ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 138.3
หลังกินอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นรอยฟกช้ำบนใบหน้าเมิ่งอี้เซวียน ก็ตกใจถามขี้นอีกรอบ พอได้รู้ว่าใช้วิธีวิวาทมาแก้ปัญหา ก็หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างพูดไม่ออกบอกมถูก “โยวเอ๋อร์ เจ้าดูเถิด พวกเขาต่างถูกเจ้าพาเสียคนหมดแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างซุกซน “พาเสียคนถึงดี เอาแต่อยู่ในกรอบระเบียบน่าเบื่อแย่”
เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะพูด “เจ้าลูกคนนี้ ทำไมตอนนี้ถึงมีแต่ความคิดแผลงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาถลึงตาโตพูด “คิดแผลงๆ อย่างไร ท่านถามอี้เซวียนดูว่าวันนี้เขาวิวาทได้สะใจหรือไม่”
เมิ่งอี้เซวียนรีบพยักหน้า “สะใจ สะใจยิ่งนัก”
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงก็พูดร่วมวงด้วย “สะใจ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นโมโหจนหัวเราะพูดว่า “ตอนวิวาทกันก็สะใจดี เรื่องหลังจากวิวาทกันเล่าจะทำอย่างไร หากอาจารย์ฝ่ายปกครองและครูใหญ่รู้เรื่องนี้ แล้วไม่ให้อี้เซวียนเข้าสอบถงเซิงจะทำอย่างไร ต่อให้โรงเรียนไม่เอาความ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป ก็ยังส่งผลกระทบต่อการสอบเคอจวี่อยู่ดี”
ครั้งนี้เมิ่งเชี่ยนโยวเบิกตาโพล่งจริงๆ แล้ว กลืนน้ำลายถามอย่างไม่แน่ใจ “ไม่รุนแรงขนาดนั้นมั้ง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบ “จะไม่รุนแรงได้อย่างไร ตอนนี้การสอบเคอจวี่เข้มงวดกับคุณสมบัติของนักเรียนมาก คุณสมบัติไม่เหมาะสมก็ยากจะสอบผ่านได้”
“ทำอย่างไรดี ข้ายังอยากให้อี้เซวียนสอบจองหงวนได้ ต่อไปจะได้คอยหนุนหลังพวกเรา” เมิ่งเชี่ยนโยวถาม
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามนาง “อี้เซวียนยังเด็ก เรื่องในครั้งนี้ไม่แน่ว่าเดี๋ยวก็ผ่านไป แต่ว่าต่อไปห้ามวิวาทกันในโรงเรียนอีก”
เมิ่งอี้เซวียนรีบรับปาก “ข้าทราบแล้ว ท่านพ่อ ต่อไปจะไม่วิวาทอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกพูด “ตกใจหมดเลย ข้านึกว่าจะส่งผลต่อการสอบเคอจวี่ของอี้เซวียนจริงๆ เสียแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ตอนนี้รู้จักกลัวแล้ว ตอนที่รับปากให้อี้เซวียนวิวาทเหตุใดไม่รู้จักกลัวบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นปลิ้นตา ไม่พูดอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “เพื่อนห้องเดียวกับลุงใหญ่เจ้าก็สอนหนังสืออยู่ที่โรงเรียนนั่น พรุ่งนี้ให้ลุงใหญ่พาเจ้าไปทำความรู้จัก ต่อไปหากเกิดเรื่องอะไรที่โรงเรียน ให้เขามาช่วยได้”
เมิ่งอี้เซวียนกำลังจะรับคำ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับพูดขึ้น “ไม่ต้องแล้ว ท่านพ่อ เรื่องของอี้เซวียนให้เขาลองแก้ปัญหาเองก่อน หากแก้ไม่ได้จริงๆ พวกเราค่อยไปหาเพื่อนของลุงใหญ่”
เมิ่งเอ้ออิ๋นใคร่ครวญแล้วก็พยักหน้าตกลง
ทั้งครอบครัวกินอาหารค่ำเสร็จอย่างมีความสุข ก็แยกย้ายกลับไปนอนที่ห้อง
เมิ่งชื่อคิดว่าพรุ่งนี้ก็จะได้หมั้นหมายให้เมิ่งเสียน ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ นึกถึงแม่สื่อในหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงทั้งหมด กลับไม่เจอที่เหมาะสมสักคน ถามเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างกระวนกระวายใจ “พ่อเอ๊ย ข้าครุ่นคิดมานานแล้ว อย่างไรก็รู้สึกว่าแม่สื่อในแถบหมู่บ้านใกล้เคียงนี้ไม่มีใครที่เหมาะสม”
