ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 134.3
อาจารย์เดินไปหน้าห้อง หยิบหนังสือขึ้น บอกให้เมิ่งอี้เซวียนท่องเนื้อหาที่เขาเพิ่งสอนไปก่อนหน้านี้ออกมาห้ามตกหล่นแม้เพียงคำเดียว
เมิ่งอี้เซวียนท่องเสียงดังอย่างไม่รีบไม่ร้อน
พอเขาทนจบ อาจารย์ก็อ้าปากค้าง มองเขาอย่างไม่เชื่อ
นักเรียนคนอื่นๆ ต่างตกตะลึงพรึงเพริด
เด็กชายที่พูดกับเขาเมื่อครู่กลิ้งกลอกนัยน์ตา เดินมาข้างโต๊ะเรียนเมิ่งอี้เซวียนหยิบหนังสือเรียนที่วางตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียนออก หันไปพูดกับอาจารย์ “ท่านอาจารย์ เมื่อครู่ไม่นับ ใครจะไปรู้ว่าเขาแอบดูหนังสือหรือไม่”
อาจารย์ก็ไม่เชื่อว่าเขาจะจดจำสิ่งที่ตนเองเพิ่งสอนไปในเวลาอันสั้นแค่นี้ได้ ได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า เดินไปตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “ตอนนี้ให้เจ้าท่องเนื้อหาต่อจากนี้ที่ข้าสอนอีกรอบ”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ท่องเนื้อหาครึ่งหลังออกมา
ครั้งนี้นักเรียนทุกคนจ้องมองเขาอย่างไม่กะพริบตา เห็นเขาท่องได้จริงๆ ต่างก็มองเขาเหมือนมองสัตว์ประหลาด
อาจารย์ตบหนังสือในมือไปที่โต๊ะดัง “ป๊าบ” พูดอย่างตื่นเต้นยินดี “อัจฉริยะ อัจฉริยะ” พูดจบก็พรวดพราดเดินออกไปจากห้องเรียน ไปบอกข่าวดีนี้กับอาจารย์ฝ่ายปกครอง
ในห้องเรียนเกิดเป็นความอึกทึกครึมโครม เด็กๆ ต่างจับกลุ่มกัน ซุบซิบนินทาเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งอี้เซวียนกลับไปนั่งที่เก้าอี้ด้วยสีหน้าปกติ ฟุบไปกับโต๊ะเล่นกระเป๋านักเรียนต่อ
อาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ผู้สอนเดินเข้ามาในห้องเรียนพร้อมกันอย่างตื่นเต้นยินดี อาจารย์ชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วพูด “ก็คือเขา เมิ่งอี้เซวียนที่เพิ่งมาใหม่วันนี้”
เมิ่งอี้เซวียนรีบลุกขึ้นยืน
อาจารย์ฝ่ายปกครองมองประเมินเขาขึ้นลงรอบหนึ่ง พูดว่า “ข้าได้ยินอาจารย์พูดแล้ว เนื้อหาที่เขาเพิ่งสอนไปเจ้าจดจำได้อย่างรวดเร็ว ใช่หรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าตามความสัตย์จริง พูดว่า “สิ่งที่อาจารย์สอนวันนี้ท่านปู่เคยสอนข้าแล้ว”
อาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ต่างตะลึงค้าง อาจารย์ฝ่ายปกครองถามอีก “ปู่เจ้ามีความรู้มากเช่นนี้ เหตุใดถึงต้องให้เจ้ามาเล่าเรียนที่นี่”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ท่านปู่เตรียมจะให้ข้าสอบถงเซิงปีนี้ ให้ข้ามาเรียนรู้การเขียนบทความที่โรงเรียน”
