ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 135.2
วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนนั่งรถม้ามาถึงโรงเรียนในเมืองด้วยกัน
อาจารย์เวรก็คืออาจารย์ที่รับผิดชอบการลงทะเบียนวันนั้น พอเห็นเมิ่งอี้เซวียนกับเด็กสาวที่อายุมากกว่าเขาหน่อยเดินมา นึกว่ามาส่งเมิ่งอี้เซวียนเข้าเรียน รู้สึกประหลาดใจ ลอบคิด ตอนลงทะเบียนไม่เห็นคนในครอบครัวมาด้วย เหตุใดมาเข้าเรียนวันที่สองถึงมีคนในครอบครัวมาส่ง
เมิ่งอี้เซวียนเดินมาตรงหน้าอาจารย์ กล่าวทักทายอย่างมีมารยาท แล้วบอกเรื่องที่อาจารย์ผู้สอนให้พาคนในครอบครัวมาด้วยกับเขา
เมื่อวานอาจารย์เวรได้ยินเรื่องที่มีคนวิวาทกันในห้องเรียนแล้ว แต่ไม่รู้เรื่องที่ให้เรียกคนในครอบครัวมา ได้ฟังก็พูดว่า “อาจารย์ผู้สอนพวกเจ้ามิได้บอกเรื่องนี้กับข้า ให้คนในครอบครัวเจ้ารอด้านนอกก่อน ข้าจะไปถามอาจารย์พวกเจ้าก่อนค่อยให้นางเข้าไป”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า มองดูเวลายังเช้า จึงยืนรออยู่หน้าประตูโรงเรียนพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
รถม้าหรูหราคันหนึ่งเข้ามาจอดเทียบ ซุนเหลียงไฉลงมาจากรถม้า เห็นเมิ่งอี้เซวียนและเด็กสาวที่รุ่นราวคราวเดียวกับตนเองยืนอยู่หน้าประตู พูดเย้ยหยัน “ถึงว่าเจ้าช่างแร้นแค้นนัก ที่แท้ก็ไม่มีพ่อแม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว
บนรถม้ามีชายวัยกลางคนและชายชราเดินตามลงมา
ชายชราลงมาก็ได้ยินคำพูดเยาะหยันของซุนเหลียงไฉ จึงพูดเอ็ด “ไฉเอ๋อร์ พูดเช่นนี้ได้อย่างไร ขอโทษเขาเดี๋ยวนี้”
ซุนเหลียงไฉพูดอย่างไม่พอใจ “เมื่อวานเขาที่ทำร้ายข้า ทำไมข้าต้องขอโทษเขาด้วย”
ชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดซุนเหลียงไฉ เดินเข้ามาอย่างเดือดดาล ถามขึ้น “เมื่อวานเป็นเจ้าที่ทำร้ายบุตรชายข้า เจ้าเด็กจัญไร เบื่อใช้ชีวิตแล้วใช่ไหม ดูเสียบ้างว่าบุตรชายข้าเป็นใคร ให้เจ้ามาหาเรื่องได้รึ เจ้าจงรีบขอขมาบุตรชายข้า ไม่เช่นนั้นอีกประเดี๋ยวเจออาจารย์ข้าจะให้เขาไล่เจ้าออก ให้ต่อไปเจ้าเข้ามาเรียนไม่ได้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเบาๆ แสร้งถามอย่างไม่เข้าใจ “วันนี้ลมแรงมาก ไม่บาดโดนลิ้นท่านใช่หรือไม่”
ชายวัยกลางคนนิ่งอึ้ง พอรับรู้ว่านางหมายความว่าอะไร ก็อับอายจนกลายเป็นความโกรธ “นังตัวดี กล้ามาหาว่าข้าพูดคุยโว เจ้ารอก่อนเถอะ ดูว่าอีกประเดี๋ยวข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบอย่างไม่นบนอบและไม่วางโต “พร้อมรอทุกเมื่อ”
ชายวัยกลางคนไม่คิดว่าเด็กสาวจะไม่หวาดกลัว ยังกล้าต่อปากกับเขา พลันมีน้ำโห ยื่นมือออกไปหมายจะตบนาง
ชายชราร้องตวาด “หยุดนะ!”
