ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 142.2
ตั้งแต่ที่หลิวต้าเป่าทำสัญญาทาสขายตัวไปทำงานให้บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว ภรรยาของหลิวต้าเป่าก็พาลูกน้อยสองคนมาอยู่ในบ้านด้วย ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกลัวคนในหมู่บ้านจะหมายตารูปร่างหน้าตาของภรรยาหลิวต้าเป่า เกรงจะเกิดเรื่องไม่ควรขึ้น วันๆ เอาแต่ปิดประตูใหญ่ พยายามไม่ให้คนในหมู่บ้านเห็นนาง
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นมาถึงหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน เห็นประตูใหญ่ปิดสนิท หันหน้าสบตากัน เมิ่งเอ้ออิ๋นก้าวขึ้นหน้าเคาะประตู เมิ่งต้าจินยืนอยู่ด้านหลัง
ได้ยินเสียงเคาะประตู ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเดินออกมาจากบ้านร้องถาม “ใครกัน?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นร้องตะโกนบอก “ข้าเอง เมิ่งเอ้ออิ๋น ข้าและพี่ใหญ่มีเรื่องมาหาอาผู้ใหญ่บ้าน”
ภรรยาหลิวต้าเป่ากำลังเล่นกับลูกทั้งสองในลานบ้าน ได้ยินเสียงเมิ่งเอ้ออิ๋น ภรรยาผู้ใหญ่บ้านรีบเร่งให้พวกเขาเข้าไปในบ้าน ภรรยาหลิวต้าเป่ารีบพาลูกทั้งสองกลับเข้าไปในห้องตัวเอง
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านถึงรับคำ “มาแล้ว” พูดจบ เดินมาเปิดประตูใหญ่ให้ทั้งสองคน
เมิ่งเอ้ออิ๋นเห็นภรรยาผู้ใหญ่บ้านเปิดประตู รีบยกยิ้มถามขึ้น “อาผู้ใหญ่บ้านอยู่หรือไม่? พวกเรามีธุระเล็กน้อยกับเขา”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่ได้ตอบเขา กลับพูดอย่างมีลับลมคมใน “โย้ นี่เศรษฐีใหญ่ของหมู่บ้านเรานี่นา วันนี้ลมอะไรหอบพวกเจ้ามาบ้านพวกเราได้? ประตูบ้านพวกเราต่ำต้อย อย่าให้โดนหัวท่านได้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นนิ่งอึ้ง
ผู้ใหญ่บ้านเดินออกมาจากในบ้าน พูดเอ็ดนาง “พูดเหลวไหลอะไร ยังไม่รีบให้พวกเขาเข้ามา”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านหลีกทางให้พวกเขาพลางพูดว่า “ข้าไหนเลยจะกล้าไม่ให้พวกเขาเข้ามา หากเขาฉวยโอกาสนี้กลับไปหาเรื่องบุตรชายพวกเราอีก ต้าเป่าได้ถูกทรมานตาย”
เมิ่งเอ้ออิ๋นยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเก้กัง เข้าไปก็ไม่ได้ ไม่เข้าไปก็ไม่ได้
ผู้ใหญ่บ้านเอ็ดภรรยาตัวเอง “ทำไมถึงปากมากเช่นนี้ ยังไม่รีบไปรินน้ำมาอีก”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเบะปาก หันหลังเดินจากไป พูดจาค่อนขอด “คนเค้ากินชาชั้นดีทุกวัน เจ้าเอาน้ำเปล่าไร้รสชาติมาต้อนรับ ใครจะไปกินลง”
ผู้ใหญ่บ้านตวาดนาง “หุบปาก”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นเขาโมโหจริงๆ แล้ว จึงไม่ได้พูดอะไรอีก