อาจารย์ฝ่ายปกครองตกใจถาม “ปู่เจ้าเป็นใคร”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ปู่ข้าคือเมิ่งจงจวี่”
อาจารย์ฝ่ายปกครองถามอย่างเร่งเร้า “ปู่เจ้าคือเมิ่งจงจวี่ เมิ่งจงจวี่ที่มีบุตรชายคนโตอายุเพียงสิบสามปีก็สอบถงเซิงได้”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
“ถึงว่าเจ้าอายุเพียงเท่านี้แม้แต่ความรู้ที่ล้ำลึกเช่นนี้ก็ศึกษามาแล้ว ที่แท้ปู่เจ้าก็คือเมิ่งจงจวี่” อาจารย์ฝ่ายปกครองพูดงึมงำ
คนชนบทที่สอบซิ่วไฉได้มีไม่มาก ทั้งยังเป็นซิ่วไฉรุ่นเก่าที่สอบได้มานาน เหล่าอาจารย์ย่อมต้องเคยได้ยินบ้าง พอได้ยินคำพูดของอาจารย์ฝ่ายปกครอง ก็พยักหน้าเห็นพ้อง
อาจารย์ฝ่ายปกครองถามอีก “นอกจากหนังสือสี่ตำราห้าคัมภีร์ที่อาจารย์สอน เจ้ายังรู้เนื้อหาหนังสือใดอีก”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “คัมภีร์หลุนอวี่ ชุนชิว พิชัยสงครามจ้านกั๋ว คัมภีร์ซือจิง ข้าเคยเรียนมาหมดแล้ว”
อาจารย์ฝ่ายปกครองและอาจารย์ถลึงตาโตพร้อมกัน พูดว่า “เจ้าเรียนรู้ทั้งหมดแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
ทั้งสองหันหน้าสบตากัน อาจารย์หยิบคัมภีร์ซือจิงตรงหน้าเมิ่งอี้เซวียนขึ้นมา ถามขึ้น “ข้าจะอ่านสิ่งที่อยู่ในหนังสือหนึ่งประโยค เจ้าสามารถท่องต่อจากนั้นออกมาได้หรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “ได้”
อาจารย์พลิกหน้าหนังสือผ่านๆ หาส่วนที่อยู่กลางหน้า อ่านขึ้นประโยคหนึ่ง เมิ่งอี้เซวียนท่องตอนที่ต่อจากนั้นออกมาได้ทันที
เมื่อเขาหยุดพูด อาจารย์ก็พลิกไปอีกหน้า หาส่วนที่อยู่ด้านหลังสุดอ่านขึ้นประโยคหนึ่ง
เมิ่งอี้เซวียนยังคงท่องเนื้อหาหลังจากนั้นออกมาได้เช่นเดิม
ทำเช่นนี้ซ้ำไปมาหลายครั้ง อาจารย์ถึงยอมเชื่อแล้วว่าเมิ่งอี้เซวียนจำเนื้อหาในคัมภีร์ซือจิงได้ทั้งหมดจริงๆ หันไปพยักหน้ากับอาจารย์ฝ่ายปกครองอย่างยินดี อาจารย์ฝ่ายปกครองปลาบปลื้มใจ พูดกับอาจารย์ว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ต่อไปเจ้าจงสอนเขาว่าต้องเขียนบทความอย่างไรตัวต่อตัวเถอะ ส่วนเวลาที่เจ้าสอนหนังสือ หากเขาไม่ได้ก่อกวนอะไร ก็ไม่ต้องสนใจเขา”
อาจารย์พยักหน้า
อาจารย์ฝ่ายปกครองจากไปอย่างชื่นบาน
เด็กคนอื่นมองเมิ่งอี้เซวียนอย่างอิจฉา
เมิ่งอี้เซวียนไม่สนใจ นั่งประจำที่ของตนเองเงียบๆ
อาจารย์สอนหนังสือต่อ
