ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 143.1
เมิ่งชื่อรีบคลายมือจากป้าหวัง รอป้าหวังล้างมือเสร็จ ก็ลากป้าหวังไปบ้านตัวเองอย่างรอต่อไปไม่ไหว
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงออกไปโอ้อวดมาหนึ่งรอบ ทำเอาเด็กๆ ในหมู่บ้านพากันอิจฉาตาร้อน ต่างไล่ตามหลังพวกเขาไม่ยอมแยกย้าย
ระหว่างทางกลับบ้านเมิ่งชื่อเห็นพวกเข้าพอดี ตะโกนร้องเรียกเด็กน้อยทั้งสอง “เจี๋ยเอ๋อร์ ชิงเอ๋อร์ พวกเจ้ามานี่”
ได้ยินเสียงร้องของนาง เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงวิ่งทะยานมาทันที
ป้าหวังเห็นกระเป๋านักเรียนที่ตัวเด็กทั้งสองประหลาดใจไม่น้อย ถามขึ้น “เจี๋ยเอ๋อร์และชิงเอ๋อร์สะพายสิ่งใด งดงามน่าดูนัก”
เมิ่งชื่อหัวเราะพูด “นี่ก็คือกระเป๋านักเรียนที่ข้าบอกเจ้า”
ป้าหวังถลึงตาโต “นี่ก็คือกระเป๋านักเรียน?”
เมิ่งชื่อพยักหน้า ยิ้มพูด “โยวเอ๋อร์เป็นคนคิดค้นขึ้น บอกว่าเวลาเด็กๆ ไปโรงเรียน สามารถนำสิ่งของของพวกเขาใส่ไว้ภายในได้เป็นชั้นเป็นตอน ทั้งประหยัดเวลาและสะดวกสบาย” พูดจบหันไปพูดกับเมิ่งเจี๋ย “เจี๋ยเอ๋อร์ เจ้าถอดกระเป๋านักเรียนออกมาให้ป้าหวังดูหน่อย”
เมิ่งเจี๋ยถอดกระเป๋านักเรียนออกมาอย่างระวัง มอบให้ป้าหวัง กำชับนางอย่างไม่วางใจ “ป้าหวัง ท่านดูอย่างเบามือด้วย อย่าทำกระเป๋านักเรียนข้าเสียหาย”
เมิ่งชื่อหลุดขำ “เจี๋ยเอ๋อร์ กระเป๋านักเรียนนี้ทำมาจากผ้า ไม่เสียหายดอก”
เมิ่งเจี๋ยพยักหน้าเหมือนเข้าใจแต่ไม่เข้าใจ ยังคงมองกระเป๋านักเรียนในมือป้าหวังไม่กะพริบตา
ป้าหวังรับกระเป๋านักเรียนมา ดูนอกดูในจนทั่วหนึ่งรอบ ร้องอุทาน “เจ้าหนูโยวเอ๋อร์ฉลาดเกินไปแล้ว กระเป๋านักเรียนที่ทั้งสวยทั้งน่าใช้นี้นางก็คิดออกมาได้”
ไม่รอให้เมิ่งชื่อพูด เมิ่งเจี๋ยก็รีบยื่นมือน้อยๆ พูดกับป้าหวัง “ป้าหวัง ท่านดูเสร็จแล้วใช่ไหม? คืนกระเป๋านักเรียนให้ข้าได้หรือยัง?”