ผู้ใหญ่บ้านพูดกับคนทั้งสอง “พวกเจ้าเข้ามาเถอะ”
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นเดินเข้ามาในลานบ้าน
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านถึงเห็นในมือเมิ่งเอ้ออิ๋นถือขนมชั้นดีมาด้วยหนึ่งกล่อง ดวงตาเปล่งประกาย แต่พอคิดถึงบุตรชายตนเองยังต้องรับกรรมที่บ้านพวกเขา ก็แค่นเสียงหึใส่
ผู้ใหญ่บ้านเห็นคนทั้งสองถือขนมเข้ามา รู้ว่ามีเรื่องจะขอร้อง ไม่ได้ให้คนทั้งสองเข้าบ้าน ถามขึ้นตามตรง “มีเรื่องอันใด? พูดเถอะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นมองเมิ่งต้าจินแวบหนึ่ง เห็นเขาไม่มีท่าทีจะเอ่ยปาก จึงพูดประจบเอาใจผู้ใหญ่บ้านเอง “อาผู้ใหญ่บ้าน พวกเราถูกใจที่ดินผืนหนึ่ง คิดจะปลูกบ้านให้ท่านพ่อข้า ตอนนี้ท่านช่วยไปทำรังวัดให้พวกเราได้หรือไม่ พรุ่งนี้จะได้ไปทำเรื่องที่ตำบล”
ผู้ใหญ่บ้านตกตะลึงถาม “พวกเจ้ายังคิดจะซื้อที่ปลูกบ้าน?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตอบตามตรง “พื้นที่บ้านใหญ่เล็กเกินไป ไม่มีเรือนหอให้เหรินเอ๋อร์แต่งภรรยา ข้าคิดจะปลูกเรือนหลังใหญ่ให้ท่านพ่อข้า และให้พี่ใหญ่กับน้องสี่ย้ายไปอยู่ด้วยกัน”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านได้ฟังดวงตาเบิกกว้าง ถามเขาอย่างตกใจ “ย้ายเข้าไปทั้งหมด จะต้องปลูกเรือนหลังใหญ่เพียงใด?”
เมิ่งต้าจินเอ่ยปากบ้าง “ดังนั้นพวกเราถึงต้องซื้อที่ดินใหม่ ข้าและน้องรองไปดูมาแล้ว ที่ดินฝั่งตะวันออกหัวหมู่บ้านผืนนั้นก็ได้แล้ว พื้นที่กว้างขวาง อยู่ไม่ห่างจากบ้านใหญ่ เวลาย้ายบ้านจะได้สะดวก”
ผู้ใหญ่บ้านหรี่ตาลง พูดอย่างลำบากใจ “ที่ดินผืนนั้นขายให้พวกเจ้าไม่ได้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นย้อนถาม “เพราะอะไร?”
ผู้ใหญ่บ้านตอบ “ที่ผืนนั้นข้าเตรียมจะให้คนในหมู่บ้านหักร้างถางพง ทำเป็นแปลงนาแจกจ่ายให้ทุกคน ขายให้พวกเจ้าไปปลูกเรือนไม่ได้”
เมิ่งต้าจินย่นหัวคิ้ว ถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เรื่องนี้เหตุใดถึงไม่เคยได้ยินอาผู้ใหญ่บ้านพูดถึงมาก่อน”
ผู้ใหญ่บ้านกะพริบตาปริบ พูดอย่างร้อนตัว “เรื่องนี้ข้าเพิ่งคิดได้ก่อนปีใหม่ ยังไม่ทันได้บอกคนในหมู่บ้าน อีกอย่าง อากาศเย็นพื้นดินแข็ง ต่อให้ข้าบอกคนในหมู่บ้าน ก็หักร้างถางพงที่ไม่ได้ สองสามวันนี้ข้าเตรียมจะไปทำเรื่องที่ตำบลพอดี ไม่คิดว่าพวกเจ้าก็จะถูกใจที่ผืนนั้นเช่นกัน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นคิดวิธีหนึ่งได้ ลองหยั่งเชิงพูด “เช่นนั้นท่านไม่ต้องไปทำเรื่องกับทางการแล้ว ขายให้พวกเราในราคาที่นาก็ได้แล้ว”
ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้า พูดอธิบาย “กฎหมายกำหนดว่า ที่นาจะปลูกสร้างเรือนไม่ได้ หากทางการรู้เข้า จะต้องถูกลงโทษหนัก”
ตามกฎหมายประเทศอู่ ที่นาที่เพิ่งบุกเบิกใหม่จะต้องไปทำเรื่องกับทางการ แต่ละปีจะได้เรียกเก็บอากรที่นา อีกทั้งเมื่อขึ้นทะเบียนเป็นที่นากับทางการแล้ว ที่ผืนนั้นจะมีไว้สำหรับเพาะปลูกเท่านั้น หากมีใครกล้าฝ่าฝืน โทษเบาคือถูกปรับ โทษหนักอาจจะถูกตัดสินให้ไปใช้แรงงาน กฎหมายนี้เมิ่งต้าจินรู้ดี ตอนนี้ได้ยินผู้ใหญ่บ้านพูดเช่นนี้ ก็อับจนหนทาง
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านได้ยินเมิ่งเอ้ออิ๋นบอกว่าจะใช้ราคาที่นามาซื้อที่ดินผืนนั้น แอบกระชากเสื้อผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่บ้านไม่สนใจเขา ภรรยาผู้ใหญ่บ้านกระชากอีกครั้ง ผู้ใหญ่บ้านมองนางอย่างรำคาญ ภรรยาผู้ใหญ่บ้านทำมือเป็นเลขสิบให้เขา ผู้ใหญ่บ้านมุ่นหัวคิ้ว ถลึงตาใส่นาง ตักเตือนไม่ให้นางพูดมาก
เมิ่งต้าจินมองเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด หลุบตาหรี่เล็ก
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านไม่สนใจคำเตือนเขา ยกยิ้มหันไปพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “เอ้ออิ๋น เจ้าบอกว่าจะซื้อที่ผืนนั้นในราคาที่นา ไม่ทราบว่าเจ้าพูดเชื่อถือได้หรือไม่?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “เชื่อถือได้ ขอเพียงอาผู้ใหญ่บ้านช่วยพวกเราไปทำรังวัด พวกเราจะให้เงินไม่ขาดแม้แต่อีแปะเดียว”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านยินดีปรีดา “เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ ให้อาผู้ใหญ่บ้านเจ้ารีบไปทำรังวัดให้พวกเจ้าเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ “แต่อาผู้ใหญ่บ้านบอกว่าที่นาซื้อขายเป็นการส่วนตัวไม่ได้”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านนิ่งอึ้งแล้วพูดว่า “แต่นี่เป็นที่นาที่ยังไม่ได้บุกเบิกและขึ้นทะเบียนกับทางการ เอามาขายให้พวกเจ้าก่อนก็ได้”
ผู้ใหญ่บ้านกระแอมหนึ่งครั้งพูดว่า “พวกเจ้าอย่าไปฟังนาง ไปหาที่อื่นที่เหมาะสมเถอะ ที่ดินที่พวกเจ้าพอใจขายให้พวกเจ้าไม่ได้จริง”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นเงินในมือกำลังหลุดลอยไป ร้อนใจโพล่งปากพูดว่า “ตาเฒ่าไร้สมอง เจ้าไม่คิดบ้างว่า ที่ดินนั้นใหญ่แค่ไหน หากขายให้พวกเขาในราคาที่นา พวกเราจะได้เงินมากโข”
สิ้นเสียงนาง ทั้งลานบ้านก็เงียบสงัด
เมิ่งเอ้ออิ๋นมองผู้ใหญ่บ้านอย่างไม่เชื่อ
ผู้ใหญ่บ้านหน้าแดงก่ำ
