหน จากนั้นให้ท่านแม่ช่วยปักลวดลายนั้นให้”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งเร็วจี๋ไปในบ้านที่เมิ่งเสียนและคนอื่นๆ อยู่อาศัย หยิบกระดาษพู่กันออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กันขึ้น วาดลวดลายที่แตกต่างกันบนกระดาษ ให้ทั้งสองคนเลือก
เมิ่งเจี๋ยเลือกภาพวินนี่เดอะพูห์ เมิ่งชิงเลือกภาพสพันจ์บ๊อบ
เมิ่งเชี่ยนโยววางรูปภาพทั้งสองไว้ตรงหน้าเมิ่งชื่อ
เมิ่งชื่อถามอย่างประหลาดใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าวาดสิ่งใดกัน แปลกประหลาดนัก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตอบ “ท่านแม่ นี่เป็นภาพที่ข้าเห็นในที่แห่งนั้น เด็กๆ ชอบกันมาก ท่านปักตามลวดลายนี้ก็พอ” พูดจบยังบอกเมิ่งชื่ออีกว่าต้องปักเป็นสีอะไรบ้าง
เมิ่งชื่อตั้งใจฟัง แล้วจดจำไว้ จากนั้นไปหาเนื้อผ้าที่เหมาะสมมาทำกระเป๋านักเรียน
เด็กน้อยทั้งสองต่างแลกกันสะพายกระเป๋าของเมิ่งอี้เซวียนอีกครู่หนึ่ง ถึงยอมคืนให้เขาอย่างอาวรณ์
เมิ่งชื่อได้เนื้อผ้าก็เริ่มลงมือเย็บกระเป๋านักเรียนให้พวกเขา
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงห้อมล้อมเมิ่งชื่อ เอาแต่ถามนางว่าเมื่อไหร่ถึงจะทำเสร็จ
เมิ่งชื่อด้านหนึ่งทำกระเป๋านักเรียน ด้านหนึ่งตอบคำถามพวกเขาอย่างไม่แหนงหน่าย
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มพูดกับเด็กน้อยทั้งสอง “พวกเจ้าอย่ารบกวนท่านแม่ทำกระเป๋านักเรียน พี่พาพวกเจ้าไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่ดีหรือไม่”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงรู้ว่าเมิ่งชื่อคงทำไม่เสร็จในทันที จึงออกไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่กับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างสนุกสนาน
เวลาผ่านไปไว พริบตาเดียวก็ถึงวันที่เมิ่งอี้เซวียนต้องไปโรงเรียนแล้ว
ฟ้ายังไม่สาง เมิ่งชื่อก็ทำอาหารเช้าเสร็จแล้ว เห็นเมิ่งอี้เซวียนและเมิ่งเสียนกินอาหารเช้าเสร็จ ก็พูดกำชับกับเมิ่งอี้เซวียนอีกรอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้นาง “ท่านแม่ คืนนี้อี้เซวียนก็กลับมาแล้ว ท่านเอาแต่พูดกำชับไม่หยุดเช่นนี้ คนอื่นเห็นเข้าได้คิดว่าเขาจะไม่กลับมาแล้ว”
