ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 141.2
หลังจากพ่อครัวจากไป เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าได้เวลาแล้ว หันไปพูดกับคนทั้งสาม “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่ พวกเราไปรับอี้เซวียนเถอะ”
สองสามีภรรยาเมิ่งพยักหน้า ลุกขึ้นยืน เมิ่งเสียนยังคงนั่งนิ่งอยู่บนเก้าอี้
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว พูดขึ้นอีกครั้ง “พี่ใหญ่ พวกเราควรไปรับอี้เซวียนแล้ว”
เมิ่งเสียนตื่นจากภวังค์ราวกับอยู่ในความฝัน มองคนทั้งหมดอย่างงุนงง
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจ พูดซ้ำอีกครั้ง “พี่ใหญ่ พวกเราไปรับอี้เซวียนได้แล้ว”
เมิ่งเสียนส่งเสียง “อ่อ” พรวดพราดเดินออกไป
สองสามีภรรยาเมิ่งและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามหลัง
คนทั้งหมดมาถึงหน้าประตูโรงเรียน โรงเรียนยังไม่เลิกเรียน เมิ่งเอ้ออิ๋นหาสถานที่หนึ่งจอดรถม้า
ซุนซ่านเหรินมารอรับซุนเหลียงไฉที่หน้าประตูนานแล้ว เห็นรถม้าของเมิ่งเอ้ออิ๋นเข้ามา ก็ลงจากรถม้า เดินตรงไปทักทายอย่างชื่นบาน “น้องเอ้ออิ๋น”
เมิ่งเอ้ออิ๋นรีบร้อนรับคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ยินเสียงเขาจึงเปิดม่านบังรถ ลงจากรถม้า
ซุนซ่านเหรินส่งเสียงหัวเราะพูดกับนาง “แม่นางเมิ่ง วันนี้ค่ำพอกลับถึงบ้าน ข้าจะไปปรึกษากับคนในครอบครัวเรื่องให้ไฉเอ๋อร์ไปกินนอนบ้านพวกเจ้า พรุ่งนี้เย็นพวกเราจะไม่มาแล้ว เจ้ารับกลับไปได้เลย หากเจ้ามีเรื่องอันใดกับข้า จงไปหอน้ำชาให้พวกเขาไปส่งข่าว ข้าจะมาในทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้ ข้าทราบแล้ว”
ประตูโรงเรียนเปิดออก นักเรียนจับกลุ่มกันเดินออกมา
เมิ่งชื่อและเมิ่งเสียนลงจากรถม้า มายืนรอข้างรถม้า
เมิ่งอี้เซวียนเห็นพวกเขา ดีใจวิ่งปรี่เข้าหา ถามอย่างตื่นเต้น “ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่ใหญ่พวกท่านต่างมารับข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดทิ่มแทง “อย่าคิดดีเกินไป ท่านพ่อ ท่านแม่ไม่ได้มีเวลามากเช่นนั้น เพียงแค่มีธุระในเมือง เห็นว่าใกล้ถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว ถึงมารับเจ้าไปพร้อมกัน”
รอยยิ้มของเมิ่งอี้เซวียนคว่ำลงทันที
เมิ่งชื่อตีนางเบาๆ พูดตำหนิ “เจ้าลูกคนนี้เป็นอย่างไร วันไหนไม่ได้รังแกอี้เซวียนจะนอนไม่หลับหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวทำปากทู่ บ่นงึมงำอย่างไม่พอใจ “ตีข้าอีกแล้ว ไม่รู้ว่าใครกันแน่ที่เป็นลูกแท้ๆ”
เมิ่งชื่อแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ถามเมิ่งอี้เซวียนอย่างไม่วางใจ “วันนี้อาจารย์ลงโทษเจ้าเรื่องทะเลาะวิวาทหรือไม่?”
เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้า “ไม่แล้ว วันนี้พอถึงห้องเรียน อาจารย์ก็ไม่ได้พูดอะไร สอนหนังสือทันที”
เมิ่งชื่อได้ยินก็วางใจ “ไม่ได้ลงโทษก็ดีแล้ว”
ทั้งสี่คนขึ้นรถม้า ในใจเมิ่งเอ้ออิ๋นไม่มีเรื่องใดแล้ว ทั้งไม่รีบร้อน บังคับรถม้ามุ่งหน้ากลับอย่างเรื่อยเฉื่อย
ตอนถึงบ้าน คนงานต่างเลิกงานหมดแล้ว เมิ่งฉีกำลังเล่นแมลงปอไม้ไผ่กับเมิ่งเจียและเมิ่งชิงในลานบ้าน
เห็นพวกเขากลับมา เมิ่งเจียและเมิ่งชิงดีใจวิ่งเข้าหา มองคนทั้งหมดอย่างรอคอย
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงนึกได้ว่าไม่ได้ซื้อของอร่อยกลับมาให้เด็กทั้งสอง พูดอย่างรู้สึกผิด “เจียเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ วันนี้พี่ลืมซื้อของอร่อยมาให้พวกเจ้า”
เมิ่งเจียและเมิ่งชิงไม่ร้องโวยวาย ดึงเมิ่งอี้เซวียนไปเล่นแมลงปอไม้ไผ่อย่างครื้นเครง
เมิ่งชื่อเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง ถอดเครื่องประดับออก กุลีกุจอไปทำอาหารค่ำ เมิ่งเสียนเดินกลับเข้าห้องโดยไม่ปริปากสักคำ
เมิ่งเชี่ยนโยวมองอาการของเขาไว้ทั้งหมด ขมวดคิ้วมุ่น
เมิ่งฉีก็มองออกว่าเมิ่งเสียนผิดปกติ เดินไปตรงหน้าเมิ่งเชี่ยนโยวถามเสียงเบา “พี่ใหญ่เป็นอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวขบคิดครู่หนึ่ง บอกเขาว่าคุณหนูอวี้หมั้นหมายกับพี่ใหญ่ไม่ได้แล้ว
ตอนเที่ยงเมิ่งเชี่ยนโยวบอกเมิ่งฉีว่าเกิดเรื่องขึ้นกับฝ่ายอวี้อวี่ เขานึกว่าเกิดเรื่องขึ้นกับครอบครัวคุณหนูอวี้ ไม่คาดคิดเลยว่าจะเป็นเรื่องที่คุณหนูอวี้หมั้นหมายกับเมิ่งเสียนไม่ได้ ถามอย่างไม่เข้าใจ “ตอนเที่ยงท่านแม่และพี่ใหญ่ยังพูดอย่างยินดีว่าจะไปสู่ขอคุณหนูอวี้ไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงหมั้นหมายไม่ได้แล้ว? คุณหนูอวี้กลับคำหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าพูดว่า “พี่รองไม่ต้องถามแล้ว ท่านจำไว้ว่าต่อไปไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องคุณหนูอวี้ในบ้านอีกก็พอ”
เมิ่งฉีแม้จะแคลงใจ กลับพยักหน้ารับคำ “ข้ารู้แล้ว น้องสาว ต่อไปข้าจะไม่เอ่ยเรื่องนี้อีก”
ทำอาหารค่ำเสร็จ เมิ่งชื่อร้องเรียกทุกคนมากินข้าว เมิ่งเสียนอยู่ในห้องไม่ได้ออกมา เมิ่งชื่อคิดจะเข้าบ้านไปร้องเรียกเขา เมิ่งเชี่ยนโยวดึงรั้งนางไว้ ส่ายหน้าให้นางพูดว่า “ท่านแม่ ให้พี่ใหญ่อยู่เงียบๆ เถอะ พรุ่งนี้ตื่นมาก็จะดีเอง”
เมิ่งชื่อเหลียวมองไปในบ้านแวบหนึ่งอย่างเป็นห่วง ถอนหายใจ นั่งลงกินข้าวลวกๆ ไม่กี่คำ แล้วกลับเข้าไปเอนตัวในห้อง
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงน่าจะรับรู้ได้ถึงบรรยากาศผิดปกติภายในครอบครัว ไม่กล้าเล่นซุกซนเหมือนที่เคย ก้มหน้ากินข้าวอย่างสงบเงียบ
