ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 139.2
เมิ่งเชี่ยนโยวดื่มน้ำชาอีกคำแล้วพูดว่า “เรื่องของหลานชายท่านพวกเราคุยเสร็จแล้ว ตอนนี้พวกเรามาคุยเรื่องกระเป๋านักเรียนเถอะ”
ซุนซ่านเหรินพูดอย่างไม่สนใจ “เรื่องกระเป๋านักเรียนไม่ต้องคุยแล้ว ขอเพียงพวกเจ้าเย็บออกมาได้ ทำได้เท่าไหร่ข้าก็รับไว้เท่านั้น เรื่องราคาก็ไม่ต้องเป็นห่วง หากพวกเจ้าไม่รู้ว่าจะตั้งราคาเท่าไหร่ ข้าจะตั้งราคาที่เหมาะสมให้กับพวกเจ้าเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “ท่านเข้าใจความหมายข้าผิด ข้ามิได้กังวลเรื่องกระเป๋า และไม่ได้กังวลเรื่องการตลาด ข้าแค่อยากบอกท่านว่า เรื่องการค้ากระเป๋านักเรียนนี้ข้าเตรียมจะให้อี้เซวียนและหลานชายของท่านมาทำ”
ซุนซ่านเหรินตะลึงค้าง ถามอย่างไม่เชื่อ “เจ้าบอกว่าจะให้น้องชายเจ้าและหลานชายข้าทำการค้ากระเป๋านักเรียน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้าคิดเอาไว้เช่นนี้”
ซุนซ่านเหรินมองเมิ่งเอ้ออิ๋นที่มีสีหน้าคงเดิม พูดว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “ทำไมจะไม่ได้ พวกเขาไม่ใช่เด็กแล้ว ควรจะทดลองทำการค้าด้วยตัวเองได้แล้ว”
ซุนซ่านเหรินกลืนน้ำลาย พูดติดๆ ขัดๆ “แต่ว่า แต่ว่าหลานชายข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย จะมอบให้พวกเขาทำได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “น้องชายข้าก็ไม่รู้ แต่ยังมีพวกเราอย่างไรเล่า พวกเราให้พวกเขาทำตามความคิดของตัวเอง หากมีตรงไหนไม่ถูกต้องพวกเราก็ให้คำแนะนำห่างๆ ใช้เวลาไม่นานพวกเขาก็จะจับหลักได้”
ซุนซ่านเหรินยังคงไม่เห็นด้วย พูดว่า “แต่พวกเขายังต้องศึกษาเล่าเรียน!”
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “ท่านคิดจะให้หลานชายเข้าสอบเคอจวี่หรือ”
ซุนซ่านเหรินส่ายหน้า พูดว่า “ภายหน้าไฉเอ๋อร์ต้องสืบทอดกิจการของข้า ข้าจะให้เขาสอบเคอจวี่ได้อย่างไร”
“ดังนั้น ให้พวกเขาเริ่มเรียนรู้การทำการค้าตอนนี้ไม่ดีกว่าหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา
ซุนซ่านเหรินอ้าปากพูดไม่ออก ครู่หนึ่งถึงพูดว่า “ขอข้าคิดดูก่อน ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะให้ไฉเอ๋อร์เริ่มทำการค้าตั้งแต่ตอนนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “หลานชายท่านก็อายุไม่น้อยแล้ว ท่านคิดจะให้เขาเริ่มเรียนตอนไหนเล่า อีกสักห้าปี หรือว่าสิบปี?”