เมิ่งชื่อก็รู้สึกว่าตนเองเป็นห่วงเกินเหตุไปแล้ว จึงหัวเราะตอบ “แม่ก็แค่เป็นห่วงว่าอี้เซวียนไปโรงเรียนวันแรกจะปรับตัวไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “มีอะไรปรับตัวไม่ได้กัน ก็แค่เรียนหนังสือ อาจารย์สอนสิ่งใดก็เรียนสิ่งนั้นเท่านั้น ยังจะทำสิ่งใดได้อีกเล่า” เดิมนางเพียงต้องการพูดล้อเล่น กลับไม่คิดว่าการเรียนวันแรกของเมิ่งอี้เซวียนจะเกิดเรื่องที่พวกเขาไม่คาดฝันขึ้นจริงๆ
หลังจากกินอาหารเช้า เมิ่งอี้เซวียนหยิบกระเป๋านักเรียนที่เตรียมไว้แล้วขึ้นสะพายหลัง
เมิ่งเชี่ยนโยวให้เงินเขาสองตำลึง พูดว่า “นี่เป็นเงินค่าอาหารเที่ยงเดือนนี้ของเจ้า เจ้าเก็บไว้ให้ดี เมื่อไปถึงโรงเรียน นำไปมอบให้อาจารย์”
เมิ่งอี้เซวียนรับมาอย่างยินดี ขึ้นรถม้าที่เมิ่งเสียนบังคับออกมา ควบไปยังโรงเรียนในเมือง
ตอนที่ทั้งสองคนมาถึงหน้าประตูโรงเรียน อาจารย์ที่รับลงทะเบียนเห็นเขาตั้งแต่แวบแรก เดินเข้ามาทักทายเขา
เมิ่งอี้เซวียนเดินเข้าหา กล่าวทักทายอาจารย์อย่างมีมารยาท ทั้งหยิบเงินสองตำลึงออกมาจากอกเสื้อ มอบให้เขา บอกว่าเป็นเงินค่าอาหารเที่ยงของตนเองเดือนนี้
อาจารย์รับมาเพียงหนึ่งตำลึง พูดว่า “เจ้าเพียงกินอาหารที่โรงเรียนมื้อเดียว หนึ่งตำลึงก็พอแล้ว” พูดจบ ก็เรียกอาจารย์ที่สอบวัดระดับให้เมิ่งอี้เซวียนเมื่อวานเข้ามา ให้เขาพาเมิ่งอี้เซวียนเข้าไปจัดเตรียมห้องเรียนที่เหมาะสมให้
เมิ่งอี้เซวียนหันไปโบกมือให้เมิ่งเสียน จึงเดินตามอาจารย์เข้าไป
เมิ่งเสียนเห็นเมิ่งอี้เซวียนเดินตามอาจารย์เข้าไปแล้ว ถึงบังคับรถม้ากลับบ้านอย่างสบายใจ
หลังจากเมิ่งอี้เซวียนตามอาจารย์มาถึงห้องเรียน นักเรียนทั้งหมดต่างก็มองเด็กชายหน้าตางดงามที่เพิ่งเข้ามาอย่างฉงน
อาจารย์กำหนดที่นั่งให้เขา เมิ่งอี้เซวียนนั่งลงอย่างสงบนิ่ง วางกระเป๋านักเรียนลง หยิบเครื่องเขียนออกมาวางไว้บนโต๊ะ
ห้องเรียนนี้มีแต่บุตรหลานเศรษฐีที่ค่อนข้างโต เดิมก็ประหลาดใจที่มีเด็กอายุน้อยมาเรียนห้องนี้ พอเห็นกระเป๋านักเรียนแปลกใหม่ที่เมิ่งอี้เซวียนสะพายมา พลันถลึงตาเบิกโพลง เข้ามาล้อมดูอย่างอดใจไม่ได้
เมิ่งอี้เซวียนรีบวางกระเป๋านักเรียนไว้ใต้โต๊ะ
เด็กชายอายุราวสิบสามสิบสี่ปี แต่งกายด้วยชุดผ้าไหมเห็นเขาเก็บกระเป๋านักเรียนขึ้น แค่นเสียงหึ พูดอย่างดูแคลน “จากการแต่งกายของเจ้า ดูก็รู้ว่าเป็นเด็กที่มาจากบ้านนอก ก็แค่กระเป๋าเชยๆ ใบหนึ่ง ไยต้องนำมาโอ้อวด”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้ปริปาก ก้มหน้าเปิดกล่องเครื่องเขียนของตัวเองเงียบๆ