เมิ่งอี้เซวียนก็ก้มหน้าเล่นกระเป๋านักเรียนของตัวเองต่อ
อาจารย์สอนเสร็จสองคาบ ก็ถึงเวลาพักเที่ยง
เมิ่งอี้เซวียนสะพายกระเป๋านักเรียน ไปกินอาหารที่โรงอาหาร
ที่โรงอาหารมีอุปกรณ์รับประทานอาหารที่โรงเรียนเตรียมไว้ให้แล้ว พอเมิ่งอี้เซวียนได้รับ ก็นำไปรับอาหารหาที่นั่งสงบๆ กินจนหมด
คนที่กินข้าวในโรงอาหารล้วนเป็นเด็กกินนอน เห็นเด็กใบหน้างดงามนั่งกินข้าวเพียงลำพัง รู้สึกข้องใจ พอมานั่งกินข้าวด้วยกัน ต่างก็ชี้ไม้ชี้มือซุบซิบนินทาเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งอี้เซวียนแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน กินข้าวอย่างสงบนิ่ง เมื่อล้างถ้วยตะเกียบเสร็จ นำไปวางเข้าที่ แล้วเดินกลับไปที่ห้องเรียน
บุตรหลานเศรษฐีในห้องเรียนต่างมีเด็กรับใช้ส่งอาหารกลางวันมาให้ กำลังล้อมวงกินข้าว ถกเถียงกันว่าวันนี้บ้านใครทำอาหารได้อร่อยกว่ากัน พอเห็นเมิ่งอี้เซวียนเดินเข้ามา เด็กที่พูดถากถางเขาตอนเช้ารีบพูดเสียงดัง “ท่องคัมภีร์ซือจิงได้ทั้งหมดก็แล้วอย่างไร ก็ยังเป็นเป็นเด็กยากจน ต้องไปกินข้าวโรงอาหาร ของพรรค์นั้น เทให้สุนัขบ้านข้ายังไม่กิน”
เด็กคนอื่นๆ หัวเราะร่วน
เมิ่งอี้เซวียนไม่ปริปาก กลับไปนั่งประจำที่ตัวเองเงียบๆ
เด็กคนนั้นเห็นเมิ่งอี้เซวียนไม่พูดอะไร นึกว่าเขากลัว จึงพูดอย่างลำพองใจอีก “ดูอาหารของพวกเราเถิด ล้วนเป็นอาหารที่แม่ครัวเตรียมให้อย่างพิถีพิถัน คนบางคนชาตินี้ก็ไม่มีทางได้กิน” พูดจบยังจงใจกินคำใหญ่
บุตรหลานเศรษฐีโดยรอบต่างพยักหน้าเห็นพ้อง
เมิ่งอี้เซวียนยังคงไม่ปริปาก หลับตาลง ทำการฝึกฝนจิตคณิตที่เมิ่งเชี่ยนโยวสอน
เด็กที่ยุแยงเห็นเขาไม่ยอมพูดอะไร ก็ยิ่งได้ใจ เอาแต่พูดถากถางเสียดสีคำแล้วคำเล่าไม่หยุด
เมิ่งอี้เซวียนหาได้สนใจไม่
สิ้นสุดเวลาพักเที่ยง เด็กรับใช้ของแต่ละบ้านทยอยกันเก็บอุปกรณ์กินอาหารของบ้านตัวเองออกไปจากโรงเรียน
อาจารย์มาทำการสอน เมิ่งอี้เซวียนยังคงนั่งเล่นกระเป๋านักเรียนบนโต๊ะเงียบๆ
การเรียนการสอนในโรงเรียนหนึ่งวันมีสี่คาบ ครึ่งเช้าสองคาบ ครึ่งบ่ายสองคาบ ระหว่างคาบจะมีเวลาให้พักสองเค่อ
วิชาแรกในครึ่งบ่ายสอนเสร็จ เมิ่งอี้เซวียนรู้สึกปวดท้อง จึงรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ
เด็กชายที่คอยหาเรื่องยั่วยุเห็นเขาวางกระเป๋านักเรียนไว้ใต้โต๊ะ กลิ้งกลอกนัยน์ตา หันไปกวักมือเรียกเด็กอีกสองสามคน
เด็กสองสามคนนั้นรีบวิ่งเข้ามาประจบสอพลอ
เด็กชายที่ยั่วยุพูดกระซิบกระซาบกับเด็กพวกนั้น