เมิ่งเชี่ยนโยวกินข้าวเสร็จ เก็บล้างอย่างรวดเร็วกับเมิ่งฉีเรียบร้อย สอนจิตคณิตให้พวกเขาอีกหนึ่งชั่วยาม ถึงกลับไปเอนตัวนอนบนเตียงเตาในห้อง ครุ่นคิดว่าพอซุนเหลียงไฉมาแล้วจะสั่งสอนเขาอย่างไร
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดอย่างเงียบสงบ กลับไม่รู้ว่าที่บ้านซุนซ่านเหรินเพราะเรื่องที่ซุนเหลียงไฉต้องมาอยู่บ้านพวกเขา เกิดเรื่องวุ่นวายจนยุ่งเหยิงอลหม่าน
หลังจากที่ซุนซ่านเหรินพาซุนเหลียงไฉกลับถึงบ้าน เข้ามานั่งในห้องรับแขก สั่งการคนรับใช้ “ไปเรียกคุณชายใหญ่มา บอกว่าข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดด้วย”
คนรับใช้รับคำแล้ววิ่งแจ้นออกไป ไม่นานซุนวั่งบุตรชายซุนซ่านเหรินก็เดินเอื่อยเฉื่อยเข้ามา ไม่ได้ทำความเคารพ นั่งแหมะลงบนเก้าอี้ข้างๆ เอนตัวพิงพนักพิง ถามอย่างไม่แยแส “ท่านพ่อ ท่านเรียกข้ามามีเรื่องอันใด?”
ซุนซ่านเหรินขมวดคิ้วตวาดเขา “ยืนไม่เหมือนยืน นั่งไม่เหมือนนั่ง เจ้าดูสภาพตัวเองตอนนี้เหมือนตัวอะไร?”
ซุนวั่งแคะขี้หู พูดอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อ ท่านให้คนไปเรียนข้ามา อย่าบอกว่าเพื่อมาตำหนิว่าข้าดอกนะ?”
ซุนซ่านเหรินยิ่งเพิ่มโทสะ พูดเกรี้ยวกราด “เหตุใดข้าถึงเลี้ยงคนไม่เอาถ่านเยี่ยงเจ้ามาได้”
ซุนวั่งไม่ทนแล้ว พูดโต้ตอบ “ข้าไม่เอาถ่านอย่างไร หอน้ำชามิใช่ข้าเป็นคนดูแลหรือ?”
ได้ยินเขาเอ่ยถึงหอน้ำชา ซุนซ่านเหรินยิ่งทวีความโมโห “เมื่อก่อนหอน้ำชามีการทำบัญชีเดือนละหลายพันตำลึง หลังจากที่เจ้ารับช่วงต่อ ไม่เพียงแต่ละเดือนไม่มีเงินเข้า กลับต้องเอาเงินไปโปะแทน”
ซุนวั่งโก่งคอเถียงเป็นเอ็น “โทษข้าได้อย่างไร? ตอนที่ข้ารับช่วงต่อ เป็นช่วงขาลงของหอน้ำชาพอดี หากไม่ใช่เพราะข้าเรียกเพื่อนมาอุดหนุน ไม่แน่ว่าตอนนี้ร้านปิดไปนานแล้ว”
ซุนซ่านเหรินพูดอย่างฉุนเฉียว “เหลวไหล เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เรอะ เจ้าอยากโอ้อวดที่ตอนนี้ตัวเองมีกิจการหอน้ำชา วันๆ เอาแต่เชิญเพื่อนเสเพลเกเรมาที่หอน้ำชา ไม่เพียงเท่านั้น ขอเพียงมีเพื่อนพูดว่าใบชาชนิดไหนอร่อย เจ้าจะรีบมอบให้เขาทันทีหนึ่งกล่อง ใบชาดีในหอน้ำชาถูกเจ้ามอบให้คนอื่นไปเกือบจะหมดแล้ว”
ซุนวั่งพูดอย่างไม่แยแส “ข้าเชิญเพื่อนเหล่านั้นมาเพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้ร้าน ไม่มอบสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ ให้ได้อย่างไร? ใบชาให้หมดแล้ว ซื้อมาใหม่ก็ได้ อย่างไรก็ใช้เงินไม่เท่าไหร่”
ซุนซ่านเหรินโมโหเต้นเร่าๆ ก่นด่า “ใบชาชั้นดีหนึ่งจินต้องใช้เงินหลายพันตำลึงถึงซื้อได้ เจ้าอ้าปากพูดว่าให้ซื้อมาใหม่ เจ้ารู้หรือไม่ต้องใช้เงินมากเพียงใด?”
