ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 140.2
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกมานอกภัตตาคารด้วยใบหน้าเคร่งขรึม เดินมาถึงรถม้าบ้านตัวเอง แล้วพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “ท่านพ่อ พวกเรากลับบ้าน ไปรับท่านแม่และพี่ใหญ่มา คุณหนูอวี้มีเรื่องจะพูดกับพวกเขา”
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นนางสีหน้าผิดปกติ รอจนนางขึ้นนั่งบนรถม้าเรียบร้อยแล้ว ก็รีบบังคับรถม้ามุ่งหน้ากลับ กระทั่งออกมาจากตัวเมือง ถึงหยั่งเชิงซักถามอย่างระวัง “โยวเอ๋อร์ คุณหนูอวี้พูดสิ่งใดกับเจ้าหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ ออกมานั่งด้านหน้า พิจารณาการใช้ถ้อยคำเล่าเรื่องที่อวี้อวี่วางแผนต่อเมิ่งเสียนออกมา
เมิ่งเอ้ออิ๋นได้ฟังแล้วก็ตกใจ เกือบจะบังคับรถตกคูข้างทาง ผลุนผลันจอดรถม้า หันไปพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไม่เชื่อ “แม่เจ้าบอกว่าคุณหนูสกุลอวี้เป็นคนมีการศึกษาอยู่ในขนบ เหตุใดถึงกระทำเรื่องเช่นนี้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “คงไม่มีหนทางอื่นแล้ว ถึงคิดแผนนี้ออกมา”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ “เมื่อเจ้ารู้เรื่องราวทั้งหมดแล้ว กลับไปบอกแม่เจ้าและเสียนเอ๋อร์ก็ได้แล้ว เหตุใดยังต้องรับพวกเขามาอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจพูดว่า “ท่านพ่อ ท่านไม่เห็นท่าทางดีใจเมื่อวานของท่านแม่หรือ หากข้ากลับไปบอกนางเรื่องที่คุณหนูอวี้วางแผนกับพี่ใหญ่ คาดว่านางจะคิดว่าเป็นพวกเราที่ไม่เห็นด้วยเรื่องการแต่งงานของพี่ใหญ่และคุณหนูอวี้จึงกุเรื่องขึ้น ไม่แน่ว่าจะตำหนิพวกเราด้วยเหตุนี้ก็ได้ ยังมีพี่ใหญ่ เมื่อวานได้ยินคุณหนูอวี้พูดเต็มสองรูหนูว่าแอบพึงพอใจเขา หากวันนี้พวกเรากลับไปบอกเขา ว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องเท็จ เป็นคุณหนูอวี้ที่เจตนาพูดออกมาเพื่อให้เขาหมั้นหมายกับตนเอง ท่านคิดว่าพี่ใหญ่จะเชื่อหรือไม่ วิธีที่ดีที่สุดก็คือพาพวกเขามา ให้คุณหนูอวี้พูดต่อหน้าพวกเขาให้ชัดเจน ไม่ว่าจะด่าทอหรือทุบตี แล้วแต่พวกเขาจะยินดีเถอะ”
“แต่หากแม่เจ้าได้ยินคำพูดคุณหนูอวี้ แล้วลงไม้ลงมือกับนางจริงๆ จะทำอย่างไร เพราะอย่างไรนางก็ชื่นชอบคุณหนูอวี้เป็นอย่างมากตั้งแต่แรกเห็นแล้ว” เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างเป็นกังวล