เด็กพวกนั้นมองกระเป๋านักเรียนของเมิ่งอี้เซวียนแวบหนึ่ง รู้สึกลังเล
เด็กชายที่ยั่วยุพูดข่มขู่ “หากใครไม่ทำ ต่อไปมีเรื่องอะไรไม่ต้องมาขอให้ข้าช่วย”
เด็กพวกนั้นได้ฟัง หันหน้ามองกัน เด็กชายคนหนึ่งเดินไปที่โต๊ะเมิ่งอี้เซวียน หยิบกระเป๋านักเรียนเขาออกมา เขวี้ยงลงกับพื้นเต็มแรง ทั้งใช้เท้าเตะอีกสองสามครั้ง เด็กคนอื่นที่เหลือก็เดินเข้ามา เหยียบไปบนกระเป๋านักเรียนหลายครั้ง กระเป๋านักเรียนใบใหม่สกปรกกระดำกระด่างพลัน
เมิ่งอี้เซวียนออกมาจากห้องน้ำรีบวิ่งกลับมา เห็นเด็กคนสุดท้ายใช้รองเท้าสกปรกเหยียบกระเป๋านักเรียนของตัวเองพอดี บันดาลโทสะ วิ่งเข้าไปผลักเด็กคนนั้น ร้องตะโกนเสียงดัง “เจ้าทำอะไร”
เด็กคนนั้นถูกผลักถอยไปหลายก้าว กระแทกเข้ากับโต๊ะหนังสือ เจ็บจนร้องเสียงหลง
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้สนใจเขา เก็บกระเป๋านักเรียนบนพื้นขึ้น เห็นกระเป๋าถูกเหยียบจนสกปรกดูไม่ได้ นัยน์ตาพลันเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา พยายามปัดคราบสกปรกบนกระเป๋านักเรียนออก
เด็กที่ยั่วยุเห็นเมิ่งอี้เซวียนกล้าลงมือผลักคน ก็เกิดอารมณ์ เดินมาตรงหน้าเขาอย่างโกรธเกรี้ยวพูดว่า “เจ้ากล้าลงมือ รีบขอโทษพวกเราเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้นพวกเราจะอัดเจ้าจนเจ้าจำหน้าพ่อแม่ไม่ได้”
เมิ่งอี้เซวียนราวกับว่าไม่ได้ยิน ยังคงปัดกระเป๋านักเรียนตัวเองสุดชีวิต
เด็กชายเดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว แย่งกระเป๋านักเรียนในมือเขามา ขว้างไปที่พื้นสุดแรง ใช้เท้าเหยียบขยี้
เมิ่งอี้เซวียนโมโหเลือดขึ้นตา ใช้หัวกระแทกใส่
เด็กชายไม่คิดว่าเมิ่งอี้เซวียนจะกล้ากระแทกใส่เขา ไม่ทันได้ป้องกัน ถูกกระแทกจนถอยหลังไปสองก้าว ชนกับโต๊ะเรียน เจ็บจนหน้าเหยเก
เด็กชายโกรธเกรี้ยว หันไปตวาดคนที่เหลือ “สั่งสอนมันให้สาสม” พูดจบก็พุ่งตัวใส่ ซัดกันนัวเนียกับเมิ่งอี้เซวียน
เด็กที่เหลือเห็นเด็กชายลงมือ ต่างก็ทยอยกันเข้ารุมทำร้ายเมิ่งอี้เซวียน
คนทั้งหมดซัดกันนัวเนีย โต๊ะและเก้าอี้ในห้องล้มระเนระนาด
เด็กที่เป็นกลางเห็นเด็กหลายคนเข้ารุมทำร้ายเมิ่งอี้เซวียน อยากจะเข้าไปห้ามก็ไม่กล้า ใคร่ครวญครู่หนึ่ง แล้วรีบวิ่งออกไปหาอาจารย์
ตอนที่อาจารย์ตาลีตาลานเข้ามา ภายในห้องเรียนก็ไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว
อาจารย์โมโหจนสั่นไปทั้งตัว ร้องตวาดเสียงดังสนั่น “ทุกคนหยุดเดี๋ยวนี้!”
