ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 139.3
อวี้อวี่กำลังนั่งขบคิดอยู่บนเก้าอี้ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา พรวดพราดยืนขึ้น พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างมีมารยาท “แม่นางเมิ่งมาแล้ว เชิญนั่งก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้อย่างไม่เกรงใจ ถามขึ้น “ที่วันนี้คุณหนูอวี้ต้องการเชิญข้ามายังภัตตาคารให้ได้ ไม่ทราบว่ามีเรื่องสำคัญอันใดต้องการพูดกับข้า”
อวี้อวี่นิ่งเงียบครู่ใหญ่ อยู่ๆ ก็คุกเข่าที่เบื้องหน้าเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวตกใจตัวลอย รีบลุกขึ้นหลบลี้ กล่าววาจาถากถาง “คุณหนูอวี้คุกเข่าให้ข้าอย่างไร้ต้นสายปลายเหตุ ถ้าคนอื่นเห็นเข้า จะคิดว่าข้ารังแกเจ้า เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ ข้ารับการคำนับนี้ของเจ้าไม่ไหว”
อวี้อวี่ยังคงคุกเข่ากับพื้นไม่ลุกขึ้น พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เดิมข้าต้องการจะคุกเข่าให้คุณชายเมิ่ง เมื่อเขาไม่มา คุกเข่าให้แม่นางก็ไม่ต่างกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดด้วยวาจาไม่น่าฟัง “ไม่ทราบว่าคุณหนูอวี้กระทำเรื่องอันใด ถึงต้องคุกเข่าให้พวกเราสองพี่น้องถึงจะแก้ปัญหาได้”
อวี้อวี่ไม่อ้อมค้อมเลี้ยวลดอีก พูดไปตามตรง “ที่ข้าคุกเข่าให้แม่นาง เพราะข้าหลอกใช้และโป้ปดพวกเจ้าสองพี่น้อง”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งถามอย่างตกใจ “หลอกใช้และโป้ปดพวกเราสองพี่น้อง เรื่องเป็นมาอย่างไร”
อวี้อวี่ตอบกลับ “ความจริงข้ามีคนรักในใจแล้ว แต่ให้ตายอย่างไรบิดามารดาข้าก็ไม่เห็นด้วย เมื่อทำอะไรไม่ได้ พวกเราถึงคิดวิธีเช่นนั้นขึ้น หลอกใช้วิธีที่ม้าของพี่ใหญ่เจ้าตกใจทำให้ข้าล้มไปกองกับพื้นโยนความผิดให้พวกเจ้า จากนั้นค่อยหาวิธีให้ข้าและพี่ใหญ่เจ้าแต่งงานกัน จากนั้นค่อย ค่อย…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแทนนาง “จากนั้นค่อยหาวิธียกเลิกการแต่งงานนี้ ให้บิดามารดาของเจ้าต้องยอมจำนนรับปากให้พวกเจ้าแต่งงานกัน เจ้าและคนรักของเจ้าจะได้ครองรักกันสมปรารถนา”
อวี้อวี่เงยหน้าฉับพลัน ถามอย่างพรึงเพริด “เจ้ารู้ได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเย็นชา พูดว่า “คุณหนูอวี้ไม่รู้ว่าร่างกายของตัวเองมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือ”
อวี้อวี่สีหน้าสีเผือก กุมหน้าท้องตัวเองอย่างลืมตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียดแทง “คุณหนูอวี้วางแผนกับพวกเราเช่นนี้ ไม่กลัวเด็กในท้องจะได้รับผลกรรมหรือ”