ซุนซ่านเหรินไม่ได้พูดอะไรอีก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “เมื่อในภายหน้าท่านอยากให้หลานชายมารับช่วงกิจการของท่าน การให้เขาสัมผัสกับการค้ายิ่งเร็วก็ยิ่งดี ท่านเอาแต่ยื้อเวลาออกไปเช่นนี้ รอถึงตอนที่เขาเริ่มทำการค้าได้จริงๆ จะต้องทำอะไรไม่ถูก สู้ฉวยโอกาสเริ่มฝึกพวกเขาตอนนี้ เช่นนี้ผ่านไปไม่กี่ปีเขาก็จะรับช่วงการค้าของท่านได้ตลอดเวลา”
ซุนซ่านเหรินเริ่มหวั่นไหว ถามขึ้น “เช่นนั้นต้องทำอย่างไรถึงจะให้พวกเขาค้าขายกระเป๋านักเรียนได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “นี่เป็นปัญหาที่พวกเขาต้องขบคิด พวกเราจะทำสินค้าสำเร็จให้พวกเขา ที่เหลือก็อยู่ที่พวกเขาเองแล้ว”
ซุนซ่านเหรินเริ่มร้อนรนพูด “เช่นนั้นจะเปิดเส้นทางการค้ากระเป๋านักเรียนได้เมื่อใด”
“ท่านขาดเงินหรือ” เมิ่งเชี่ยนโยวถามขึ้นทันควัน
ซุนซ่านเหรินตะลึงแล้วส่ายหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “เมื่อท่านไม่ขาดเงิน ท่านจะใจร้อนเรื่องเส้นทางการค้ากระเป๋านักเรียนเพื่ออะไร”
ซุนซ่านเหรินไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดต่อ “ที่ข้าอยากมอบการค้ากระเป๋านักเรียนให้อี้เซวียนและหลานชายท่านทำ ก็เพื่อฝึกฝนความสามารถพวกเขา ไม่ใช่คาดหวังว่าพวกเขาจะทำกำไรกลับมาได้ เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จะเปิดเส้นทางการค้าได้หรือไม่ จึงไม่ใช่สิ่งสำคัญอีกต่อไป เพราะอย่างไรในท้องตลาดก็ไม่มีขาย จะช้าลงหนึ่งวันหรือเร็วขึ้นหนึ่งวันก็ไม่มีอะไรแตกต่าง”
ซุนซ่านเหรินได้สติกลับมาแล้ว ร้อนใจถามไถ่ “ความหมายของแม่นางคือพวกเราไม่ต้องสนใจว่ากระเป๋านักเรียนจะทำเงินให้พวกเราได้มากแค่ไหน แต่คิดจะใช้การค้านี้ให้พวกเขาได้ฝึกฝนตนเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ซุนซ่านเหรินลุกขึ้นยืนอารมณ์พลุ่งพล่าน เดินวนรอบห้องน้ำชาสองรอบ แล้วกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ถึงหันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นางคิดไกลเกินไปแล้ว ข้าไม่เคยคิดจะนำการค้าสักชิ้นมาให้หลานชายข้าลองลงมือทำเอง ข้าเลื่อมใสในการตัดสินใจและความกล้าหาญของแม่นางเมิ่งนัก เอาเช่นนี้เถอะ วัตถุดิบและต้นทุนในการผลิตกระเป๋านักเรียนข้าจะออกเองทั้งหมด พวกเจ้าเพียงรับผิดชอบหาคนมาเย็บก็พอ หากน้องชายเจ้าและหลานชายข้าทำได้สำเร็จจริงๆ เงินที่หามาได้ทั้งหมดข้าจะไม่เอาแม้แต่อีแปะเดียว จะให้พวกเจ้าทั้งหมด หากพวกเขาทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นค่าใช้จ่ายในการผลิตกระเป๋านักเรียนข้าก็จะออกให้เองทั้งหมด”
เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะโต้แย้ง ซุนซ่านเหรินยับยั้งนาง “แม่นางเมิ่งไม่ต้องปฏิเสธแล้ว ขอเพียงหลานชายข้าเรียนรู้การทำการค้าได้จริงๆ อย่าว่าแต่เงินเล็กน้อยพวกนี้ ต่อให้ต้องนำการค้าของครอบครัวออกมาสักชิ้น ข้าก็ยินดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่กล้าพูดปฏิเสธอีก พูดได้เพียงว่า “เช่นนั้นขอบคุณท่านมาก”
ซุนซ่านเหรินโบกมือพูดว่า “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว ควรเป็นข้ากล่าวขอบใจเจ้าถึงจะถูก”
ตกลงเรื่องได้แล้ว ซุนซ่านเหรินยังรู้สึกไม่หายอยาก หารือเรื่องการค้ากับเมิ่งเชี่ยนโยวต่ออีกรอบ ยิ่งได้ยินนางพูดก็ยิ่งตกตะลึงกับวิธีคิดพิลึกพิลั่นของนาง เอาแต่รู้สึกเสียใจที่มาเจอสายไป
เมิ่งเชี่ยนโยวมองดูท้องฟ้าแล้วพูดกับซุนซ่านเหริน “ตกลงเรื่องราวเรียบร้อยแล้ว วันนี้พวกเรายังมีธุระสำคัญต้องไปทำ วันหน้ามีเวลาพวกเราจะต้องหาเวลามาพูดคุยกันอีก”
ได้ยินนางบอกว่ายังมีธุระสำคัญ ซุนซ่านเหรินจึงไม่ฉุดรั้ง พยักหน้าพูดว่า “ได้ รอวันไหนว่าง ข้าจะต้องไปเยี่ยมเยียนแม่นางเมิ่งถึงบ้านด้วยตัวเอง ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยหารือเชิงลึกกันอีกรอบ”
พูดจบ ตะโกนออกไปด้านนอก “เด็กๆ!”