นักเรียนที่ดูเรื่องสนุกได้ยินเสียงคำรามดังลั่นของเขา พากันหดหัวถอยไปอยู่อีกด้าน
กลุ่มคนที่วิวาทกันราวกับไม่ได้ยินเสียงร้องของอาจารย์ ยังคงตะลุมบอนกันไม่เลิก
อาจารย์เดือดดาล หยิบไม้บรรทัดบนโต๊ะเคาะสุดแรงเกิดหลายครั้ง แล้วพูดกับคนทั้งหมด “หากยังไม่หยุด จะไล่พวกเจ้าทั้งหมดออก!”
คนทั้งหมดถึงได้ยิน รีบรามือ ลุกขึ้นยืน
อาจารย์สอนหนังสือมาหลายปี วันนี้เป็นครั้งแรกที่เจอเหตุการณ์นักเรียนทะเลาะวิวาท โมโหจนตัวสั่น พูดกับคนทั้งหมด “พวกเจ้าทั้งหมด…” แต่พอเห็นสภาพของทุกคนก็พูดไม่ออก
นักเรียนที่ทะเลาะวิวาทต่างเต็มไปด้วยสีสัน แต่ละคนจมูกเขียวหน้าบวมแดง โดยเฉพาะเมิ่งอี้เซวียน ใบหน้ารูปไข่งดงามนั้นมีบาดแผลหลายแห่ง ทั้งมีเลือดไหลซึมออกมาไม่ขาด
อาจารย์สูดลมเย็นเข้าปาก เดินไปตรงหน้าเขา ตรวจดูอย่างละเอียดรอบหนึ่ง พบว่าบาดแผลไม่ลึก น่าจะเป็นรอยมือข่วนตอนทะเลาะวิวาท พลันโล่งอกไปเปราะหนึ่ง ไม่เป็นอะไรมากก็ดี ดูแล้วบ้านของเมิ่งอี้เซวียนก็ไม่น่าจะใช่ครอบครัวธรรมดา หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นจริงๆ บ้านพวกเขาเกิดสืบสาวเอาความขึ้นมา เขาที่เป็นอาจารย์มีส่วนต้องรับผิดชอบ
อาจารย์หยิบไม้บรรทัด ถามคนทั้งหมดอย่างขึงขัง “พวกเจ้าพูดมา เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
นักเรียนคนหนึ่งเสนอหน้าพูดบิดเบือนก่อน เขาชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วพูด “เขาทำร้ายพวกเราก่อน”
คนที่เข้าร่วมวิวาทต่างทยอยเห็นพ้อง
อาจารย์มุ่นหัวคิ้วถาม “เมิ่งอี้เซวียน เหตุใดเจ้าต้องลงมือทำร้ายพวกเขา”
เมิ่งอี้เซวียนมองพวกเขาเหมือนมองศัตรู ไม่ได้พูดอะไร
อาจารย์พูดเสียงดัง “เมิ่งอี้เซวียน ข้าถามเจ้า หากเจ้ายังไม่ตอบ พรุ่งนี้ไม่ต้องมาโรงเรียน โรงเรียนของเราไม่รับนักเรียนที่ชอบก่อเรื่องวิวาทเช่นเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนหันหลังมาที่โต๊ะหนังสือของตัวเอง ควานหากระเป๋านักเรียนสกปรกกระดำกระด่างบนพื้นที่เละเทะยุ่งเหยิง แล้วหันไปพูดกับอาจารย์ “พวกเขาฉวยโอกาสตอนที่ข้าไปเข้าห้องน้ำ นำกระเป๋านักเรียนของข้ามาตั้งใจเหยียบย่ำจนมีสภาพเช่นนี้ ข้าถึงได้ลงมือกับพวกเขา”