เมิ่งเอ้ออิ๋นง่วงตาจะปิดแล้ว ได้ยินนางถามเช่นนี้ พูดอย่างขอไปที “หากเจ้าคิดว่าไม่มีที่เหมาะสม เจ้าไปเองก็ได้ อย่างไรพวกเขาก็สู่ขอเสียนเอ๋อร์ต่อหน้าไปแล้ว ไม่หัวเราะเยาะเจ้าหรอก”
เมิ่งชื่อกระเด้งตัวลุกขึ้นมาจากเตียง ถามอย่างดีใจ “พ่อ ที่เจ้าพูดเป็นความจริง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตกใจกับปฏิกิริยาของนางจนได้สติกลับมา ถึงรู้ตัวว่าตนเองพูดอะไรออกไป พูดกลับคำ “ข้าพูดหยอกล้อเล่น เจ้าคงไม่คิดจริงจังนะ”
เมิ่งชื่อตบฉาดไปที่ตัวเขา พูดฉุนเฉียว “เรื่องสำคัญเช่นนี้ เจ้าพูดล้อเล่นได้อย่างไร”
เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบขอโทษขอโพย “ข้าผิดไปแล้ว ไม่เช่นนั้นเจ้าลองพูดชื่อแม่สื่อในละแวกใกล้เคียงมาให้ข้าฟัง ข้าจะช่วยเจ้าเลือกให้”
เมิ่งชื่อแค่นเสียงหึ พูดว่า “ค่อยยังชั่วหน่อย”
พูดจบก็ล้มตัวนอน พูดข้อดีของแม่สื่อสองสามคนที่ตัวเองพอรู้ให้เขาฟัง นางยังพูดไม่จบ เสียงกรนของเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดังขึ้น เมิ่งชื่อโมโหอยากจะปลุกเขาให้ตื่น แต่ก็คิดถึงตอนกลางวันเขาทำงานแทบไม่ได้หยุดพัก คงจะเหนื่อยมากจริงๆ มือที่ยกขึ้นจึงไม่ได้ตีลงมา
เมิ่งเสียนเองก็นอนไม่หลับเช่นกัน ในสมองมีแต่ภาพของคุณหนูอวี้ลอยไปมา พอคิดว่าวันพรุ่งเมิ่งชื่อก็จะให้แม่สื่อไปทาบทามสู่ขอ ก็เอาแต่ขดตัวเบิกบานอยู่ใต้ผ้าห่ม อยากให้ฟ้าสว่างในบัดดล
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวล้มตัวนอน ก็ย้อนคิดถึงพฤติกรรมของคุณหนูอวี้ในวันนี้อีกครั้ง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าการคาดเดาของตัวเองถูกต้อง ลอบตัดสินใจว่าพรุ่งนี้เช้าจะต้องตามเข้าเมือง หลังจากส่งเมิ่งอี้เซวียนเสร็จ ตนเองจะไปสืบข่าว ดูว่าคุณหนูอวี้เป็นอย่างที่ตนเองคิดไว้หรือไม่
เมิ่งชื่อกว่าจะได้นอนก็เกือบฟ้าสางแล้ว ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวเลือนๆ รางๆ ด้านนอก รีบลืมตาตื่น ถึงพบว่าฟ้าสางแล้ว และไม่รู้ว่าเมิ่งเอ้ออิ๋นตื่นขึ้นมาตอนไหน รีบสวมเสื้อผ้า ออกมาด้านนอก เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนตระเตรียมของเรียบร้อยกำลังจะไปโรงเรียน รีบร้อนถามขึ้น “โยวเอ๋อร์ พวกเจ้ากินข้าวหรือยัง”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “กินแล้ว ท่านพ่อเป็นคนทำ”
เมิ่งชื่อถอนหายใจ พูดกำชับ “ระหว่างทางให้เสียนเอ๋อร์บังคับรถม้าช้าหน่อย”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “วันนี้ให้ท่านพ่อไปส่งพวกเราเข้าเมืองเถอะ ให้พี่ใหญ่อยู่ที่บ้าน”
เมิ่งชื่อนึกว่าให้เมิ่งเสียนอยู่ที่บ้านหารือเรื่องไปสู่ขอ พูดว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าต้องรีบกลับมา พวกเราตกลงกันได้แล้วจะได้รีบเข้าเมือง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำ “ทราบแล้ว ท่านแม่”
พูดจบก็เดินออกจากประตูใหญ่ไปขึ้นรถม้าพร้อมเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งเอ้ออิ๋นตวัดบังเ**ยน รถม้ามุ่งหน้าเข้าเมืองอย่างมั่นคง