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านก็รู้สึกตัวแล้วว่าพูดอะไรออกไป ใบหน้าชราก็แดงเรื่อ แต่เรื่องแบบนี้นางทำมาเยอะแล้ว กู้สถานการณ์พูดกับคนทั้งสองได้ทันควัน “พวกเจ้าอย่าคิดว่าพวกเราหมายจะกินเงินพวกเจ้าจริงๆ เงินที่พวกเจ้าให้ส่วนใหญ่พวกเราก็ต้องมอบให้ท่านผู้ว่าการตำบล เงินที่เหลือเล็กๆ น้อยๆ เป็นเพียงค่าเหนื่อยของอาผู้ใหญ่บ้าน อย่างไรเขาก็อายุมากขนาดนี้ ยังต้องทำรังวัดให้พวกเจ้า แล้วไปทางการทำเอกสารให้พวกเจ้า ร่างกายย่อมต้องเหนื่อยล้าอ่อนแรง ได้เงินค่าเหนื่อยบ้างก็สมควรแล้ว”
เมิ่งเอ้ออิ๋นยกขนมในมือขึ้น รีบเอ่ยปากพูดกับภรรยาผู้ใหญ่บ้าน “ข้าทราบ ข้าทราบ อาผู้ใหญ่บ้านเองก็ไม่ง่าย ท่านพ่อข้าถึงให้พวกเรานำขนมชั้นดีกล่องนี้มาให้อาผู้ใหญ่บ้านอย่างไร”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นเมิ่งเอ้ออิ๋นส่งขนมมาเบื้องหน้าตัวเอง ด้านหนึ่งดีใจพูดว่า “โย้ ยังเป็นเมิ่งจงจวี่ที่จัดการเรื่องเป็น” ด้านหนึ่งก็ยื่นมือออกไปสัมผัสกล่องขนม
ผู้ใหญ่บ้านดึงรั้งนางไว้ พูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นอย่างตรงไปตรงมา “พวกเจ้าอย่าไปฟังนาง ที่ผืนนั้นขายให้พวกเจ้าไม่ได้จริงๆ ข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ต้องคิดถึงลูกบ้านเป็นที่หนึ่ง ที่นาในหมู่บ้านเราน้อยเกินไป หากไม่บุกเบิกพื้นที่ คนในหมู่บ้านจะมีข้าวไม่พอกิน ข้าจะเห็นแก่ผลประโยชน์เล็กน้อยแล้วไม่แยแสทุกข์สุขของคนในหมู่บ้านไม่ได้”
มือที่ยกขนมขึ้นของเมิ่งเอ้ออิ๋นหดกลับมา
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านบิดด้านหลังของเนื้อผู้ใหญ่บ้านที่มีเสื้อกั้นอยู่อีกชั้นเต็มแรง
ผู้ใหญ่บ้านขมวดคิ้ว ไม่ได้พูดอะไร
เมิ่งเอ้ออิ๋นยังคิดจะพูดบางอย่าง เมิ่งต้าจินเอ่ยปากพูดก่อน “น้องรอง เมื่อที่ผืนนั้นปลูกเรือนไม่ได้ พวกเราก็อย่าให้ผู้ใหญ่บ้านลำบากใจเลย พวกเราไปดูที่อื่นเถอะ”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดอย่างร้อนใจ “พี่ใหญ่ เมื่อครู่พวกเราดูรอบแล้ว มีเพียงที่ผืนนั้นที่เหมาะสมที่สุด”
ได้ยินเขาพูดเช่นนี้ ผู้ใหญ่บ้านสะท้อนแววตา
เมิ่งต้าจินมองผู้ใหญ่บ้านแวบหนึ่งอย่างไม่ทันสังเกตเห็น แล้วพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋นว่า “พวกเรากลับไปปรึกษากับท่านพ่อ ถ้าไม่ได้ก็ขยายพื้นที่บ้านเก่าของพวกเราให้กว้างขึ้น”
เมิ่งเอ้ออิ๋นยังคิดจะพูดอะไร เมิ่งต้าจินก็หันหลังเดินออกไปทันที เมิ่งเอ้ออิ๋นถือขนมรีบเดินตามไป
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านเห็นพวกเขาถือขนมเดินจากไป ร้อนรนร้องเรียก “เอ๊ะๆ พวกเจ้าทิ้งขนมไว้ก่อน แม้ครั้งนี้จะซื้อที่ไม่สำเร็จ ครั้งหน้าก็ต้องซื้อได้ พวกเจ้าถือขนมไปๆ กลับๆ เช่นนี้ลำบากแย่”
ผู้ใหญ่บ้านเอ็ดนาง “หุบปาก ยังขายหน้าไม่พออีกหรือไง?”