ซุนวั่งพูดอย่างไม่ไยดี “เงินของบ้านพวกเราใช้ไปอีกหลายชาติก็ไม่หมด เงินเพียงไม่กี่พันตำลึงแค่เล็กน้อย”
ซุนซ่านเหรินโมโหหยิบถ้วยชาในมือขว้างไปที่เขา ปากร้องก่นด่า “คนเกียจคร้านเช่นเจ้า ต่อให้ครอบครัวมีเงินกองเท่าภูเขาสักวันก็ต้องหมดสิ้น”
ซุนวั่งผุดลุกขึ้นยืน ถ้วยชาตกบนเก้าอี้ “เพล้ง” ร่วงแตกเป็นเสี่ยงๆ
ซุนซ่านเหรินโมโหนั่งหายใจหอบบนเก้าอี้
ซุนวั่งเห็นซุนซ่านเหรินบันดาลโทสะแล้วจริงๆ เบ้ปากไม่พูดอะไร ยืนข้างเก้าอี้อย่างสงบเสงี่ยม
คนรับใช้ผลุนผลันเข้ามา เก็บกวาดเศษถ้วยชาแล้วออกไป จากนั้นยกถ้วยชาใบใหม่วางบนโต๊ะข้างกายซุนซ่านเหริน
ซุนวั่งไม่พอใจแล้ว ตวาดด่าคนรับใช้ “ไม่มีตาหรือไง ไม่เห็นว่าข้าก็กระหายน้ำเรอะ? ยังไม่รีบไปชงชามาให้ข้าอีก”
คนรับใช้ไม่กล้ารอช้า ลนลานรีบจะออกไปยกน้ำชามาให้เขา กลับถูกซุนซ่านเหรินร้องทัก “ห้ามยกน้ำชามาให้เขา ปล่อยให้เขากระหายตาย”
คนรับใช้รับคำอย่างพินอบพิเทาจากไป
ซุนเหลียงไฉไม่เคยเห็นซุนซ่านเหรินบันดาลโทสะเช่นนี้มาก่อน ตกใจยืนอยู่อีกด้านไม่กล้าปริปาก
ซุนวั่งอยู่ไม่สุขแล้ว กระทืบเท้าออกไปข้างนอก ปากพูดโวยวาย “ทุกครั้งเรียกข้ามาก็เพื่อด่าว่าข้า ข้า…”
ซุนซ่านเหรินแผดเสียงตะคอก “หยุดเดี๋ยวนี้!”
ซุนวั่งไม่สนใจ ยังคงเดินออกไป
ซุนซ่านเหรินตวาดเสียงลั่น “หากวันนี้เจ้ากล้าก้าวออกไปจากประตูบานนี้ ข้าจะให้คนตีขาเจ้าให้หัก”
ปกติซุนซ่านเหรินเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส แม้บางครั้งจะว่ากล่าวสั่งสอนเขา กลับไม่เคยพูดจารุนแรงเช่นนี้มาก่อน ซุนวั่งได้ฟัง ตกใจเท้าหยุดชะงัก หันกลับมาพูดอย่างว้าวุ่นใจ “ท่านพ่อ ท่านต้องการอะไรกันแน่?”