ชายวัยกลางคนได้ยินเสียงตวาดของชายชรา ชักมือกลับอย่างเคืองขุ่น แต่ยังไม่ลืมพูดคุกคาม “พวกเจ้ารอไปก่อน ดูว่าอีกประเดี๋ยวข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร”
ชายชราเดินมาตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน มองประเมินทั้งสองคนครู่หนึ่ง แล้วยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เมื่อวานพอไฉเอ๋อร์กลับไป เสื้อผ้าขาดวิ่น ที่ตัวก็มีรอยฟกช้ำหลายแห่ง บิดาเขาเห็นแล้วปวดใจ ทำให้ใจร้อนไปบ้าง พวกเจ้าอย่าได้เก็บไปใส่ใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวชี้ใบหน้าเมิ่งอี้เซวียนพูดว่า “พวกเขาหกคนรุมพวกเราคนเดียว ข่วนหน้าเขาจนเป็นเช่นนี้ พวกเราปวดใจเสียยิ่งกว่าพวกท่าน”
ชายชราเห็นรอยแผลหลายแผลบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียน สูดลมเย็นเข้าปาก ถามขึ้น “นี่เป็นรอยแผลขีดข่วนของพวกไฉเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “ท่านว่าอย่างไรเล่า หรือเป็นพวกเราอยู่ว่างๆ ก็เลยข่วนหน้าเขาเล่น”
ชายวัยกลางคนเห็นนางพูดจาไม่สำรวม อารมณ์คุกรุ่นอีกครั้ง แผดเสียงพูดดังลั่น “นังตัวดี พูดอะไรของเจ้า คนบ้านนอกอย่างพวกเจ้า ผิวหนังหยาบกร้าน ข่วนหน้าพวกเจ้าไม่กี่แผลแล้วอย่างไร หาได้ถึงแก่ชีวิตไม่ อย่างมากพวกเราชดใช้เงินให้ก็จบแล้ว”
ชายชราพูดเอ็ด “หุบปาก”
ชายวัยกลางคนเบะปาก ไปยืนอีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแสร้งถามอย่างสนใจ “ไม่ทราบว่าพวกท่านจะชดใช้ให้พวกเราเท่าไหร่”
ชายวัยกลางคนเห็นท่าทีละโมบของนาง พูดอย่างดูแคลน “แผลเล็กน้อยบนใบหน้าเขา หากเป็นคนอื่น ให้หนึ่งตำลึงก็มากล้นฟ้าแล้ว ข้ามีเมตตา เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่มีพ่อแม่ จะให้พวกเจ้าสิบตำลึง แต่ว่า เจ้าต้องให้เขาขอขมาเหลียงไฉของพวกเราต่อหน้านักเรียนทั้งห้อง ยอมรับว่าเขาที่ทำผิดเอง และรับประกันว่าต่อไปจะไม่มาหาเรื่องพวกเราอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องอุทาน “โอ้โห ให้เงินมากเช่นนี้เลยหรือ”
ชายวัยกลางคนพูดอย่างย่ามใจ “ว่าอย่างไร พวกเจ้าโตขนาดนี้คงไม่เคยเห็นเงินมากเช่นนี้ ขอเพียงพวกเจ้าขอขมา เงินพวกนี้ก็จะเป็นของพวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ชายวัยกลางคนยิ่งทวีความลำพองใจ แอ่นอกพูดอย่างมั่นใจ “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ อีกประเดี๋ยวพอเจออาจารย์ พวกเจ้าก็จงพูดเช่นนี้ เมื่อออกมาแล้วข้าจะมอบเงินสิบตำลึงให้พวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้รับคำเขา แต่หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียนว่า “อี้เซวียน เงินค่าขนมที่ข้าให้ เจ้าพกมาด้วยหรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนมองนางอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง แล้วก็ได้สติพลัน ล้วงเงินยี่สิบตำลึงออกมาจากอกเสื้อ พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “พกมาเพียงเท่านี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดตำหนิ “ข้าบอกเจ้าแล้วไง ให้พกเงินค่าขนมมามากกว่านี้ หากเจอพวกหมาพวกแมวขวางหาขวางตา มาหาเรื่องเจ้า เจ้าก็ใช้เงินทุ่มใส่เขา”
เมิ่งอี้เซวียนพูดอย่างเชื่อฟัง “ข้ารู้แล้ว พรุ่งนี้ข้าจะพกมามากกว่านี้”
ชายวัยกลางคนเห็นเมิ่งอี้เซวียนหยิบเงินออกมาพรวดเดียวยี่สิบตำลึง รู้ว่าตัวเองถูกแกล้งแล้ว โมโหจนจมูกเบี้ยว แผดเสียงพูด “นังตัวแสบ กล้ามาแกล้งข้า อีกประเดี๋ยวข้าจะให้อาจารย์ใหญ่ไล่พวกเจ้าออก”
ชายชราเห็นเมิ่งอี้เซวียนหยิบเงินออกมายี่สิบตำลึงก็ตกใจไม่น้อย ทำการมองประเมินพวกเขาใหม่อีกครั้ง แอบลอบขบคิดว่าเป็นบ้านสกุลไหนมีเงินทองล้นเหลือเช่นนี้ ให้เด็กพกเงินค่าขนมมาโรงเรียนถึงยี่สิบตำลึง ปากกลับตะเบ็งเสียงด่าดังลั่น “เจ้าลูกไม่ได้เรื่อง ไสหัวไป หากยังพูดเหลวไหลอีก เรื่องของไฉเอ๋อร์เจ้าไม่ต้องมายุ่งอีก”
ชายวัยกลางคนร้องโวยวาย “ไฉเอ๋อร์เป็นบุตรชายข้า เขาถูกคนรังแกเรื่องใหญ่เช่นนี้ข้าจะไม่สนใจได้อย่างไร ข้าจักต้องทวงคืนความยุติธรรมให้เขา บุตรชายข้าจะถูกคนรังแกฝ่ายเดียวไม่ได้”
ซุนเหลียงไฉก็พูดสมทบ “ใช่ วันนี้ต้องให้พวกเขาได้เห็นฤทธิ์เดชพวกเรา ให้ภายหน้าพวกเขาอย่ามาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก”
ชายวัยกลางคนพูดรับประกัน “ไฉเอ๋อร์ วางใจ เรื่องนี้พ่อจัดการให้เอง พ่อจะสั่งสอนพวกเขาให้รู้จักเด็กรู้จักอาวุโส ต่อไปจะไม่มีใครกล้ารังแกเจ้าในห้องเรียนอีก”
ซุนเหลียงไฉพูดอย่างยินดี “ขอบคุณท่านพ่อ”
ชายชราโมโหเดือดดาล กำลังจะว่ากล่าว ด้านหลังมีรถม้าอีกสองสามคันวิ่งเข้ามา คำว่ากล่าวของชายชราจึงยังไม่ได้พูดออกมา
ขบวนรถม้าจอดสนิท เด็กๆ ลงมาจากรถม้า เห็นซุนเหลียงไฉ ก็เข้ามาทักทายอย่างเริงร่า
ซุนเหลียงไฉเอ่ยปากพูดว่า “ท่านปู่และท่านพ่อข้ามาแล้ว พวกเจ้าไม่ต้องกลัว รับรองได้ว่าพวกเจ้าต้องไม่เป็นอะไร”
เด็กทั้งหมดพยักหน้ายินดี
ผู้ใหญ่ทยอยลงมาจากรถม้า เห็นปู่ของซุนเหลียงไฉก็อยู่ด้วย ต่างเดินหน้าเข้าไปทักทายประจบประแจง
ชายชราแย้มยิ้มรับคำ
หลังจากทักทายกันพอเป็นพิธี เด็กทั้งหมดก็ชี้เมิ่งอี้เซวียนแล้วหันไปพูดกับผู้ปกครองว่า “ก็คือเขา ที่เมื่อวานฉีกเสื้อผ้าของพวกเราขาด ยังทำร้ายพวกเราด้วย”
ผู้ปกครองที่จิตใจดีเห็นเมิ่งอี้เซวียนที่อายุน้อยกว่าบุตรหลานตัวเอง ส่งยิ้มแก้เขินให้เด็กทั้งสองคน ส่วนคนที่ตามใจเด็กกลับพูดอย่างไม่พอใจ “คนบ้านนอกใช้แต่กำลัง ลงมือทำร้ายบุตรหลานพวกเราอย่างไร้สาเหตุ ไม่รู้ว่าปกติคนในครอบครัวอบรมสั่งสอนเยี่ยงไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว กำลังจะพูดตอบ ประตูใหญ่ของโรงเรียนก็เปิดออก อาจารย์เวรพูดกับทุกคนว่า “ข้าถามอาจารย์ผู้สอนพวกเขาแล้ว วันนี้เรียกพวกท่านมาจริงๆ ทุกท่านเชิญเถอะ”