ภรรยาผู้ใหญ่บ้านยิ่งโมโหหนัก ไม่สนแล้วว่าเมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นยังเดินไปไม่ไกล แผดเสียงร้องโวยวายใส่ผู้ใหญ่บ้าน “เจ้าเฒ่าไร้สมอง วันนี้อะไรเข้าสิง เงินมากองตรงหน้ากลับไม่ต้องการ…”
เมิ่งต้าจินที่เดินออกไปข้างนอกแล้ว ได้ยินคำพูดของภรรยาผู้ใหญ่บ้าน ยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น เมิ่งเอ้ออิ๋นถือขนมเดินคอตกตามหลังมา พูดอย่างท้อแท้ใจ “พี่ใหญ่ ต่อให้ขยายบ้านเก่าให้กว้างขึ้น ก็ไม่พอให้ปลูกเรือนสองหลัง เหรินเอ๋อร์อย่างไรก็ยังไม่มีเรือนหอ”
เมิ่งต้าจินตอบกลับ “ข้ากลับรู้สึกว่าเรื่องนี้มีเงื่อนงำ พวกเรากลับบ้านไปปรึกษากับท่านพ่อก่อน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ “มีเงื่อนงำอะไร? เหตุใดข้าถึงไม่รู้สึก”
เมิ่งต้าจินส่ายหน้า “ข้าก็ไม่รู้ กลับไปให้ท่านพ่อวิเคราะห์เดี๋ยวก็รู้เอง”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า
ทั้งสองถือขนมเดินกลับบ้าน
กลุ่มคนที่ออกมาตากแดดเห็นสองพี่น้องถือขนมเดินกลับมา ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดพวกเจ้ากลับมาเร็วเช่นนี้ ซื้อที่ดินไม่ได้หรือ?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นกำลังจะรับคำ เมิ่งต้าจินกลับแย่งพูด “อาผู้ใหญ่บ้านมีธุระไม่อยู่บ้าน พวกเราก็เลยกลับมาก่อน”
กลุ่มคนที่ตากแดดพยักหน้าเข้าใจ
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาถึงบ้านใหญ่ เมิ่งจงจวี่และหญิงชราเมิ่งกำลังรอฟังข่าวอย่างชื่นบานในบ้าน เห็นทั้งสองคนกลับมา หญิงชราเมิ่งถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “กลับมาเร็วเช่นนี้เลย? ผู้ใหญ่บ้านพูดง่ายแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
เมิ่งจงจวี่เห็นทั้งสองยังถือขนมอยู่ในมือ มองพวกเขาอย่างกังขา
เมิ่งต้าจินนำคำพูดของผู้ใหญ่บ้านบอกกับเขา
เมิ่งจงจวี่ฟังจบ ลูบหนวด ทอดถอนใจพูด “ผู้ใหญ่บ้านต้องการสร้างความลำบากให้พวกเรา”
เมิ่งเอ้ออิ๋นประหลาดใจ โพล่งปากถาม “เพราะอะไรกัน?”