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านพ่อ ท่านไม่ต้องเป็นกังวลว่าท่านแม่จะลงมือกับคุณหนูอวี้หรือไม่แล้ว เป็นกังวลก่อนเถิดว่าตอนนี้ท่านแม่ป่าวประกาศเรื่องที่พี่ใหญ่จะหมั้นหมายกับคุณหนูอวี้ไปแล้วหรือยัง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถึงนึกได้ว่าตอนเช้าที่ตัวเองออกจากบ้านมา เมิ่งชื่อกำลังจะไปหาแม่สื่อ รีบร้อนพูดขึ้น “โยวเอ๋อร์ เจ้าเข้าไปนั่งในรถม้าให้ดี พ่อต้องรีบหน่อยแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถอยเข้าไปนั่งในรถให้ดี
เมิ่งเอ้ออิ๋นบังคับรถม้าพุ่งทะยานไป ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็มาถึงหน้าประตู
ไม่รอให้รถม้าจอดสนิท เมิ่งเชี่ยนโยวก็กระโดดลงจากรถม้า กระวีกระวาดเดินเข้าไปในบ้าน
ฟ้าตอนนี้เป็นเวลาเที่ยง ในลานบ้านมีแต่คนงานนั่งยองกินข้าว พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเข้ามา ก็กล่าวทักทายนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปรอบลานบ้าน ไม่เห็นเมิ่งชื่อและเมิ่งเสียน ลุกลนเดินเข้าไปในบ้าน เห็นเมิ่งชื่อกำลังนั่งกินข้าวอยู่ในบ้านพร้อมเมิ่งเสียน เมิ่งฉี เมิ่งชิงและเมิ่งเจี๋ย ก็ถอนใจโล่งอก
เมิ่งชื่อเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา พูดอย่างกระวนกระวายใจ “โยวเอ๋อร์ เหตุใดพวกเจ้าเพิ่งกลับมา แม่ร้อนใจจะแย่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงแผ่ว “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือ”
เมิ่งชื่อตอบกลับ “เกิดเรื่องใหญ่แล้ว แม่ขบคิดตลอดทั้งเช้า ก็คิดไม่ออกว่าหมู่บ้านละแวกนี้มีแม่สื่อคนไหนที่เหมาะสม แม่ใคร่ครวญดูแล้ว คิดว่าพ่อเจ้าพูดถูกต้อง ไม่เช่นนั้นแม่ไปด้วยตัวเองก็ได้ เพราะอย่างไรพ่อแม่เขาก็ได้พบพวกเจ้าแล้ว จะต้องไม่หาเรื่องเอาความแม่แน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจโล่งอก โพล่งหัวเราะแล้วพูดว่า “ย่อมได้ อีกประเดี๋ยวท่านแม่กินข้าวอิ่มแล้ว ข้าจะตามท่านกับพี่ใหญ่เข้าเมืองไปด้วยกันอีกครั้ง”
เมิ่งชื่อถามอย่างยินดี “เจ้าก็เห็นชอบที่แม่ทำเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “เห็นชอบแน่นอน”
เมิ่งชื่อลุกขึ้นยืน พูดอย่างยินดี “เช่นนั้นยังจะรออะไร พวกเราไปกันตอนนี้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมเห็นด้วย
เมิ่งชื่อพูดกับเมิ่งเสียนที่วางตะเกียบแล้วว่า “เสียนเอ๋อร์ เจ้ารีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าดีๆ ในห้อง จัดการให้ว่องไว แม่ก็จะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดสวย หยิบเงินจำนวนหนึ่ง พอไปถึงตัวเมือง พวกเราไปซื้อของจำนวนหนึ่งก่อน ค่อยไปบ้านของคุณหนูนางนั้น ไปบ้านพวกเขาครั้งแรก พวกเราจะเสียมารยาทไม่ได้”
เมิ่งเสียนรับคำ วิ่งกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างชื่นบาน