สีหน้าอวี้อวี่ซีดขาวขึ้น ริมฝีปากสั่นระริกเป็นนานแต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างขุ่นเคือง “พี่ใหญ่ข้าเป็นคนจิตใจดี หลังจากได้ยินว่าเป็นเพราะเขาทำลายชื่อเสียงเจ้าจนไม่มีคนมาทาบทามสู่ขอ พอกลับถึงบ้านก็วิงวอนบิดามารดาข้าให้มาสู่ขอแต่วันนี้ หากไม่เพราะข้าและบิดาใช้เหตุผลมาส่งน้องชายเข้ามาเรียนหนังสือ บังคับรถม้าออกมา เกรงว่ามารดาข้าคงให้แม่สื่อไปสู่ขอที่บ้านพวกเจ้านานแล้ว เจ้าบอกข้าหน่อย หากไปถึงขั้นนั้นแล้ว เจ้าถึงกลับคำพูด พี่ใหญ่ข้าจะทำอย่างไร โดยเฉพาะที่เจ้ายังพูดต่อหน้าเขาอย่างหน้าไม่อายว่า ครั้งแรกที่เห็นเขาก็แอบพึงพอใจแล้ว ทำให้พี่ชายข้าเข้าใจผิดว่าเจ้าชอบเขาแล้วจริงๆ ดีอกดีใจตั้งแต่ออกมาจากบ้านพวกเจ้าก็ยิ้มปากไม่หุบ”
อวี้อวี่พูดอย่างเสียใจสุดซึ้ง “ข้าก็ไม่อยากทำเช่นนี้ แต่ข้าไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว คนรักข้าเป็นบัณฑิตจนๆ คนหนึ่ง ครอบครัวยากจนข้นแค้น แม้แต่เงินค่าเล่าเรียนยังไม่มี ข้าเองที่ต้องคอยแอบให้เขาทุกเดือน ให้เขาได้ร่ำเรียนอย่างสบายใจ เขาก็เคยให้แม่สื่อมาทาบทามสู่ขอที่บ้านข้า แต่พอบิดามารดาข้าได้ยินว่าเขามีแต่ตัว หลังจากพูดถากถางเหยียดหยันก็ให้คนไล่แม่สื่อออกไป พอเขารู้เรื่องก็อับอายแทบแทรกแผ่นดิน เอาแต่พูดว่าตัวเองไม่คู่ควรกับข้า จะตัดขาดกับข้าให้ได้ ข้าโตมากับเขาแต่เด็ก เห็นเขาเป็นสามีของตัวเองมานานแล้ว ข้ากลัวเขาจะไปจากข้าจริงๆ ถึงได้…”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเย้ยหยัน “จึงคิดใช้กลยุทธ์ลอบตีเฉินชัง[1]”
อวี้อวี่หลับตาลงอย่างเจ็บปวดพูดว่า “หลังจากที่ข้ารู้ว่าตัวเองตั้งท้อง ข้าตกใจมาก ไปปรึกษากับเขา เขาจะพาข้าหนีตามกันไปทันที แต่เขาไม่มีสถานะเงินทอง ข้าก็มีเพียงเครื่องประดับมีค่าไม่กี่ชิ้น ด้วยความจนใจ พวกเราจึงคิดวิธีนี้ออกมา เริ่มจากให้แม่สื่อมาพูดทาบทามสู่ขอ บอกว่าอีกฝ่ายเป็นคุณชายเศรษฐีทั้งรูปงามความสามารถเด่น บิดามารดาข้าได้ยินก็รับปากทันใด บอกว่าต้องการพบหน้าคุณชายเศรษฐีท่านนี้ เขาจึงให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาปลอมตัวเป็นคุณชายเศรษฐี ปรากฏตัวต่อหน้าบิดามารดาข้า บิดามารดาข้าเห็นเพื่อนร่วมชั้นเรียนเขากิริยามารยาทเรียบร้อย ท่วงท่าสง่างาม ก็ปิติยินดี กำหนดวันแต่งงานกับแม่สื่อในทันที พวกเราตั้งใจให้เพื่อนร่วมชั้นเรียนของเขาแสร้งมีเจตนาจะหมั้นหมายกับข้า รอให้หมั้นหมายแล้วค่อยหาเหตุผลถอนหมั้น ไม่คิดว่าตอนพวกเราไปตลาดเดินผ่านรถม้าของบ้านพวกเจ้า พอดีกับที่ม้าของพวกเจ้าตกใจ ส่งเสียงร้องดังลั่น ตอนนั้นข้าตกใจจนล้มนั่งไปกับพื้นจริงๆ สาวใช้ของข้าเห็นบ้านพวกเจ้ามีรถม้า บวกกับที่พี่ใหญ่เจ้าก็แต่งกายใช้ได้ รู้ว่าบ้านพวกเจ้าจักต้องเป็นครอบครัวเศรษฐีในบ้านนอก จึงตัดสินใจพลการ เจตนาร้องป่าวประกาศเรื่องที่ข้ากำลังจะหมั้นหมายกับคุณชายเศรษฐี สาวใช้รับใช้ข้ามาแต่เด็ก ข้าไหนเลยจะไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร ในตอนนั้นข้าพยายามพูดเอ็ดนางแล้ว แต่ไม่คิดว่าภายหลังพวกเจ้าจะปรากฏตัว เรื่องจึงดำเนินมาถึงขั้นที่ไม่อาจควบคุมได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างเย็นเยียบ “ดังนั้นพวกเจ้าจึงเปลี่ยนแผนเดิมที่วางไว้ ดึงพี่ใหญ่ข้าเข้ามาร่วมด้วย”