หญิงชราเมิ่งได้ยินว่าพวกเขาซื้อที่ไม่สำเร็จ พูดอย่างเคืองขุ่น “จะเพราะอะไร ก็เพราะพวกเขาโกรธแค้นเรื่องขายบุตรชายให้เมิ่งเชี่ยนโยวอย่างไร”
เมิ่งเอ้ออิ๋นยิ่งงุนงง พูดว่า “ตั้งแต่ที่หลิวต้าเป่ามาทำงานที่โรงงาน นอกจากไม่ให้เขากลับบ้านโดยพลการ อย่างอื่นเมิ่งเชี่ยนโยวปฏิบัติกับเขาเหมือนกับพนักงานถาวรทุกอย่าง พวกเขามีอะไรต้องโกรธแค้นกัน”
เมิ่งจงจวี่พูด “ต่อให้เมิ่งเชี่ยนโยวปฏิบัติต่อหลิวต้าเป่าดีอย่างไร ก็ยังเป็นปมในใจผู้ใหญ่บ้าน เพราะอย่างไรเขาก็เป็นหัวหน้าหมู่บ้าน ได้รับการยกย่องประจบประแจงจากคนในหมู่บ้านมานานหลายปีจนเสียนิสัย ตอนที่หลิวต้าเป่าตกทุกข์ แม้เมิ่งเชี่ยนโยวจะเข้าช่วย กลับให้หลิวต้าเป่าทำสัญญาทาสกับพวกเรา เท่ากับเป็นการตบหน้าผู้ใหญ่บ้านอย่างแรง ตอนนี้พวกเรามีเรื่องขอร้องเขา เขาย่อมต้องทำให้พวกเราลำบาก”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างร้อนใจ “เช่นนั้นจะทำอย่างไร? พวกเราก็ซื้อที่ดินไม่สำเร็จแล้ว”
เมิ่งจงจวี่ตอบว่า “ที่ดินไม่ใช่ว่าจะซื้อไม่ได้ ต้องดูว่าผู้ใหญ่บ้านจะยื่นเงื่อนไขอะไร?”
หญิงชราเมิ่งพูดด้วยอารมณ์ขุ่นเคือง “หากรู้ว่าคนลืมคุณคนทั้งสองจะมาสร้างความลำบากให้พวกเรา ตอนนั้นไม่ควรให้โยวเอ๋อร์ซื้อหลิวต้าเป่าไว้ ควรปล่อยให้คนในบ่อนเอาลูกทั้งสองของเขาไปขาย ดูว่าพวกเขาจะยังกล้าเหิมเกริมเหมือนตอนนี้ไหม”
เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจพูดว่า “หากในตอนนั้นโยวเอ๋อร์ไม่ซื้อตัวหลิวต้าเป่าไว้ ผู้ใหญ่บ้านคงเห็นพวกเราเป็นศัตรูคู่แค้นไปนานแล้ว จะต้องคอยหาเรื่องให้พวกเราต้องลำบาก ไม่ใช่คอยระแวงระวังไม่กล้าลงมือเช่นนี้ มีเพียงเวลาที่พวกเรามีเรื่องต้องขอร้อง ถึงจะแกล้งให้พวกเราต้องลำบาก”
หญิงชราเมิ่งปิดปากแน่น
เมิ่งเอ้ออิ๋นร้อนใจเต้นเร่าๆ พูดว่า “เช่นนั้นจะทำอย่างไร? หากไม่มีบ้าน เหรินเอ๋อร์จะแต่งงานอย่างไร?”
ทั้งสามพูดไม่ออก ภายในบ้านจมดิ่งสู่ความเงียบ
ครู่ต่อมา เมิ่งจงจวี่ถอนหายใจพูดว่า “ช่างเถอะ ข้าจะยอมทิ้งศักดิ์ศรีไปขอร้องเขาอีกครั้ง อย่างไรข้าก็เป็นซิ่วไฉมาหลายปี เขาน่าจะให้เกียรติข้าบ้าง”
เมิ่งต้าจินตกใจ “ท่านพ่อ ได้อย่างไรกัน ท่านเป็นบัณฑิต หลายปีมานี้ไม่ว่ามีเรื่องอะไร ก็ไม่เคยต้องลดเกียรติพูดขอร้องใคร จะไปก้มหัวให้ผู้ใหญ่บ้านเพราะเรื่องบ้านหลังเดียวได้อย่างไร อย่างมาก ก็หาที่ผืนเล็ก ปลูกเรือนสองห้องให้เหรินเอ๋อร์ก่อน ให้เขาแต่งงานก่อนค่อยว่ากัน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็ไม่เห็นด้วยที่เมิ่งจงจวี่จะไปขอร้องผู้ใหญ่บ้าน พูดหว่านล้อม “ท่านพ่อ เรื่องนี้ท่านไม่ต้องยุ่ง ข้าจะกลับไปหาโยวเอ๋อร์ ดูว่านางจะมีวิธีอะไรดีๆ?”