คนทั้งหมดทยอยเดินตามกันไป
เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนเดินรั้งท้าย
อาจารย์เวรมองพวกเขาแวบหนึ่ง จึงปิดประตูใหญ่
คนทั้งหมดเดินตามบุตรหลานมาถึงด้านนอกห้องเรียน อาจารย์ผู้สอนออกมารอนอกห้องเรียนแล้ว กระทั่งทุกคนมาครบ ก็ขยับลูกคอ พูดอย่างน่าเกรงขาม “เมื่อวานเรื่องที่เหล่านักเรียนวิวาทกันในห้องเรียน คิดว่าพวกเขากลับไป น่าจะได้บอกกับคนในครอบครัวแล้ว วันนี้ที่ให้คนในครอบครัวมาที่นี่ เพื่อจะปรึกษาว่าจะจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร ถึงจะไม่ให้เหล่านักเรียนเกิดผลกระทบที่ร้ายแรงกว่านี้”
ผู้ปกครองของเด็กคนหนึ่งพูดขึ้น “มีอะไรต้องปรึกษากันอีก ใครที่ลงมือก่อนก็ให้คนนั้นกล่าวคำขอขมา ทั้งขับไล่ออกไปจากโรงเรียนก็หมดเรื่องแล้ว”
ผู้ปกครองคนอื่นก็พยักหน้าเห็นดีเห็นงาม
อาจารย์มองไปที่เมิ่งอี้เซวียน ถึงพบว่าข้างกายเขามีเพียงเด็กสาวอายุสิบสองสิบสามปีคนเดียว มุ่นหัวคิ้วถาม “เมิ่งอี้เซวียน ผู้ปกครองของเจ้าเล่า เหตุใดถึงปล่อยให้เด็กสาวตัวเล็กๆ มา เรื่องนี้จะจัดการได้อย่างไร”
ทุกคนหันมองไปที่พวกเขาสองคน
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างไม่รีบไม่ร้อน “ข้าก็คือผู้ปกครอง เรื่องของเขาข้ารับผิดชอบเอง”
อาจารย์ตกใจถาม “เจ้าจะเป็นผู้ปกครองได้อย่างไร บ้านเจ้าไม่มีพ่อแม่รึ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบด้วยสีหน้าคงเดิม “บิดามารดาพวกเราเป็นคนบ้านนอก ไม่กล้ามาพบอาจารย์ ข้าจึงต้องมาแทน”
โดยรอบส่งเสียงหัวเราะเยาะ
อาจารย์ถอนใจอย่างจนใจ “เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้าก็พูดมาเถอะว่าจะจัดการอย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ท่านอาจารย์เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องวิวาทเมื่อวานชัดเจนดีแล้ว”
อาจารย์พยักหน้า “เข้าใจชัดเจนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอีก “เช่นนั้นอาจารย์คิดว่าความผิดอยู่ที่อี้เซวียนหรือไม่”
อาจารย์พูด “แม้ความผิดจะไม่ได้อยู่ที่เมิ่งอี้เซวียน แต่การที่เขาลงมือทำร้ายคนก่อนก็เป็นสิ่งผิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “อาจารย์พูดผิดแล้ว เรื่องทุกอย่างมีเหตุถึงได้มีผล หากไม่เพราะพวกเขาทำลายของรักของเขา อี้เซวียนจะลงมือทำร้ายคนได้อย่างไร”
บิดาซุนเหลียงไฉพูดขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “ของรักอันใด ราคาเท่าไหร่ พวกเราชดใช้ให้ก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวปรายตามองเขาแวบหนึ่งพูดว่า “พวกท่านชดใช้ไม่ไหว!”