เมิ่งชื่อก็ดีอกดีใจกลับไปที่ห้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งในตำแหน่งที่เมิ่งเสียนเพิ่งนั่งไป
เมิ่งเจี๋ยถามอย่างดีใจ “ท่านพี่ พี่ใหญ่จะแต่งภรรยาแล้วหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวลูบศีรษะเขา แย้มยิ้มถาม “เจี๋ยเอ๋อร์รู้ได้อย่างไรว่าพี่ใหญ่จะแต่งภรรยา”
เมิ่งเจี๋ยตอบอย่างไร้เดียงสา “ท่านแม่บอกอย่างไรเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว ถาม “ท่านแม่พูดตอนไหน พูดกับใคร”
เมิ่งเจี๋ยตอบนาง “วันนี้ท่านแม่อยู่ในบ้านเอาแต่พูดไม่หยุดว่าจะหาแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอให้พี่ใหญ่ ข้าถึงได้ยิน”
“ในบ้านยังมีคนอื่นหรือไม่” เมิ่งเชี่ยนโยวถามต่อ
เมิ่งเจี๋ยส่ายหน้า “ไม่มี มีแต่ท่านแม่ที่เอาแต่พร่ำบ่นไม่หยุด”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนใจ ลูบหัวเมิ่งเจี๋ยพูดว่า “เจี๋ยเอ๋อร์ เด็กดี เรื่องนี้ห้ามพูดกับคนอื่นเด็ดขาด”
เมิ่งเจี๋ยไม่เข้าใจ ย่นหัวคิ้วถามขึ้น “พี่ใหญ่จะแต่งภรรยาเป็นเรื่องน่ายินดีไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงพูดกับคนอื่นไม่ได้ ตอนพี่ใหญ่ของโก่วจื่อจะแต่งภรรยา เขาดีใจมาพูดโอ้อวดกับพวกเราตั้งหลายวัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาอย่างจริงจัง “เจี๋ยเอ๋อร์ไม่ต้องอิจฉาพวกเขา รอให้พี่ใหญ่แต่งภรรยามาจริงๆ เจ้าค่อยไปโอ้อวดกับพวกเขา แต่ตอนนี้ไม่ได้ พี่ใหญ่ยังไม่ได้หมั้นหมาย หากเจ้าไปบอกคนอื่นตอนนี้ พวกเขาจะหัวเราะเจ้าได้”
เมิ่งเจี๋ยรับคำอย่างเข้าใจแต่ก็ยังไม่เข้าใจ “ข้ารู้แล้วท่านพี่ ข้าจะยังไม่พูดกับคนอื่นตอนนี้”
เมิ่งฉีมองสีหน้าอาการเมิ่งเชี่ยนโยวผิดปกติ ถามอย่างห่วงใย “น้องสาว เกิดเรื่องอันใดขึ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบกลับ “พี่รอง ฝั่งคุณหนูอวี้เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย อีกประเดี๋ยวข้าท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่ จะเข้าเมืองไปอีกรอบ ท่านต้องดูแลบ้านเจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์ให้ดี”
เมิ่งฉีถามอย่างเป็นห่วง “เป็นเรื่องที่จัดการยากหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ รอให้ถึงตัวเมืองก็จะรู้เอง”
เมิ่งฉีไม่ได้ถามอีก พูดรับประกัน “เจ้าวางใจเข้าเมืองไปพร้อมท่านพ่อท่านแม่และพี่ใหญ่เถอะ ในบ้านยังมีข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า พูดกำชับเขา “ตอนบ่ายท่านไม่ต้องผลิตน้ำมันพริกแล้ว คอยเฝ้าดูอยู่ในลานบ้าน หากเจอเรื่องที่จัดการแก้ไขไม่ได้ ก็ให้ลุงใหญ่และอาสามมาช่วย”
เมิ่งฉีพยักหน้า รับคำ “ข้ารู้แล้ว”