ป้าหวังหัวเราะคืนกระเป๋านักเรียนให้เขา
เมิ่งเจี๋ยรีบนำมาสะพายหลัง
ป้าหวังหันไปพูดกับเมิ่งชื่อ “อย่าว่าแต่เด็กๆ เลย แม้แต่ข้าที่เห็นกระเป๋านักเรียนนี้ยังอยากสะพายบ้าง”
เมิ่งชื่อพูดอย่างยินดี “โยวเอ๋อร์ก็เลยคิดจะเอากระเป๋านักเรียนมาทำการค้า ให้ข้าหาคนในหมู่บ้านที่เย็บปักเก่งมาทำงาน บอกว่าถ้าการค้าไปได้ดี ไม่แน่จะก่อตั้งโรงงานกระเป๋านักเรียนขึ้นอีกแห่งด้วย”
ได้ยินนางพูดเช่นนี้ ป้าหวังดีใจมาก ยืนคิดกลางถนนทันทีว่าหญิงสาวคนไหนในหมู่บ้านที่เย็บปักเก่งๆ
หลังจากที่คิดหาหญิงสาวได้จำนวนหนึ่ง ทั้งสองก็แยกย้ายไปหาคน ป้าหวังไปหาฝั่งตะวันออกของหมู่บ้าน เมิ่งชื่อไปหาฝั่งตะวันตกของหมู่บ้าน ทั้งสองตกลงกันว่า หากคนเหล่านั้นตกลง ให้พาพวกเขามาบ้านเมิ่งชื่อ
เมิ่งชื่อดีอกดีใจ ฝีเท้าคล่องแคล่วปราดเปรียว ไม่นานก็มาถึงบ้านหญิงสาวนางหนึ่ง บอกถึงจุดประสงค์ที่มา
ตอนนี้คนในหมู่บ้านเห็นคนในครอบครัวเมิ่งชื่อต่างก็ประจบเอาใจ เพื่อเวลาที่บ้านพวกเขารับสมัครงาน ตัวเองจะได้งานสักชิ้นมาทำ ตอนนี้เห็นเมิ่งชื่อมาหาตัวเองถึงบ้าน หญิงสาวตกใจที่ได้รับความเอ็นดู รับคำเป็นพัลวัน
เมิ่งชื่อไปบ้านหลังที่สองที่สามต่อพร้อมนาง
หญิงสาวทั้งหมดต่างตอบรับทันที คนในครอบครัวล้วนดีใจยกใหญ่ กล่าวขอบคุณไม่หยุด
ตอนที่เมิ่งชื่อพาหญิงสาวทั้งหมดกลับมาบ้าน ป้าหวังก็พาหญิงสาวอีกสองสามคนเดินเข้ามาพอดี
เมิ่งชื่อพาคนทั้งหมดเข้าบ้าน แล้วนำกระเป๋านักเรียนของเมิ่งเจี๋ยที่กลับมาถึงบ้านแล้วให้ทุกคนดู หญิงสาวทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือเย็บปัก งานชนิดนี้ไม่เหนือบ่ากว่าแรง ต่างยิ้มพูดว่าวันเดียวก็เย็บออกมาได้แล้ว
เมิ่งชื่อได้ยินพวกเขาพูดเช่นนี้ย่อมยินดีปรีดา ตัดสินใจทันควันให้พวกเขาวันละสามสิบอีแปะต่อคน เวลาทำงานเหมือนกับคนงานทำงานโรงงาน
หญิงสาวทั้งหมดดีใจยกใหญ่
เมิ่งชื่อไม่คิดว่าเรื่องจะราบรื่นเช่นนี้ ก็ดีใจมากเช่นกัน กำชับทุกคนพรุ่งนี้ให้มาทำงานตรงเวลา
คนทั้งหมดพยักหน้าตอบรับ กลับบ้านไปบอกคนในครอบครัวอย่างชื่นบาน
ป้าหวังเห็นว่าหมดเรื่องแล้ว จึงกลับไปทำงานที่โรงงานรมควันเนื้อ
เมิ่งชื่อเห็นทุกคนไปหมดแล้ว ขบคิดถึงสิ่งของที่ต้องใช้ทำกระเป๋านักเรียนภายในห้องลำพัง ตอนบ่ายเมิ่งเชี่ยนโยวไปรับเมิ่งอี้เซวียนจะได้ฝากนางซื้อกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวย่อมไม่มีความเห็นต่าง ตอนบ่ายที่ต้องออกไปรับเมิ่งอี้เซวียนจะให้เมิ่งเสียนออกไปเร็วขึ้น เมื่อถึงร้านขายอุปกรณ์ตัดเย็บในเมือง หลังจากซื้ออุปกรณ์เย็บปักจำนวนมากที่เมิ่งชื่อต้องการเสร็จถึงไปรับเมิ่งอี้เซวียนที่หน้าโรงเรียน
หน้าประตูโรงเรียนมีรถม้าจอดหลายคันแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวมองโดยรอบ รถม้าของซุนซ่านเหรินไม่ได้มาจริงๆ แอบยกย่องในใจ ไม่แปลกที่การค้าของซุนซ่านเหรินเจริญรุ่งเรือง เมื่อถึงคราวต้องเด็ดขาดก็ทำได้อย่างไม่ลังเลสักนิด
ถึงเวลาเลิกเรียน อาจารย์เวรเปิดประตูใหญ่ออก เด็กนักเรียนทยอยกันเดินออกมา นั่งรถม้าของบ้านตัวเองกลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวรอครู่ใหญ่ กระทั่งรถม้าหน้าประตูไปหมดแล้ว ก็ยังไม่เห็นเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉออกมา เริ่มมุ่นหัวคิ้ว สาวเท้าเดินไปหน้าประตู ชะเง้อคอมอง
อาจารย์เวรจำนางได้ เห็นนางชะเง้อมองเข้าไปด้านใน นึกว่านางเป็นห่วงที่เมิ่งอี้เซวียนยังไม่ออกมา พูดปลอบใจ “แม่นางน้อย เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง วันนี้ในโรงเรียนมิได้เกิดเรื่องอันใด อีกประเดี๋ยวน้องชายเจ้าก็ออกมา”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มให้เขา ยืนรอพวกเขาหน้าประตูเงียบๆ
ผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ตอนที่อาจารย์เวรใกล้ทนไม่ไหวจะเดินเข้าไปดูว่าเกิดเรื่องอะไรกับเมิ่งอี้เซวียนขึ้นหรือไม่ ถึงเห็นเขาถูลู่ถูกังซุนเหลียงไฉที่เอาแต่ดิ้นรนขัดขืนออกมาจากห้องเรียน
เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวยืนรอพวกเขาที่หน้าประตู เมิ่งอี้เซวียนที่เหงื่อซึมทั่วตัวด้านหนึ่งฉุดลากซุนเหลียงไฉ อีกด้านร้องตะโกนพูด “พอเลิกเรียนเขาก็ไปแอบ ข้าต้องลงแรงไม่น้อยถึงตามหาพบ ให้ตายเขาก็ไม่ยอมตามออกมา ข้าจำต้องลากเขาออกมา”
อาจารย์เวรประหลาดใจมาก ไม่เข้าใจทำไมเมิ่งอี้เซวียนถึงพูดเช่นนี้ กำลังจะซักถาม ซุนเหลียงไฉก็ร้องพูดกับอาจารย์ “ท่านอาจารย์ ช่วยข้าด้วย เมิ่งอี้เซวียนจะฉุดลากข้าไปบ้านเขาให้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น
อาจารย์ตกใจหนัก รีบเข้าไปยับยั้งเมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “เมิ่งอี้เซวียน เจ้าทำเช่นนี้ไม่ถูกต้อง เมื่อซุนเหลียงไฉไม่ยินดีไปบ้านพวกเจ้า เจ้าก็ไม่ควรฝืนฉุดลากเขาไป ไม่เช่นนั้น อาจารย์จะถือว่าเจ้ารังแกเพื่อนร่วมห้อง”
เมิ่งอี้เซวียนรีบร้อนพูด “อาจารย์เข้าใจผิดแล้ว ข้ามิได้จะฉุดลากเขาไปบ้านพวกเรา แต่ปู่ของเขาฝากฝังเขาไว้กับพวกเรา ต่อไปให้เขามากินนอนบ้านพวกเรา”
อาจารย์ไม่รู้เรื่องนี้ ถามซุนเหลียงไฉ “เมิ่งอี้เซวียนพูดถูกต้องหรือไม่?”
ซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบ โก่งคอเป็นเอ็นพูด “หามีเรื่องเช่นนี้ไม่ พวกเขาเป็นคนบ้านนอก ท่านปู่จะยอมให้ข้าไปกินนอนบ้านพวกเขาได้อย่างไร”
ซุนเหลียงไฉเป็นหลายชายเพียงคนเดียวของซุนซ่านเหริน ถูกตามใจแต่เด็ก ทำใจเห็นเขาลำบากไม่ได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงให้เขาไปกินนอนบ้านคนอื่น อาจารย์ก็คิดว่าเป็นไปไม่ได้ น้ำเสียงที่พูดแสดงออกชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย “เมิ่งอี้เซวียน เจ้าพูดโกหกได้อย่างไร?”
เมิ่งอี้เซวียนว้าวุ่นใจจนเหงื่อซึมหนักกว่าเดิม กำลังจะอธิบาย เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเอ่ยปากว่า “อี้เซวียน ปล่อยเขา”
เมิ่งอี้เซวียนได้ยินก็ปล่อยมือ
ซุนเหลียงไฉหันหลังเตรียมจะวิ่งกลับไปในห้องเรียน เสียงเ**้ยมเกรียมของเมิ่งเชี่ยนโยวดังไล่หลัง “หากเจ้ากล้าวิ่งกลับไป ข้าจะหักขาเจ้าหนึ่งข้าง”
หลังจากวิวาทกันวันนั้น ซุนวั่งเอาเรื่องที่เขาถูกเมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าบอกฮูหยินชราซุนตอนกินข้าว ทั้งใส่สีตีไข่พูดว่านางโหดเ**้ยมอำมหิต ไม่ว่าเรื่องใดก็ทำได้ ซุนเหลียงไฉนั่งฟังเต็มสองรูหู เกิดความหวาดกลัวต่อเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นภายในใจ ตอนนี้ได้ยินคำพูดเ**้ยมเกรียมของเมิ่งเชี่ยนโยว ตกใจจนหยุดชะงักฝีเท้าทันที ยืนอยู่กับที่ไม่กล้าขยับเขยื้อน
เมิ่งเชี่ยนโยวเช็ดเหงื่อให้เมิ่งอี้เซวียนอย่างพิถีพิถัน ให้เขาขึ้นไปบนรถม้าก่อน อย่าให้เป็นไข้จับสั่น
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้าดีใจ วิ่งไปข้างรถม้าอย่างชื่นบาน หลังจากทักทายเมิ่งเสียนก็เข้าไปนั่งในห้องโดยสาร
อาจารย์ก็ได้ยินคำพูดของเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างไม่เห็นด้วย “ซุนเหลียงไฉเพียงแค่ไม่ยินดีไปบ้านพวกเจ้า เจ้าข่มขู่เขาได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาว่า “ท่านอาจารย์ ท่านดูเถิด รถม้าของซุนซ่านเหรินมารับเขาหรือไม่?”