อวี้อวี่ส่ายหน้าไม่หยุด พูดว่า “พอข้ากลับไป ก็ดุด่าสาวใช้อย่างรุนแรง เตือนนางให้ยุติเรื่องไว้เท่านี้ อย่าดึงคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้อง แต่นางบอกว่ามีเพียงคนอย่างพวกเจ้าถึงจะหมั้นหมายได้เร็วขึ้น และสามารถถอนหมั้นได้อย่างง่ายดาย เพราะถ้ามัวชักช้า ร่างกายของข้าก็จะปิดบังไม่อยู่แล้ว ข้าสติเลอะเลือนชั่วขณะ จึงรับปากไป”
“เช่นนั้นเหตุใดวันนี้ถึงมาพูดความจริงทั้งหมดกับข้า” เมิ่งเชี่ยนโยวถามอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “หลังจากพวกเจ้ามาบ้านข้า ข้าและสาวใช้ก็แอบย่องมาหลบอยู่หลังประตูแอบฟังเจ้าและบิดามารดาข้าพูดคุยกัน รู้ว่าเจ้าไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานนี้ ทั้งยังฟังออกว่าบิดามารดาข้าได้ล้มเลิกความคิดจะให้ข้าแต่งกับพี่ชายเจ้าแล้ว ข้าพลันว้าวุ่นใจเดินออกมา โกหกบิดามารดาข้าว่าแอบพึงใจพี่ชายของเจ้า ปฏิกิริยาของพี่ชายเจ้าในตอนนั้นข้าก็เห็นเต็มสองตา รู้ว่าเขายินดีกับการแต่งงานนี้ และรู้ว่าพวกเขาจะต้องรีบมาทาบทามสู่ขอ ข้ายังลอบถอนใจโล่งอก คิดว่าเรื่องนี้ไม่นานก็จะสำเร็จ ข้าและคนรักของข้าไม่นานก็จะได้อยู่ด้วยกัน แต่พอพวกเจ้าไปแล้ว ข้าก็กลับมาคิดทบทวนอย่างละเอียด พบว่าหากข้าหมั้นหมายกับพี่ใหญ่เจ้าแล้วจริงๆ ค่อยหาวิธีถอนหมั้น จะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของพี่ใหญ่เจ้า และภายหน้าหากเขารู้ว่าข้าใช้กลอุบายกับเขา มิได้ชอบเขาด้วยใจจริง เขาจะต้องเจ็บปวดแสนสาหัส ข้าทำใจทำร้ายพี่ใหญ่เจ้าไม่ได้ ต่อให้ภายหน้าข้าได้ครองคู่กับคนที่ข้ารักจริงๆ ใจข้าก็ไม่มีวันอยู่เป็นสุขไปทั้งชีวิต ดังนั้นวันนี้ข้าและสาวใช้จึงมาที่ภัตตาคารนี้แต่เช้า จองห้องที่อยู่ใกล้ถนนที่สุดไว้ คอยเฝ้ามองกลุ่มคนที่สัญจรไปมาบนท้องถนนข้างหน้าต่าง พอเห็นพวกเจ้า ก็ให้สาวใช้ไปเชิญพวกเจ้าเข้ามา พูดเรื่องทั้งหมดกับพวกเจ้า ข้าไม่ได้ร้องขอให้พวกเจ้าให้อภัย เพียงแค่ไม่อยากดึงคนบริสุทธิ์เข้ามาเกี่ยวข้องเพิ่มอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงพูดอย่างเคืองขุ่น “แต่เจ้าได้ดึงพวกเราทั้งครอบครัวเข้ามาแล้ว มารดาข้าหลังจากเห็นเจ้าครั้งก่อน ก็เอาแต่ชื่นชมเจ้าออกนอกหน้า บอกว่าเจ้ามีการศึกษารู้ขนบ อ่อนโยนเป็นกุลสตรี หากไม่เพราะรู้ว่าเจ้ากำลังจะหมั้นหมายกับคุณชายเศรษฐี คงส่งแม่สื่อมาทาบทามสู่ขอนานแล้ว