เมิ่งชื่อเห็นรถม้าของพวกเขาไปไกลแล้ว คิดจะกลับเข้าไปพักในบ้าน แต่คิดได้ว่าอีกประเดี๋ยวต้องไปหาแม่สื่อ ก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ล้างหน้าล้างตา ปลุกเด็กๆ ให้ลุกขึ้นมากินข้าวเช้า
เมิ่งเอ้ออิ๋นบังคับรถม้ามาถึงหน้าประตูโรงเรียน
ประตูใหญ่โรงเรียนยังไม่เปิด มีรถม้าหลายคันรออยู่หน้าประตูโรงเรียน
เมิ่งเอ้ออิ๋นหาที่โล่งกว้างพักจอดรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนลงจากรถม้ามายืนเบื้องหน้าเมิ่งเอ้ออิ๋น
เมิ่งเอ้ออิ๋นกำชับเมิ่งอี้เซวียนอย่างจริงจัง “อี้เซวียน ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนให้ดี ภายหน้าพ่อยังรอให้เจ้าสอบจองหงวน มาเป็นเกียรติแก่วงศ์สกุล”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า “ท่านพ่อวางใจเถอะ ข้าจำได้แล้ว”
รถม้าคันหนึ่งแล่นมาจอดข้างรถม้าพวกเขา ปู่ของซุนเหลียงไฉลงจากรถม้า ส่งยิ้มตาหยีทักทายเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางน้อย อรุณสวัสดิ์”
มีคำกล่าวว่าไม่ตีคนยิ้ม อีกทั้งยังเป็นชายชราอาวุโสเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงตอบกลับไปว่า “อรุณสวัสดิ์นายท่านอาวุโสซุน”
ปู่ของซุนเหลียงไฉได้ยินคำเรียกพิลึกพิลั่นของนาง ตะลึงเล็กน้อย แต่ยังคงพูดด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นเพียงพ่อค้า ไม่ควรให้เจ้าเรียกขานว่านายท่าน หากเจ้าไม่รังเกียจ ก็จงเรียกข้าเหมือนคนอื่นๆ ว่าซุนซ่านเหรินเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า เรียกอย่างยอมรับในความคิดเห็น “อรุณสวัสดิ์ซุนซ่านเหริน”
ซุนซ่านเหรินพยักหน้า ยิ้มสรวลถาม “บาดแผลบนใบหน้าน้องชายเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่เป็นไร ขอบคุณซุนซ่านเหรินที่เป็นห่วง”
ซุนซ่านเหรินโบกมือกล่าวว่า “หลังจากกลับไปเมื่อวาน ข้าอบรมสั่งสอนหลานชายไม่เอาถ่านไปอีกยก เขาถึงยอมพูดความจริง เป็นเขาที่จงใจเหยียบกระเป๋านักเรียนของน้องชายเจ้าเสียหายจริงๆ น้องชายเจ้าบันดาลโทสะถึงทำร้ายเขา ทั้งหมดเป็นความผิดหลานข้า ข้ามาเพื่อให้เขาขอขมาน้องชายเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหยุดยั้งเขา “ไม่ต้องแล้ว เมื่อวานพวกเราตกลงกันแล้ว หลังจากสู้กัน เรื่องทั้งหมดจะถือว่าผ่านไป พวกเราจะไม่เอาความกับเรื่องนี้อีก ท่านเองก็มิต้องเก็บมาใส่ใจ หากพวกเขายังมีอะไรขัดแย้งกัน ก็ให้พวกเขาแก้ปัญหาเองเถอะ”
ซุนซ่านเหรินถอนหายใจกล่าวว่า “ดูอายุของเจ้าน่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับหลานข้า ไม่คิดว่าจะจัดการปัญหาต่างๆ ได้น่าเลื่อมใสเช่นนี้ หลานของข้าหากได้สักครึ่งของเจ้าข้าก็พอใจแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะไม่ได้พูดอะไร
ประตูใหญ่โรงเรียนเปิดออก เหล่านักเรียนต่างลงมาจากรถม้าของตัวเอง ทยอยกันเข้าไปในโรงเรียน
ซุนเหลียงไฉแบกหน้าตาปูดบวมลงจากรถม้า แค่นเสียงหึใส่เมิ่งอี้เซวียนอย่างโกรธเกรี้ยว หมุนตัวเดินเข้าโรงเรียน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลั้นขำ กำชับเมิ่งอี้เซวียนสองสามคำ เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าอย่างรู้ความ แบกสิ่งของของตัวเองเดินตามเข้าโรงเรียน
กระทั่งถึงเวลาเรียนตามที่โรงเรียนกำหนด อาจารย์เวรก็ปิดประตูใหญ่ของโรงเรียนลง