ซุนซ่านเหรินเห็นสภาพไม่เอาถ่านทำสิ่งใดไม่เป็นชิ้นเป็นอันของเขา ถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามสะกดกลั้นโทสะของตัวเอง พูดกับเขาว่า “ข้าตัดสินใจแล้ว นับแต่พรุ่งนี้ไป นอกจากเรียนหนังสือ จะให้ไฉเอ๋อร์ไปกินนอนที่บ้านแม่นางเมิ่ง ให้นางช่วยสั่งสอนไฉเอ๋อร์ ภายหน้าจะได้ไม่ต้องเหมือนเจ้า วันๆ เอาแต่กินเที่ยวเกียจคร้าน มือเติบไม่ทำงานทำการ”
ซุนวั่งได้ฟังตกตะลึง สาวเท้าเดินกลับไปตรงหน้าซุนซ่านเหริน ถามอย่างไม่เชื่อ “ท่านพ่อ ท่านพูดความจริง?”
ซุนซ่านเหรินโมโหอีกครั้ง ร้องด่า “เจ้าคนไม่ได้ความ ข้าดูเหมือนกำลังพูดล้อเล่นอยู่เรอะ?”
ซุนวั่งโต้กลับรุนแรง “ข้าไม่เห็นด้วย บุตรชายข้ามีสิทธิ์อะไรให้นังตัวดีนั่นมาสั่งสอน?”
“สิทธิ์อะไร? ก็สิทธิ์ที่เขาเป็นเด็กสาวอายุเพียงสิบกว่าปีก็รับผิดชอบครอบครัวได้ แค่นี้ก็เก่งกว่าเจ้าแล้ว” ซุนซ่านเหรินตอบ
ซุนวั่งพูดอย่างดูแคลน “เก่งกว่าข้าแล้วอย่างไร ภายหน้าแต่งงานไปไม่ว่าเรื่องใดก็ต้องเชื่อฟังสามีอยู่ดี”
ซุนซ่านเหรินโมโหเกือบจะขว้างถ้วยชาในมือออกไป
ซุนวั่งยังคงพูดต่อ “ท่านดูท่าทีเ**้ยมโหดของนาง ไร้ความเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ แม้แต่ข้ายังกล้าตี หากไฉเอ๋อร์ไปอยู่กับพวกเขา ไม่รู้ว่าจะถูกทรมานจนมีสภาพอย่างไร ให้ตายข้าก็ไม่เห็นด้วยให้นางมาสั่งสอนบุตรชายข้า”
ซุนซ่านเหรินพูดอย่างเดือดดาล “ข้าตัดสินใจแล้ว ไม่ได้ขอความเห็นชอบจากเจ้า เจ้าเพียงรู้เรื่องนี้ก็พอ พรุ่งนี้เย็น ไฉเอ๋อร์ก็จะไปอยู่บ้านแม่นางเมิ่ง ช่วงเวลานี้เจ้าไม่เพียงห้ามไปหาเขาหน้าประตูโรงเรียน ยิ่งห้ามไปบ้านแม่นางเมิ่งรับเขากลับมา รอจนกว่าแม่นางเมิ่งส่งข่าวถึงข้า พวกเราค่อยไปหาเขาตอนนั้น”
ซุนวั่งหุนหันส่ายหน้า “ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด ข้ามีบุตรชายเพียงคนเดียว ข้าไม่เห็นเขาวันเดียวใจก็สั่นแล้ว ให้ตายข้าก็ไม่ยอมให้เขาไปอยู่บ้านนังตัวดีนั่น”
ซุนซ่านเหรินพูดเกรี้ยวกราด “หากข้าได้ยินเจ้าเรียกแม่นางเมิ่งว่านังตัวดีอีก ข้าจะใช้กฎบ้านกับเจ้า”
ซุนวั่งถลึงตาโต ถามอย่างข้องใจ “ท่านพ่อ เหตุใดท่านถึงเข้าข้างนังตัวดีนั่นนัก อย่าบอกว่าท่านพึงพอใจนาง”