เมื่อวานพอได้ยินพี่ใหญ่ข้ากลับไปพูดเช่นนั้น ได้รู้ว่าเจ้าก็พอใจพี่ใหญ่ข้า ดีใจจนแทบอยากจะมาสู่ขอเจ้าในทันที วันนี้แม้ข้าและบิดาจะบังคับรถม้าออกมา พวกเขาเข้าเมืองมาไม่ได้ คาดว่าคงจะหาแม่สื่อเตรียมไว้ที่บ้านพร้อมแล้ว รอแค่พวกเรากลับไปก็จะมาสู่ขอเจ้า จนถึงตอนนี้ เจ้าเพิ่งจะมาพูดว่าเจ้าสำนึกได้แล้ว ไม่อยากดึงคนอื่นมาเกี่ยวข้อง เจ้าไม่คิดว่าสายเกินไปหรือ”
คิมฟังคำพูดนางจบ พูดด้วยความเสียใจอย่างสุดซึ้ง “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้าเอง แม่นางเมิ่งจะด่าว่าทุบตีอย่างไรก็ได้ ข้าจะไม่ปริปากโอดครวญเด็ดขาด หากยังรู้สึกไม่หายแค้น ข้าจะตามเจ้ากลับบ้าน พูดความจริงกับพี่ใหญ่และมารดาเจ้าว่าเรื่องที่ข้าวางแผนต่อพี่ใหญ่เจ้า ให้พวกเขาทุบตีข้าระบายความคับแค้นในใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับอย่างเหยียดหยัน “อย่าดีกว่า ด้วยสภาพของเจ้าตอนนี้ หากมาเป็นอะไรที่บ้านข้าขึ้นมา ต่อให้พวกเรามีปากทั่วตัวก็อธิบายได้ไม่กระจ่าง”
สีหน้าของอวี้อวี่ซีดขาวหนักกว่าเดิม พูดว่า “วันนี้ข้าบอกเรื่องทั้งหมดกับเจ้าแล้ว การแต่งงานของข้ากับพี่ใหญ่เจ้าจะไม่เกิดขึ้นอีก กับบิดามารดาข้ายิ่งไม่มีคำตอบให้พวกเขา ข้าคิดไว้แล้ว รอพูดกับแม่นางเสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าจะให้สาวใช้ไปซื้อยาขับเลือดมา กลับถึงบ้านแล้วค่อยแอบกิน ไม่แน่ว่าไม่ถึงวันพรุ่ง เด็กคนนี้ก็จะไปจากข้าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ พูดว่า “เจ้าพูดเช่นนี้ คิดจะให้ข้าเกิดความรู้สึกเห็นใจ ให้อภัยเจ้าหรือ”
อวี้อวี่รีบร้อนโบกมือ พูดว่า “เปล่าๆๆ ข้าไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น ข้าอยากทำเช่นนี้จริงๆ มิได้ต้องการความเห็นใจจากแม่นาง อีกอย่างข้ากระทำเรื่องวางแผนต่อพวกเจ้า เจ้าไม่ได้ด่าว่าทุบตีข้า นับว่ามีน้ำใจมากแล้ว ข้าจะเอาเรื่องนี้มาขอความเห็นใจจากพวกเจ้าอีกได้อย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวผ่อนคลายสีหน้าลง พูดว่า “เมื่อเจ้ารักมั่นต่อคนรักของเจ้าเช่นนี้ เหตุใดถึงไม่ลองสู้กับบิดามารดาของเจ้าสักครั้ง”
อวี้อวี่ส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้อะไร ตอนที่คนรักข้ามาทาบทามสู่ขอแล้วถูกปฏิเสธ ข้าได้ร้องไห้อาละวาดกับบิดามารดาแล้ว กระทั่งใช้การฆ่าตัวตายมาข่มขู่พวกเขา พวกเขาก็ยังไม่รับปาก ทั้งบอกข้าว่า หากข้ายังอาละวาดไม่เลิก พวกเขาจะให้คนตัดอนาคตคนรักของข้า ให้เขาเป็นเพียงคนรู้หนังสือยากแค้นไปทั้งชีวิต ข้ารู้ว่าบิดามารดาข้าพูดจริงทำจริง ข้าตกใจมาก ยอมประนีประนอม บอกพวกเขาว่าต่อไปข้าจะไม่ติดต่อกับเขาอีก หากพวกเขารู้ว่าข้าตั้งท้อง ไม่เพียงจะทำลายอนาคตเขา ทั้งยังจะแอบส่งคนไปเอาชีวิตเขา หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงทุกข์ทรมานจนไม่อยากมีชีวิตอยู่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็น “ดังนั้นเจ้าจะแบกรับผลกรรมนี้ไว้คนเดียว ให้คนรักของเจ้าใช้ชีวิตอย่างอิสระมีความสุขของเขาต่อไป”