ครึ่งปีกว่าที่ผ่านมา ทุกคนในสกุลเมิ่งต่างก็เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเป็นเสาหลักไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ได้ยินเมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเช่นนี้ เมิ่งต้าจินก็พยักหน้าเห็นด้วย เมิ่งจงจวี่ขบคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าพูดว่า “ได้ เจ้ากลับไปปรึกษากับโยวเอ๋อร์ก่อน หากนางก็ไม่มีวิธีที่ดี ข้าจะยอมลดศักดิ์ศรีไปขอร้องผู้ใหญ่บ้าน”
เมิ่งเอ้ออิ๋นตะลีตะลานกลับบ้านมาหาเมิ่งเชี่ยนโยว เล่าเรื่องที่ไปหาผู้ใหญ่บ้านแต่ซื้อที่ไม่สำเร็จและเรื่องที่เมิ่งจงจวี่บอกว่าเพราะผู้ใหญ่บ้านจงใจสร้างความลำบากให้พวกเขาแก่นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวฟังจบ ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ยิ้มพูดกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ ท่านไปบอกท่านปู่ เรื่องนี้ไม่ต้องเป็นห่วง และไม่ต้องลดศักดิ์ศรีไปขอร้องเขา รออยู่ที่บ้านอย่างสบายใจ อีกไม่กี่วันพวกเราจะต้องซื้อที่ดินผืนนั้นได้”
เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างคาดหวัง “โยวเอ๋อร์คิดวิธีอะไรดีๆ ออกอย่างนั้นหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ไม่มี”
“เช่นนั้นเจ้ายืนยันได้อย่างไรว่าอีกไม่กี่วันพวกเราก็จะซื้อที่ดินผืนนั้นได้?” เมิ่งเอ้ออิ๋นถามอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตอบ “ผู้ใหญ่บ้านเป็นคนละโมบ ตอนนี้มีเงินมากมายมากองตรงหน้าไม่เอา จะต้องคิดฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไขบางอย่างกับพวกเรา”
เมิ่งเอ้ออิ๋นร้อนใจถามนาง “จะเป็นเรื่องอันใดกัน? หรือจะให้พวกเราบอกสูตรเนื้อรมควันกับเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูดเกลี้ยกล่อมเขา “ท่านพ่อ เรื่องอะไรนั้นอีกสองวันพวกเราก็รู้แล้ว ท่านไม่ต้องร้อนรน บอกท่านปู่ท่านย่าและลุงใหญ่ เรื่องที่พวกเราไปซื้อที่ดินให้ทำเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ให้พวกเขาควรทำอะไรก็ทำต่อไป”
เมิ่งเอ้ออิ๋นยังคงคับข้องใจ เขารู้ว่าบุตรสาวพูดเช่นนี้แสดงว่าต้องมีสาเหตุ จึงพยักพเยิดหน้า แล้วกระวีกระวาดวิ่งกลับไปบ้านใหญ่ นำคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยวบอกกับเมิ่งจงจวี่และเมิ่งต้าจินอย่างไม่ตกหล่นสักคำ
เมิ่งจงจวี่ฟังเมิ่งเอ้ออิ๋นพูดจบ ลูบหนวดใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วพูด “เมื่อโยวเอ๋อร์พูดเช่นนี้ น่าจะมีความคิดบางอย่างแล้ว พวกเราจงฟังนาง เรื่องนี้ให้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ใครก็ห้ามเอ่ยขึ้น”
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า