บิดาซุนเหลียงไฉพูดอย่างไม่ยอม “ไม่ต้องพูดเหลวไหล โลกนี้ไม่มีสิ่งใดที่ข้าชดใช้ไม่ไหว”
“งั้นหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม
บิดาซุนเหลียงไฉแอ่นอก พูดอย่างภาคภูมิใจ “ถูกต้อง กิจการของครอบครัวพวกเรา ต่อให้นอนไม่ทำอะไรบนเตียง เอาแต่กินดื่ม สามชั่วอายุคนก็ยังใช้ไม่หมด จะชดใช้ของรักเพียงชิ้นเดียวของเจ้าไม่ได้อย่างไร”
“อี้เซวียน หยิบกระเป๋านักเรียนออกมา ให้พวกเขาดูว่าจะชดใช้ให้ได้หรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
ได้ยินนางพูดเช่นนั้น คนทั้งหมดส่งเสียงหัวเราะครืน บิดาซุนเหลียงไฉพูดเย้ยหยัน “ฟังดูก็รู้ว่าเป็นสิ่งบรรจุหนังสือ ข้านึกว่าจะล้ำค่าเพียงใด เงินไม่กี่ร้อยอีแปะก็ซื้อได้แล้ว”
คนที่เหลือพยักหน้าสมทบ
เมิ่งอี้เซวียนนำถุงใส่หนังสือที่เมิ่งชื่อให้มาวันนี้ออกมา ก้มตัวลง นำกระเป๋านักเรียนสกปรกกระดำกระด่างออกมา วางใส่มือเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวสะบัดกระเป๋านักเรียนในมือ แล้วชูขึ้น แกว่งไปตรงหน้าทุกคนรอบหนึ่ง แล้วพูด “ทุกท่านดูให้ดี กระเป๋านักเรียนใบนี้บนโลกนี้มีเพียงใบเดียว ตอนนี้ถูกบุตรหลานพวกท่านจงใจทำเสียหาย พวกท่านพูดมาว่าจะชดใช้ไหวหรือไม่”
คนทั้งหมดไม่เคยเห็นกระเป๋านักเรียนที่ประหลาดแปลกตาเช่นนี้มาก่อน ต่างตกใจถลึงตาโต เพ่งมองแล้วมองเล่า ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ ต่างสะท้อนแววตา แล้วมองไปที่บิดาซุนเหลียงไฉเป็นตาเดียว
บิดาซุนเหลียงไฉพูดอย่างไร้เหตุผล “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดว่ากระเป๋าโกโรโกโสใบนี้เป็นพวกเราทำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ความหมายของท่านคืออี้เซวียนของพวกเราไม่มีอะไรทำก็เลยเหยียบกระเป๋านักเรียนที่ตัวเองรักทะนุถนอมเล่น จากนั้นก็โยนความผิดไปที่บุตรชายของท่าน?”
บิดาซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบพูดเสียงแผ่ว “ข้าหาได้พูดเช่นนั้น ข้าเพียงอยากถาม เจ้ามีสิทธิ์อะไรพูดว่าบุตรชายข้าเป็นคนทำ เหตุใดถึงไม่ใช่คนอื่นทำ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ในห้องเรียนมีเพียงพวกเขาที่ก่อเรื่องวิวาท เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องเกี่ยวข้องกับพวกเขา เมื่อท่านพูดว่าไม่ใช่บุตรชายท่านทำ ข้าเองก็ไม่มีหลักฐาน เช่นนั้นพวกเราลองถาม ว่าใครที่เป็นคนทำ วันนี้ข้าจะให้เขาชดใช้จนสิ้นเนื้อประดาตัว”
เด็กที่เหลือทั้งหมดตกใจคอหด ต่างหันมองไปที่ซุนเหลียงไฉเป็นตาเดียว