อวี้อวี่โบกมือพูด “แม่นางเข้าใจเขาผิดแล้ว หลังจากเขารู้ว่าข้าตั้งท้อง เขาเองก็ร้อนใจกินข้าวไม่ลง นอนไม่หลับ จนซูบผอมลงไปไม่น้อยเช่นกัน อีกทั้ง เขายังไม่สนสถานะของบัณฑิต เที่ยวยืมเงินไปทั่ว คิดจะรวบรวมเงิน พาข้าหนีตามกันไป จนใจที่รอบข้างเขาก็มีแต่บัณฑิต ไม่มีเงินให้ยืมมาก วันไหนที่พวกเราลับลอบพบกัน เขาคอยแต่จะเอาหัวชนกำแพง บอกว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง ช่วยแก้ปัญหาแทนข้าไม่ได้สักอย่าง เขาเป็นเช่นนี้ ข้าทำทุกสิ่งเพื่อเขาก็คุ้มค่าแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เมื่อเจ้าพูดถึงเขาดีเช่นนี้ ก็ให้เขามาที่นี่เถอะ ข้าก็อยากเห็นว่า เขาเป็นคนอย่างไร ถึงทำให้คุณหนูรู้ขนบเยี่ยงเจ้ากระทำเรื่องเหลวไหลได้ถึงเพียงนี้”
อวี้อวี่ตกใจ ได้สติกลับมา รีบพูดวิงวอน “ทั้งหมดเป็นความผิดของข้า เรื่องที่วางแผนต่อพวกเจ้าไม่เกี่ยวข้องกับเขา หากแม่นางอยากระบายแค้น ก็มาทุบตีข้าเถอะ ข้าจะไม่ป้องกันเด็ดขาด ขอร้องเจ้าอย่าลงมือกับเขาเด็ดขาด”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะเยาะหยัน “เจ้ารักมั่นต่อเขายิ่งนัก ไม่รู้ว่าหากเขาเห็นเจ้าคุกเข่าต่อหน้าข้าเช่นนี้ จะมีปฏิกิริยาอย่างไร”
อวี้อวี่ไม่ได้พูด
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปนั่งที่เก้าอี้อีกครั้ง พูดว่า “หากเจ้าไม่อยากให้ข้านำเรื่องโสมมของพวกเจ้าประกาศออกไป เจ้าก็จงให้สาวใช้รีบไปเรียกตัวเขามาเถอะ ความอดทนข้ามีขีดจำกัด หากภายในหนึ่งเค่อเขายังมาไม่ถึง ข้าอาจจะทำเหมือนบิดามารดาเจ้า ให้ชั่วชีวิตนี้ของเขาไม่มีวันได้เชิดหน้าชูตา”
อวี้อวี่แหงนหน้าอย่างตื่นตกใจ ริมฝีปากสั่นระริก “เหตุใดแม่นางต้องบีบบังคับพวกเราเช่นนี้ พวกเราเพียงเลอะเลือนชั่วขณะ ถึงคิดวางแผนกับพวกเจ้า แต่ก็หาได้สร้างความเสียหายหนักหนาให้พวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไม่ได้สร้างความเสียหายหนักหนา ข้าถามหน่อย หากข้ากลับไป มารดาข้าหาแม่สื่อได้แล้ว เจ้าจะให้ข้าพูดกับนางอย่างไร บอกว่านางมองคนผิด แยกแยะคนไม่เป็น เห็นตาปลาเป็นไข่มุก หรือบอกพี่ใหญ่ข้าว่า ความจริงแล้วคุณหนูอวี้ไม่ได้พึงพอใจเขา แต่เพื่อวางแผนให้เขาติดกับถึงต้องพูดเช่นนี้”
อวี้อวี่พูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดอย่างเ**้ยมเกรียม “เร็วเข้า ไม่เช่นนั้นข้าจะลงมือตอบโต้พวกเจ้าแล้ว”
อวี้อวี่ขวัญหนีดีฝ่อกับน้ำเสียงเ**้ยมเกรียมของนาง จำต้องร้องตะโกน “เซี่ยเหอ!”