รถม้าแต่ละบ้านแยกย้ายจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อ พวกเราไปร้านยาเต๋อเหรินเถอะ เรื่องของคุณหนูอวี้ข้าอยากให้พนักงานร้านเขาช่วยสืบความให้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า เมิ่งเชี่ยนโยวเตรียมจะขึ้นรถม้า ซุนซ่านเหรินเอ่ยปากพูดขึ้น “แม่นางน้อย รอประเดี๋ยวเถิด”
เมิ่งเชี่ยนโยวชะงักฝีเท้า มองเขาอย่างสงสัย
ซุนซ่านเหรินเดินขึ้นหน้า ยิ้มตาหยีพูดว่า “ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับแม่นาง ไม่ทราบว่าเจ้ามีเวลาหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้น “เรื่องอันใด”
ซุนซ่านเหรินก็ไม่อ้อมค้อม พูดไปตามตรง “ข้าอยากปรึกษากับเจ้าเรื่องกระเป๋านักเรียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วพูด “เรื่องอันใดของกระเป๋านักเรียน”
ซุนซ่านเหรินยังคงยิ้มตาหยีพูด “เมื่อวานข้าเห็นเจ้าถือกระเป๋านักเรียนงดงามปราณีต อยากถามเจ้าว่า กระเป๋านักเรียนใบนั้นพวกเจ้าทำเองหรือ หากว่าใช่พอจะเย็บในปริมาณมากได้หรือไม่ ไม่ว่าราคาสูงแค่ไหนข้าก็ยินดีรับซื้อ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างยินดีระคนประหลาดใจ “ท่านต้องการซื้อกระเป๋านักเรียนของบ้านเรา”
ซุนซ่านเหรินได้ฟังมองเมิ่งเอ้ออิ๋นแล้วเอ่ยถาม “ท่านนี้คือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “เขาคือบิดาข้า”
ซุนซ่านเหรินรีบกล่าวทักทายเมิ่งเอ้ออิ๋น พูดอย่างอิจฉา “น้องชายอบรมบ่มเพาะบุตรได้ดีนัก เด็กแต่ละคนล้วนแต่เก่งกาจน่าเลื่อมใส อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องถ่ายทอดประสบการณ์ให้ข้า กลับไปข้าจะได้นำไปสั่งสอนหลานไม่เอาถ่านของข้า”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดอย่างเก้อเขิน “ข้าหามีประสบการณ์อันใดไม่ เป็นเพราะเด็กๆ ต่างรู้ความกันเอง”
ซุนซ่านเหรินพูดหยอกเย้า “น้องชายถ่อมตกนัก คงไม่ใช่เพราะไม่อยากถ่ายทอดประสบการณ์ให้ข้าหรอกนะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นโบกมือเป็นพัลวัน “หามิได้ หามิได้ ข้าไม่มีประสบการณ์จริงๆ”
ซุนซ่านเหรินหัวเราะเสียงดัง
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็หัวเราะตามอย่างทำตัวไม่ถูก
ทั้งสองหัวเราะเสร็จ ซุนซ่านเหรินถึงพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ที่นี่ไม่เหมาะให้พูดคุย ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าไปที่หอน้ำชาบ้านข้า ให้เสี่ยวเอ้อชงชาชั้นดีมาสักกา พวกเราดื่มไปเสวนากันไป”
เมิ่งเอ้ออิ๋นมองเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวครุ่นคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าเห็นด้วย
ซุนซ่านเหรินมองสองพ่อลูกอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง จากนั้นยิ้มตาหยีกล่าวว่า “พวกเราจะนำทางไปก่อน พวกเจ้าตามมาก็พอ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ซุนซ่านเหรินหันหลังขึ้นรถม้า ด้านหนึ่งกำชับพนักงานบังคับรถม้าไปหอน้ำชาของบ้านตัวเอง ด้านหนึ่งสั่งการคนรับใช้ใช้ทางลัดไปแจ้งหลงจู๊ของหอน้ำชา ให้เขาเตรียมชงชาชั้นดีไว้หนึ่งกา เขาจะต้อนรับแขกสำคัญ
คนรับใช้รับคำ วิ่งทะยานออกไป
เมิ่งเอ้ออิ๋นรอให้เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้าเสร็จ จึงบังคับรถม้าตามรถม้าของซุนซ่านเหรินมุ่งหน้าไปหอน้ำชา