เมิ่งชื่อเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ใส่เครื่องประดับที่ซื้อมาตอนปีใหม่ เดินหน้าบานออกมาจากในห้อง ถามเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “โยวเอ๋อร์ แม่แต่งตัวเช่นนี้พอใช้ได้หรือไม่ จะไม่ถูกบิดามารดาคุณหนูอวี้ดูถูกเอาได้ใช่หรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนยิ้มพูดว่า “ท่านแม่แต่งตัวได้ดีมาก บิดามารดาคุณหนูอวี้เห็นจะต้องไม่คิดว่าท่านเป็นคนบ้านนอก”
เมิ่งชื่อมองดูเสื้อผ้าตัวเองอีกครั้ง พูดอย่างดีใจ “เจ้าพูดเช่นนี้ แม่ก็วางใจ แม่เอาแต่หวาดกลัวว่าพอบิดามารดาคุณหนูอวี้เห็นการแต่งกายเช่นนี้ของแม่ จะเปลี่ยนใจ ไม่ยอมยกคุณหนูอวี้ให้แต่งกับเสียนเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเสียนเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เดินออกมาจากในห้อง เมิ่งชื่อมองหน้ามองหลังเขา พูดอย่างพึงพอใจ “เสียนเอ๋อร์แต่งตัวได้หล่อเหลาภูมิฐานนัก คุณหนูอวี้เห็นแล้วจะต้องมองไม่กะพริบตา”
เมิ่งเสียนหน้าแดง
เมิ่งชื่อพูดอย่างอดใจรอไม่ไหว “ไปเถอะ พวกเราเข้าไปในเมืองแล้วยังต้องไปเลือกซื้อของติดไม้ติดมืออีก ไปหาพวกเขาครั้งแรก จะให้บิดามารดานางคิดว่าพวกเราข้นแค้นไม่ได้” พูดจบ ก็หันหลังเดินออกไปข้างนอก เมิ่งเสียนรีบเดินตามไป เมิ่งเชี่ยนโยวก็ลุกขึ้นยืน เดินตามออกไป
คนงานจับกลุ่มกันกินข้าวอิ่มแล้ว กำลังจะไปพักผ่อนในโรงงาน เห็นพวกเขาทั้งหมดเดินออกมา ทยอยกันส่งเสียงทักทาย
สะใภ้จางจู้ตาแหลมเห็นเมิ่งชื่อแต่งกายชุดใหม่ ร้องถามเสียงดังลั่น “น้องสะใภ้ เจ้าแต่งตัวสวยเช่นนี้ออกจากบ้าน มีเรื่องมงคงอันใดหรือ”
เมิ่งชื่อกำลังจะตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับแย่งพูดก่อน “ป้าสะใภ้ใหญ่ จะมีเรื่องมงคลอันได้ได้ พอดีวันนี้อากาศดี ข้าอยากให้ท่านแม่ช่วยเข้าเมืองไปเลือกเครื่องประดับสองสามชิ้นให้ข้า”
สะใภ้จางจู้พูดอย่างผิดหวัง “อ่อ ที่แท้ก็จะไปซื้อเครื่องประดับ ข้านึกว่าจะไปทาบทามสู่ขอให้เสียนเอ๋อร์เสียเล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพลันคล้องแขนเมิ่งชื่อแน่น หัวเราะแหะๆ พูดกับสะใภ้จางจู้ “ป้าใหญ่คิดไปไหนแล้ว หากไปทาบทามสู่ขอให้พี่ใหญ่จริงๆ จะไม่บอกท่านกับลุงใหญ่ก่อนได้อย่างไร”
สะใภ้จางจู้ตบหน้าผาก หัวเราะพูด “ข้าเลอะเลือนนัก โยวเอ๋อร์พูดถูกต้อง หากเสียนเอ๋อร์จะไปสู่ขอ จักต้องบอกข้าก่อน”
คนทั้งหมดหัวเราะร่วน ต่างพูดแหย่เย้านาง
สะใภ้จางจู้หัวเราะแล้วด่าทอกลับไป
เมิ่งชื่อเดินมาถึงนอกประตู ถามอย่างประหลาดใจ “โยวเอ๋อร์ เหตุใดเจ้าไม่ให้แม่บอกว่าไปทาบทามสู่ขอให้พี่ใหญ่เจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ท่านแม่ เรื่องนี้ยังไม่มีความคืบหน้า รอให้พี่ใหญ่ได้หมั้นหมายจริงๆ ค่อยพูดก็ยังไม่สาย”