เซี่ยเหอรับคำเดินเข้ามา เห็นอวี้อวี่คุกเข่ากับพื้น ปวดใจสุดแสน จึงคุกเข่าขอร้องด้วย “แม่นางเมิ่ง คุณหนูของเรากำลังตั้งท้อง ขอร้องท่านให้นางลุกขึ้นเถอะ หากท่านต้องการระบายแค้น ก็ให้ข้าคุกเข่าแทนเถอะ จะนานแค่ไหนก็ได้ จนกว่าท่านจะหายแค้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเยาะหยัน “เจ้าช่างเป็นทาสผู้ภักดี ข้าอยากถามเจ้า คุณหนูพวกเจ้าตั้งท้องเกี่ยวอะไรกับข้าด้วย”
เซี่ยเหอชะงักงัน
อวี้อวี่รีบพูด “เซี่ยเหอไม่ต้องพูดแล้ว ข้าที่สมัครใจคุกเขาให้แม่นางเมิ่งเอง พวกเราทำเรื่องผิดร้ายแรงเช่นนั้น แม่นางเมิ่งไม่ได้ลงมือตีพวกเรา ถือว่ามีจิตใจโอบอ้อมอารีย์มากแล้ว”
เซี่ยเหอตาแดงก่ำ พูดว่า “คุณหนู เป็นความผิดข้าเอง หากไม่ใช่เพราะข้าทำโดยพลการ เห็นท่านถูกรถม้าของบ้านพวกเขาทำให้ตกใจล้มไปบนพื้นในตลาด จนเกิดความคิดแผลงนั้นขึ้น ท่านคงไม่ต้องลำบากใจเช่นนี้ ยิ่งไม่ต้องคุกเข่าให้ใคร”
อวี้อวี่โน้มน้าวนาง “เจ้าไม่ต้องตำหนิตัวเองแล้ว ข้ารู้ว่าที่เจ้าทำก็เพราะหวังดีกับข้า เจ้ารีบลุกขึ้นเถอะ ไปเรียกคุณชายจางมาก บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญกับเขา ให้เขารีบมาที่ภัตตาคาร”
เซี่ยเหอยังคงพูดอย่างเป็นกังวล “คุณหนู แต่ว่าสุขภาพท่าน…”
อวี้อวี่เร่งเร้านาง “ข้าไม่เป็นไร เจ้ารีบไปเถอะ ให้เขาจงรีบมา”
เซี่ยเหอพยักหน้า ลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งออกไป
อวี้อวี่ยังคงคุกเข่าบนพื้น เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้สนใจนาง นั่งบนเก้าอี้ มุ่นหัวคิ้วขบคิดว่ากลับไปจะพูดเรื่องนี้กับเมิ่งชื่ออย่างไร
ไม่นานเสียงฝีเท้ารีบร้อนหนึ่งก็ดังขึ้นบนชั้นสองของภัตตาคาร ชายหนุ่มคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา เห็นอวี้อวี่คุกเข่าอยู่บนพื้น ร้องอุทานเสียงต่ำ “อวี่เอ๋อร์ เจ้าทำอะไร เจ้าตั้งท้องอยู่นะ รีบลุกขึ้น”
[1] กลยุทธ์ลอบตีเฉินชัง เป็นหนึ่งในกลศึกสามก๊ก หมายถึงการหลอกล่อศัตรูแสร้งทำเป็นนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตีทางด้านหน้า แต่ลอบนำกำลังทหารบุกเข้าโจมตีในพื้นที่เขตแดนที่ฝ่ายศัตรูไม่ทันคาดคิดและสนใจวางแนวกำลังป้องกัน