หลงจู๊ขานรับคำเดินเข้ามา กล่าวอย่างนอบน้อม “นายท่าน”
ซุนซ่านเหรินพูดกับเขา “เจ้าจงไปเอาชาผู่เอ๋อร์ชั้นดีมาสองกล่อง ให้พวกแม่นางเมิ่งนำกลับไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบห้ามเขา “ไม่ต้องแล้ว ซุนซ่านเหริน พวกเราคนบ้านนอกไหนเลยจะเข้าใจสุนทรีย์ของสิ่งเหล่านี้ ให้พวกเราก็เสียค่าไปเปล่า ท่านเก็บเอาไว้เถอะ”
ซุนซ่านเหรินยิ้มพูด “แม่นางพูดขบขันแล้ว ดูเจ้าไม่เหมือนคนไม่รู้เรื่องชาสักนิด คงมิได้รังเกียจที่ข้าให้น้อยเกินไปหรอกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบ “ข้าไม่มีทางเกรงใจกับท่านเป็นแน่ พวกเราไม่รู้จักชื่นชมชาชั้นเลิศจริงๆ”
ซุนซ่านเหรินส่งสายตาให้หลงจู๊ หลงจู๊พยักหน้าจากไป ไม่นานก็นำชาผู่เอ๋อร์ชั้นดีสองกล่องเข้ามา วางไว้บนโต๊ะอย่างนอบน้อม
ซุนซ่านเหรินดันใบชาทั้งสองกล่องไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว พูดว่า “นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า แม่นางเมิ่งอย่าปฏิเสธอีกเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาอยากมอบใบชาให้ตนเองด้วยใจจริง จึงไม่ปฏิเสธอีก พูดว่า “ขอบคุณท่านมาก”
ได้ใบชาแล้ว เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืนกล่าวอำลา ซุนซ่านเหรินส่งคนทั้งสองมาถึงด้านนอกหอน้ำชาอย่างหน้าชื่นตาบาน เห็นสองพ่อลูกไปไกลแล้ว ถึงขึ้นรถม้าตัวเอง ไปจากหอน้ำชาเช่นกัน
หลังจากเมิ่งเอ้ออิ๋นบังคับรถม้าออกจากหอน้ำชา ก็มุ่งหน้าไปร้านยาเต๋อเหรินตามที่เมิ่งเชี่ยนโยวต้องการ
เพราะเป็นช่วงเวลาครึ่งวันเช้า คนค่อนข้างมาก เมิ่งเอ้ออิ๋นกลัวจะทำคนเดินถนนได้รับบาดเจ็บ จึงบังคับรถม้าอย่างช้าๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้าเขา นั่งอยู่ในรถม้าคิดเรื่องคุณหนูบ้านอวี้ รถม้าผ่านหน้าภัตรตาคารแห่งหนึ่ง เด็กสาวคนหนึ่งทะยานออกมาจากข้างใน ขวางหน้ารถม้าไว้
เมิ่งเอ้ออิ๋นตกใจสะดุ้ง รีบหยุดรถม้า
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกได้ว่ารถม้าหยุดกะทันหัน รีบร้อนเบิกม่านบังรถถามขึ้น “ท่านพ่อ เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เด็กสาวที่ขวางหน้ารถม้าเห็นข้างในรถม้าเป็นเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ถอนหายใจ ไม่รอเมิ่งเอ้ออิ๋นตอบก็เอ่ยปากพูดว่า “แม่นางเมิ่ง ใกล้เที่ยงแล้ว คุณหนูของพวกเราเชิญท่านและคุณชายเมิ่งรับประทานอาหารในภัตตาคารนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพินิจมอง เด็กสาวที่ขวางหน้ารถม้าก็คือสาวใช้เซี่ยเหอ พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “เกรงว่าต้องทำให้คุณหนูของพวกเจ้าผิดหวังแล้ว วันนี้พี่ใหญ่ข้าไม่ได้เข้าเมืองมาด้วย”
เซี่ยเหอไม่คิดว่าเมิ่งเสียนจะไม่ได้อยู่บนรถม้า นิ่งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นพูดอย่างมีมารยาท “คุณหนูของพวกเราเชิญแม่นางเมิ่งก็ได้เช่นกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นท่าทีสองบุคลิกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงของนาง หรี่ตาลงเล็กน้อย ถามขึ้น “ไร้ที่มาที่ไป เหตุใดคุณหนูของพวกเจ้าถึงต้องเชิญข้ากินข้าว”