เมิ่งชื่อตรึกตรองดู ยิ้มแล้วสบถว่า “เจ้าช่างเล่ห์เหลี่ยมเยอะกว่าใคร”
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้นปลิ้นตาอย่างซุกซน
เมิ่งชื่อหัวเราะเดินขึ้นรถม้า กำชับเมิ่งเสียน “เสียนเอ๋อร์ เจ้าไปบังคับรถม้า ให้พ่อเจ้าอยู่ดูแลบ้าน พวกเราแม่ลูกสามคนไปก็พอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบเข้าห้ามปราม “ท่านแม่ ให้ท่านพ่อบังคับรถม้าเถอะ วันนี้พี่ใหญ่ไปดูตัว หากต้องบังคับรถม้า เสื้อผ้าชุดใหม่จะสกปรกได้”
เมิ่งชื่อคิดว่าหากพวกเขาทั้งหมดเข้าเมือง ในบ้านจะเหลือเพียงเมิ่งฉี เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงสามคน พูดอย่างไม่ว่างใจ “พวกเราเข้าเมืองไปกันหมด บ้านจะทำอย่างไร หากเกิดเรื่องขึ้น พี่รองเจ้ารับมือไม่ไหว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบประโลม “พวกเราใช้เวลาไม่นานก็กลับมาแล้ว ในบ้านคงไม่เกิดเรื่องอะไร ข้าก็กำชับพี่รองแล้ว หากมีเรื่องอะไรที่เขาจัดการไม่ได้ ก็ให้ไปตามลุงใหญ่มาช่วย ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”
เมิ่งชื่อได้ยินนางพูดเช่นนี้ก็วางใจลง พยักหน้าเห็นด้วย “ได้ เช่นนั้นก็ให้พ่อเจ้าบังคับรถม้า พวกเราทั้งหมดเข้าเมืองด้วยกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนก็เข้ามานั่งในห้องโดยสาร เมิ่งเอ้ออิ๋นตวัดบังเ**ยน บังคับรถม้ามุ่งหน้าเข้าเมือง
ตั้งแต่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวจากไป จางเจ๋อหวยและอวี้อวี่ก็รออยู่ในห้องรับรอง หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยามกว่า ทั้งสองก็เริ่มรู้สึกกระสับกระส่าย จางเจ๋อหวยเอาแต่เดินวนไปมาอยู่ในห้องรับรอง อวี้อวี่ก็เอาแต่ร่ำไห้ไม่หยุด มองเขาอย่างเป็นห่วง
เซี่ยเหออยู่นอกประตูก็งุ่นง่านใจเอาแต่กระทืบเท้า มีหลายครั้งที่คิดจะพุ่งเข้าไปลากตัวอวี้อวี่กลับบ้าน
เสี่ยวเอ้อภัตตาคารเข้ามารบเร้าหลายครั้ง ถามพวกเขาว่าต้องการสั่งอาหารหรือไม่ ก็ถูกเซี่ยเหออ้างเหตุผลยังมีแขกที่ยังมาไม่ถึง ขวางอยู่หน้าประตู
เวลาที่รอคอยนานขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเซี่ยเหอก็ทนต่อไปไม่ไหว เดินเข้าไปในห้องรับรองโดยไม่เคาะประตู พูดอย่างว้าวุ่นใจ “คุณหนู พวกเรากลับจวนเถอะ คุณหนูเมิ่งไปนานขนาดนี้ยังไม่กลับมา จะต้องปรึกษากับคนในครอบครัวว่าจะลงโทษพวกเราอย่างไรอยู่”
อวี้อวี่ไม่มีความคิดเห็น ร้องเรียกเสียงแผ่ว “พี่เจ๋อหวย” หวังว่าเขาจะเป็นผู้ตัดสินใจ
จางเจ๋อหวยมองอวี้อวี่ที่มองตัวเองอย่างน่าเศร้าสังเวช หยุดชะงักฝ่าเท้า พูดอย่างตัดสินใจเด็ดขาด “อวี่เอ๋อร์ เมื่อเรารับปากแม่นางเมิ่งว่าจะพูดเรื่องนี้ต่อหน้ามารดาและพี่ใหญ่นาง พวกเราก็ไม่ควรผิดคำพูด ไม่ว่าจะนานแค่ไหน พวกเราก็ต้องรอ”