เด็กชายเห็นเครื่องเขียนธรรมดาตรงหน้าเขา หันไปพูดกับนักเรียนคนอื่น “ข้าหาได้พูดผิดไม่ พวกเจ้าดูสิ่งของที่เขาใช้ ก็รู้ได้ว่าบ้านเขายากจนเพียงใด บางทีแม้แต่ข้าวก็กินไม่อิ่มท้อง กระเป๋านักเรียนของเขายังไม่รู้ว่าได้มาจากที่ใด”
เด็กคนอื่นพยักหน้า
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก ยังคงไม่พูดอะไร
อาจารย์นำหนังสือเรียนที่เตรียมไว้แล้วมาให้เมิ่งอี้เซวียน เด็กๆ เห็นอาจารย์ รีบกลับไปนั่งประจำที่
หลังจากอาจารย์ส่งหนังสือให้เมิ่งอี้เซวียนแล้ว ก็เริ่มทำการสอน คงเพราะเปิดเรียนวันแรก อาจารย์สอนสั่งแต่เรื่องง่ายๆ เมิ่งอี้เซวียนรวบรวมสมาธิตั้งใจฟังครู่หนึ่ง พบว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองเคยเรียนแล้ว จึงหมดความสนใจ ฟุบตัวไปกับโต๊ะเอาแต่เล่นกับกระเป๋านักเรียน
อาจารย์ที่โรงเรียนกับครูสอนหนังสือในชนบทไม่เหมือนกัน ครูสอนหนังสือในชนบทเพียงแค่สอนเด็กในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงให้อ่านออกเขียนได้ก็พอ แต่อาจารย์ในโรงเรียนสอนเพื่อให้ผู้เรียนเข้าสอบเป็นขุนนาง ดังนั้นจะมีความเข้มงวดมากกว่าครูสอนหนังสือตามชนบท อาจารย์ผู้สอนเห็นเมิ่งอี้เซวียนไม่ตั้งใจฟังการสอน ทั้งยังฟุบไปบนโต๊ะเรียน เกิดความขุ่นมัว ร้องตวาดเสียงดัง “เมิ่งอี้เซวียน ลุกขึ้น”
เมิ่งอี้เซวียนได้ยินเสียงเรียก พรวดพราดลุกขึ้นยืน
เด็กคนอื่นๆ มองเขาอย่างดีใจบนความทุกข์ของผู้อื่น
อาจารย์ถือไม้บรรทัดเดินมาตรงหน้าเขา พูดเสียงเข้ม “ตอนที่ข้าสอนหนังสือ เหตุใดเจ้าถึงไม่ตั้งใจฟังคำสอน ยื่นมือของเจ้าออกมา ข้าจะตีฝ่ามือเจ้าเป็นการลงโทษ”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ยื่นมือออกมา แต่กลับพูดเสียงแผ่ว “ท่านอาจารย์ ที่ท่านสอนข้าเรียนรู้หมดแล้ว จึงไม่ตั้งใจฟังคำสอน”
อาจารย์พูดอย่างฉุนเฉียว “อายุเพียงเท่านี้ กล้าพูดจาโป้ปด ที่ข้าสอนไปเป็นเนื้อหาใหม่ เจ้าจะเรียนรู้ได้ทั้งหมดภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้อย่างไร”
เมิ่งอี้เซวียนเม้มริมฝีปาก พูดเสียงเบา “อาจารย์ทดสอบข้าก็ได้ หากข้าตอบไม่ได้ ท่านค่อยลงโทษข้าก็ไม่สาย”
อาจารย์พูดอย่างมีน้ำโห “ได้ ข้าจะทดสอบเจ้า หากเจ้าตอบไม่ได้ ดูว่าข้าจะลงโทษเจ้าเช่นไร”
นักเรียนทั้งหมดต่างมองเขาอย่างคึกคัก คิดว่าอีกประเดี๋ยวเขาจะถูกลงโทษเช่นไร