เซี่ยเหอมองซ้ายมองขวา กดน้ำเสียงต่ำแล้วพูด “คุณหนูของพวกเราอยากปรึกษาแม่นางเรื่องการแต่งงานกับพี่ใหญ่ของท่าน”
เมิ่งเชี่ยนโยวเจตนาพูดว่า “ครอบครัวพวกเรายังมิได้มาทาบทามสู่ขอ จะมีการแต่งงานได้อย่างไร”
เซี่ยเหอตอบเสียงทุ้ม “ก็เพราะพวกท่านยังมิได้มาทาบทามสู่ขอ คุณหนูของพวกเราถึงต้องการปรึกษากับพวกท่าน หากพวกท่านมาทาบทามสู่ขอจริงๆ ทุกอย่างจะสายไป”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ถามกลับ “หมายความว่าอย่างไร”
เซี่ยเหอตอบ “เชิญแม่นางลงจากรถแล้วตามข้าเข้าไปในภัตรตาคารเถอะ คุณหนูของพวกเราจะบอกเรื่องทั้งหมดแก่ท่านเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะหึหึ พูดว่า “หากข้าไม่ยินยอมเข้าไปเล่า”
ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเช่นนี้ เซี่ยเหอกัดริมฝีปากพูดว่า “สิ่งที่แม่นางพูดกับนายท่านและฮูหยินของพวกเราเมื่อวาน ข้าและคุณหนูได้ยินจากนอกประตูหมดแล้ว คิดว่าแม่นางคงไม่คิดยินดีให้พี่ใหญ่ของท่านแต่งกับคุณหนูของพวกเรา และดูจากการเข้าหากันของแม่นางและพี่ชาย พวกท่านดูเป็นพี่สองที่รักใคร่สนิทสนมกันมาก อาหารมื้อนี้เกี่ยวพันถึงพี่ชายท่านและคุณหนูของพวกเราว่าภายหน้าจะได้แต่งงานกันหรือไม่ แม่นางตามพวกเราเข้าไปข้างในเถอะ”
ฟังเซี่ยเหอพูดเช่นนี้จบ เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินนางอย่างลุ่มลึก
เซี่ยเหอก็ไม่หลบเลี่ยง ยืนอยู่ตรงนั้นให้นางมองประเมินตามอำเภอใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นนางยืนสงบนิ่งอยู่ตรงนั้น ไม่มีท่าทีโอหังอวดดีเหมือนที่เจอสองครั้งก่อน จึงหรี่ตาลงอีกครั้ง หันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ ท่านบังคับรถม้าไปรอด้านหน้า ข้าจะไปพบคุณหนูอวี้ข้างบนหน่อย”
เมิ่งเอ้ออิ๋นฟังการสนทนาของพวกเขาพอจะรู้คร่าวๆ ว่าเด็กสาวตรงหน้าคือสาวใช้ของคุณหนูที่เมิ่เงสียนจะสู่ขอนางนั้น ก็พยักหน้าตกลง พูดกำชับ “มีอะไรค่อยพูดค่อยจา ถามให้แน่ชัดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ห้ามปะทะกับคุณหนูนางนั้นเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ลงจากรถม้า พูดกับเซี่ยเหอ “ไปเถอะ”
เซี่ยเหอเห็นนางลงจากรถม้า ก้มคำนับให้นางอย่างดีใจ พูดว่า “แม่นางเมิ่งเชิญ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวเท้าเดินเข้าไป
เซี่ยเหอตามติดอยู่ด้านหลัง
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นบุตรสาวเข้าไปแล้ว ก็บังคับรถม้าไปจากหน้าประตูภัตตาคาร ไปรอที่ด้านหน้าไม่ไกลออกไป
ภายใต้การชี้นำทางของเซี่ยเหอ เมิ่งเชี่ยนโยวก็มาถึงหน้าห้องรับรองชั้นสอง
เซี่ยเหอผลักประตูออก พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “แม่นางเมิ่งเชิญ คุณหนูของพวกเรารออยู่ด้านในแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปเข้าไป เซี่ยเหอปิดประตูลง ยืนรอด้านนอกประตู