ซุนซ่านเหรินโมโหจนขว้างถ้วยชาในมือออกไปอีกครั้ง ร้องก่นด่า “ข้าจะตีลูกสารเลวอย่างเจ้าให้ตาย”
ครั้งนี้ซุนวั่งอยู่ใกล้ หลบไม่ทัน น้ำชาทั้งถ้วยสาดรดตัวเขา ร้อนลวกจนเขากระโดดร้องลั่น “ลวกหมดแล้ว แสบจะตายแล้ว”
ซุนซ่านเหรินยังบันดาลโทสะแผดเสียงก่นด่า “หากยังกล้าพูดเหลวไหล ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
ซุนวั่งได้แต่กระทืบเท้า ร้องคำรามใส่คนรับใช้ “ไม่มีตาหรือไง ยังไม่รีบเข้ามาเช็ดให้ข้า”
คนรับใช้รีบเดินหน้าเช็ดให้เขาเป็นพัลวัน กลับแตะถูกแผลน้ำร้อนลวกโดยไม่ตั้งใจ ซุนวั่งเจ็บจนถีบเขากระเด็นออกไป ปากร้องตะคอกด่า “ซุ่มซ่ามไม่ได้ความ ทำข้าเจ็บแล้ว”
คนรับใช้ไม่กล้าปริปาก ตะลีตะลานลุกขึ้น ยืนตัวสั่นอยู่อีกด้าน ไม่กล้าช่วยเขาเช็ดอีก
ซุนวั่งยังคิดจะก่นด่า ซุนซ่านเหรินโบกมือสั่งคนรับใช้ “ไม่ต้องสนใจเขา พวกเจ้าออกไปเถอะ”
คนรับใช้รีบวิ่งแจ้นออกไปทันที
ซุนเหลียงไฉที่ได้ยินว่าจะถูกส่งไปอยู่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ก็ตกใจตะลึงค้าง ตอนนี้เห็นซุนวั่งถูกน้ำร้อนลวก ถึงได้สติกลับมา แผดเสียงร้องไห้ฟูมฟายกับซุนซ่านเหริน “ข้าไม่ไปบ้านพวกเขา! ข้าไม่ไปบ้านพวกเขา!”
เห็นบุตรชายร่ำไห้ ซุนวั่งเจ็บปวดหัวใจ ไม่สนบาดแผลบนร่างกายตัวเอง กอดซุนเหลียงไฉไว้แนบอกพูดปลอบประโลม “ลูกรัก เจ้าไม่ต้องกลัว พ่อไม่มีทางส่งเจ้าไปอยู่บ้านนังตัวดีนั่น”
ซุนเหลียงไฉยังคงตะเบ็งเสียงร้องไห้ฟูมฟาย คร่ำครวญไม่อยากไปอยู่บ้านเมิ่งอี้เซวียนไม่หยุด
เห็นหลานชายที่อายุไล่เลี่ยกับเมิ่งเชี่ยนโยวร้องไห้อาละวาด ซุนซ่านเหรินยิ่งอารมณ์ขึ้น ตบมือฉาดไปบนโต๊ะ ตวาดเสียงลั่น “เรื่องนี้ตกลงตามนี้ วันพรุ่งเจ้าจักต้องไปอยู่บ้านแม่นางเมิ่ง”
ซุนเหลียงไฉทวีความหวาดผวา ดึงเสื้อซุนวั่งร้องพูดไม่หยุด “ท่านพ่อ ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป!”
ซุนวั่งเห็นซุนซ่านเหรินตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่าจะส่งบุตรชายตนเองไปอยู่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว รีบร้องตะโกนบอกคนรับใช้ที่ตนเองพามาด้านนอก “ตงจื่อ รีบไปเรียกท่านแม่ข้ามา บอกว่าถ้านางมาช้า จะไม่ได้เห็นหน้าหลานรักของเขาอีก”
ด้านนอกมีเสียงขานรับ แล้ววิ่งจากไป