อาจารย์ถึงนึกได้ว่าไม่เห็นรถม้าบ้านซุนเข้ามา ให้รู้สึกแปลกใจ ถามซุนเหลียงไฉ “เหตุใดวันนี้ถึงไม่มีรถม้ามารับเจ้า?”
ซุนเหลียงไฉกะพริบตาปริบ อึกๆ อักๆ พูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มอธิบายกับเขาว่า “อี้เซวียนหาได้ต้องการให้ซุนเหลียงไฉมากินนอนบ้านพวกเรา แต่ครอบครัวพวกเราและซุนซ่านเหรินร่วมมือกันทำการค้าหนึ่ง ซุนซ่านเหรินกลัวพวกเราจะทำไม่ดี ให้ซุนเหลียงไฉไปบ้านพวกเรามีหน้าที่คอยตรวจตราพวกเรา”
การค้าของซุนซ่านเหรินใหญ่โตรุ่งเรือง การจะร่วมมือกับบ้านเมิ่งอี้เซวียนมีความเป็นไปได้ อาจารย์ได้ฟังเริ่มเชื่อหลายส่วน แต่ยังถามขึ้น “เช่นนั้นทำไมซุนเหลียงไฉต้องพูดเช่นนั้น?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหลือบมองซุนเหลียงไฉแวบหนึ่ง พูดกับอาจารย์ “คุณชายน้อยซุนเสวยสุขอยู่ในบ้านจนชิน ไม่ยินดีไปตรากตรำที่บ้านนอก ด้วยเหตุนี้ ถึงได้โกหกท่าน”
อาจารย์ได้ยินถามซุนเหลียงไฉ “แม่นางเมิ่งพูดเป็นความจริงหรือไม่?”
ซุนเหลียงไฉอยากส่ายหน้า กลับเห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเหมือนยิ้มแต่ไม่ยิ้มมองมาที่เขา ให้รู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว พยักหน้าอย่างไม่รู้ตัว
อาจารย์เริ่มโมโห ตำหนิเขา “เจ้าโกหกอาจารย์ได้อย่างไร?”
ซุนเหลียงไฉไม่กล้าพูด
อาจารย์พูดกับเขาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เจ้ารีบกลับไปกับแม่นางเมิ่งเถอะ อาจารย์จะปิดประตูแล้ว”
ซุนเหลียงไฉยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยน้ำเสียงเน้นหนัก “หากคุณชายน้อยซุนไม่ยินดีนั่งรถม้ากลับไปบ้านพวกเรา จะเดินไปก็ได้ ราวๆ สามชั่วยามก็ถึง”
ซุนเหลียงไฉมองเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างตกตะลึง เห็นท่าทีจริงจังของนาง ฝีเท้าหันเปลี่ยนทิศทางอย่างไม่รู้ตัว ก้าวเท้าฉับไวออกไปจากประตูโรงเรียน มาถึงข้างรถม้า
หลังจากกล่าวลาอาจารย์อย่างมีมารยาท เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินมาข้างรถม้า เห็นซุนเหลียงไฉยังลังเลว่าจะขึ้นไปหรือไม่ ก็พูดคำหนึ่ง “พี่ใหญ่ ระหว่างทางบังคับรถม้าช้าหน่อย คุณชายน้อยซุนเดินตามพวกเราไม่ทัน”
ยังไม่รอให้เมิ่งเสียนตอบ ซุนเหลียงไฉก็เข้าไปนั่งในรถม้าเรียบร้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวเม้มริมฝีปากแอบอมยิ้ม และเข้าไปนั่งในรถม้า