เซี่ยเหอพูดอย่างกระวนกระวายใจ “แต่ถ้าข้าและคุณหนูยังไม่กลับจวน นายท่านก็จะส่งคนออกตามหา หากมาพบพวกท่านอยู่ด้วยกันเข้า เขาได้สั่งคนตัดอนาคตของท่านเป็นแน่ ถึงตอนนั้นคุณหนูของเราคงสูญสิ้นความหวังจริงๆ”
จางเจ๋อหวยพยักหน้าพูด “ข้ารู้ แต่ถ้าวันนี้พวกเราไม่พูดต่อหน้าคนในครอบครัวแม่นางเมิ่งให้ชัดเจน จุดจบของข้าและอวี่เอ๋อร์ก็จะยิ่งน่าสังเวช ข้าไม่เพียงจะถูกตัดอนาคต ภายหน้าแม้แต่อวี่เอ๋อร์ก็จะต้องเผชิญหน้ากับการถูกคนนินทาวิพากวิจารณ์ ข้าไม่ต้องการเห็นอวี่เอ๋อร์ตกอยู่ในสภาพนั้น ข้าคิดดีแล้ว อีกประเดี๋ยวหากคนในครอบครัวแม่นางเมิ่งไม่ให้อภัยพวกเรา ข้าจะขอร้องพวกเขาไม่ให้ถือโทษอวี่เอ๋อร์ จะขอรับผิดทุกประการด้วยตัวเอง”
อวี้อวี่น้ำตาหยดเผาะอีกครั้ง ส่ายหน้าพูดว่า “ข้าไม่ต้องการ ข้าจะรับผิดกับท่าน”
จางเจ๋อหวยพูดปลอบประโลมนาง “อย่าโง่เลย ข้าเป็นผู้ชาย การลงโทษสูงสุดก็คือเข้าสอบเคอจวี่ไม่ได้ เรื่องอื่นไม่ส่งผลกระทบใดๆ ต่อข้า เจ้าไม่เหมือนกัน เจ้าเป็นคุณหนูสกุลใหญ่ผู้รู้ขนบ หากให้คนอื่นรู้ว่าเจ้าท้องก่อนแต่ง เจ้าคงสำลักตายเพราะน้ำลายจากปากผู้อื่น เจ้าจงเชื่อฟังข้า อีกประเดี๋ยวคนในครอบครัวแม่นางเมิ่งมาถึง เจ้าจงพยายามวิงวอนให้พวกเขาให้อภัย”
อวี้อวี่ร้องไห้พยักหน้า
เซี่ยเหอมองดูอวี้อวี่ถูกพูดกล่อมจนเชื่อ กระทืบเท้างุ่นง่านใจ เดินออกไปรอนอกประตู
เมิ่งเอ้ออิ๋นร้อนใจ ตะบึงฮ่อรถม้ามาด้วยความเร็ว เมิ่งชื่อและลูกๆ โคลงเคลงส่ายไปมาอยู่ในห้องโดยสาร
เมิ่งชื่อพยายามทรงตัวให้มั่นคง ยิ้มพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยว “พวกเจ้าดูพ่อเจ้าสิ เมื่อวานแม่บอกจะหาแม่สื่อไปทาบทามสู่ขอคุณหนูบ้านอวี้ เขายังไม่วางใจให้แม่ไปสืบถามความก่อน ค่อยตัดสินใจ ตอนนี้เป็นอย่างไร พอได้ยินว่าแม่จะไปสู่ขอให้เสียนเอ๋อร์ด้วยตัวเอง ก็ดีใจยกใหญ่ รีบร้อนจนรถม้าแทบจะบินได้อยู่แล้ว”
ฟังนางพูดจบ เมิ่งเสียนตื่นเต้นดีใจจนใบหน้าเปล่งแสง เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งชื่อรู้สึกว่านางผิดปกติ ถามด้วยน้ำเสียงสั่น “โยวเอ๋อร์ แม่รู้สึกว่าเจ้าเหมือนจะมีเรื่องในใจ เพราะไม่เห็นด้วยกันการแต่งงานของพี่ใหญ่กับคุณหนูสกุลอวี้หรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวฝืนยิ้ม พูดว่า “ท่านแม่ ข้าหาได้มีเรื่องในใจ เพราะท่านพ่อบังคับรถเร็วเกินไป ข้าโคลงเคลงจนไม่สบายตัว”
เมิ่งชื่อมองนางอย่างพินิจ พบว่าสีหน้าของนางไม่ค่อยดีจริงๆ ลนลานหันไปตะโกนบอกเมิ่งเอ้ออิ๋น “พ่อเอ๊ย เจ้าช้าหน่อย โยวเอ๋อร์ไม่ค่อยสบายตัว”
เมิ่งเอ้ออิ๋นแม้จะรับคำ ความเร็วของรถม้ากลับไม่ได้ช้าลง