ตอนเช้าที่เมิ่งอี้เซวียนเพิ่งมาถึง อาจารย์ก็สังเกตเห็นกระเป๋านักเรียนของเขาแล้ว ตอนนั้นก็ตกตะลึงเล็กน้อยที่บ้านของเขามีความคิดที่เลิศล้ำนัก ทำกระเป๋านักเรียนที่ละเอียดลออเช่นนี้ออกมาได้ ตอนนี้เห็นกระเป๋านักเรียนที่ถูกเหยียบจนไม่เหลือเค้าเดิม พลันขมวดคิ้วแน่น หันไปถามนักเรียนเหล่านั้น “พวกเจ้าเหตุใดต้องเหยียบกระเป๋านักเรียนของเขา”
นักเรียนทั้งหมดต่างหันมามองนักเรียนที่เอาแต่ยั่วยุเมิ่งอี้เซวียนเป็นตาเดียว
อาจารย์เห็นเป็นเขาอีกแล้ว พูดอย่างปวดหัว “ซุนเหลียงไฉ เป็นเจ้าที่บงการอีกแล้ว”
ซุนเหลียงไฉตอบอย่างมีเหตุผลหนักแน่น “ข้าเป็นคนบงการแล้วอย่างไร เขาอยากไม่สนใจไยดีข้าทำไม ข้าเพียงเห็นเขาแล้วขวางหูขวางตาไม่ได้หรือ”
ครอบครัวซุนเหลียงไฉทำการค้ามาหลายชั่วอายุคน มีเงินทองไม่น้อย พอมีชื่อเสียงอยู่ในตำบลชิงซีแห่งนี้ ถือได้ว่าเป็นครอบครัวใหญ่ พอมาถึงรุ่นของซุนเหลียงไฉ กลับมีเขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียว ครอบครัวตามใจจนเสียคนตั้งแต่เด็ก ทำให้เขากลายเป็นคนชอบวางอำนาจบาตรใหญ่ เกะกะระรานคนไปทั่ว เดิมซุนเหลียงไฉไม่จำเป็นต้องมาเรียนหนังสือ เพียงเติบโตอย่างอยู่รอดปลอดภัย รับสืบทอดกิจการของที่บ้านก็พอ แต่ไม่รู้ว่าปู่ของเขาคิดอะไร หมายจะเลี้ยงให้ซุนเหลียงไฉเป็นบัณฑิตให้ได้ ถึงขอร้องคนให้เขาเข้ามาเรียนหนังสือที่นี่
นักเรียนแบบนี้ปกติแล้วโรงเรียนจะไม่รับไว้ ไม่เพียงเรียนไม่ดี ยังชอบทะเลาะวิวาท ส่งผลกระทบกับนักเรียนคนอื่น ทั้งยังจะพานักเรียนที่จิตใจไม่เข้มแข็งพอให้เสียคนไปด้วย แต่ปู่ของซุนเหลียงไฉบริจาคเกินก้อนใหญ่ บอกว่าเพื่อสร้างอาคารเรียนหลังใหม่ ครูใหญ่หวั่นไหว จึงรับปากรับซุนเหลียงไฉเข้ามา
หลังจากที่ซุนเหลียงไฉมาแล้ว มักก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน แต่ยังไม่เคยลงมือทำร้ายใคร แม้ทุกครั้งที่อาจารย์เห็นเขาจะปวดเศียรเวียนเกล้า แต่ก็ไม่เคยโมโหจริงจัง พอได้ยินคำตอบอย่างไม่กลัวเกรงของเขาก็เดือดดาล พูดกับเขาเสียงดัง “พรุ่งนี้ให้ผู้ปกครองของเจ้ามาที่นี่ ข้าจะถามว่า เจ้าจะมาเรียนหนังสือ หรือจะมาทะเลาะวิวาท”
ซุนเหลียงไฉพูดอย่างไม่ยอม “ข้ามิได้ทะเลาะเพียงผู้เดียว มีสิทธิ์อะไรเรียกผู้ปกครองข้าแค่คนเดียว”
อาจารย์มองคนทั้งหมดแวบหนึ่ง รวมถึงเมิ่งอี้เซวียนด้วย พูดกับคนทั้งหมดอย่างขึงขัง “พรุ่งนี้พวกเจ้าทั้งหมดจงเรียกผู้ปกครองมาด้วย ไม่เช่นนั้นต่อไปไม่ต้องมาเรียนหนังสืออีก”