ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 145.2
อวี้เทียนเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เดินขึ้นหน้า พูดตะกุกตะกักทักทายซุนเหลียงไฉ “คุณชายน้อยซุน”
ซุนเหลียงไฉเห็นเป็นเขาแค่นเสียงหึ ไม่ตอบกลับ
อวี้เทียนยืนกระอักกระอ่วนอยู่ตรงนั้น
ซุนซ่านเหรินแสร้งตวาด “ไฉเอ๋อร์ ห้ามทำตัวไม่มีมารยาท”
ซุนเหลียงไฉพูดด้วยความโมโห “เขาที่ให้ผู้ติดตามมาล้อมรถม้าหาเรื่องพวกเรา ข้าตกใจเกือบตายแล้ว หากไม่เพราะเมิ่งอี้เซวียนคอยปกป้องข้าอยู่บนรถม้า ผู้ติดตามของเขาคงทำร้ายข้าได้ไปนานแล้ว”
อวี้เทียนลนลานอธิบาย “คุณชายน้อยซุนเข้าใจผิดแล้ว หากข้าทราบว่าท่านอยู่บนรถม้า ไม่มีทางให้ผู้ติดตามบุกเข้าไปแน่นอน”
ซุนเหลียงไฉแค่นเสียงหึอีกครั้ง สะบัดหน้าตุปัดตุป่อง ไม่สนใจเขา
ซุนซ่านเหรินมองเมิ่งเชี่ยนโยว ยิ้มตาหยีถามอวี้เทียน “หลานอวี้ ไม่ทราบว่าแม่นางเมิ่งล่วงเกินเจ้าเรื่องอันใด ทำให้เจ้าต้องระดมผู้คนลงมือกับนางกลางถนน?”
อวี้เทียนได้ฟังมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างเคืองขุ่น “น้องสาวข้าหายไป ข้าตามหานางหลายวันแล้วก็หาไม่เจอ ต่อมาถึงได้รู้ว่าครอบครัวของนังตัวแสบนี่เอาตัวน้องสาวข้าไปซ่อน”
ซุนซ่านเหรินงงงันถาม “แม่นางเมิ่งซ่อนตัวน้องสาวเจ้าเพื่ออะไร?”
อวี้เทียนเผยอปาก ไม่ได้ตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียงเย็น “คุณหนูอวี้ถูกใจพี่ใหญ่ข้า จะแต่งงานกับเขาให้ได้ ท่านพ่อท่านแม่ข้ากลัวนางจะทนลำบากใช้ชีวิตในบ้านนอกไม่ไหว จึงไม่ได้รับปาก ไม่คิดว่าวันนี้คุณชายอวี้จะมาขวางรถม้าพวกเรา พูดแต่ว่าคุณหนูอวี้หายตัวไป เพราะพวกเรานำตัวนางไปซ่อน”
อวี้เทียนพูดด้วยน้ำเสียงเชื่อมั่น “เป็นพวกเจ้าที่เอานางไปซ่อน วันถัดมาเสี่ยวเอ้อที่ภัตตาคารเห็นพวกเจ้าไปพบนาง จากนั้นน้องสาวข้าก็หายตัวไป ไม่ใช่พวกเจ้าเอานางไปซ่อน เช่นนั้นน้องสาวข้าหนีตามคนอื่นไปหรืออย่างไร”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบหนึ่งประโยค “ก็ไม่แน่”
อวี้เทียนเดือดดาล
ซุนซ่านเหรินเข้าไกล่เกลี่ย “แม่นางเมิ่งจับน้องสาวเจ้าไปซ่อนจริงหรือไม่ เจ้าเรียกเสี่ยวเอ้อภัตตาคารนั้นมาถามก็รู้แล้ว”
อวี้เทียนหันหลังถามผู้ติดตาม “เรียกตัวเสี่ยวเอ้อคนนั้นมาหรือยัง?”
ผู้ติดตามขานรับ “เรียกมาแล้วขอรับ คอยอยู่ตรงนั้นนานแล้ว”
อวี้เทียนสั่งการ “ไปเรียกตัวเขาเข้ามา”
ผู้ติตามรับคำ นำตัวเสี่ยวเอ้อที่ตกใจหลบอยู่อีกด้านเข้ามา
อวี้เทียนชี้เมิ่งเชี่ยนโยวถามเขา “คนที่เจ้าเห็นมาพบน้องสาวข้าที่ภัตตาคารวันก่อนคือนางใช่หรือไม่?”
วันนั้นคุณหนูอวี้พาสาวใช้เข้าไปขลุกตัวอยู่ในห้องรับรองของภัตตาคารเป็นนานก็ไม่สั่งอาหาร ยิ่งไม่ได้จ่ายเงิน เป็นเมิ่งเชี่ยนโยวที่จ่ายให้ก่อนหนึ่งตำลึง เสี่ยวเอ้อถึงรอดพ้นการดุว่าจากหลงจู๊มาได้ เสี่ยวเอ้อจำนางได้แม่น ตอนนี้ได้เห็น พยักหน้าพลัน “แม่นางท่านนี้ล่ะ”
อวี้เทียนเริ่มมั่นใจ พูดว่า “นังตัวดี ตอนนี้ยังมีอะไรจะพูดอีก?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดครึ่งจริงครึ่งเท็จ “วันนั้นข้าพบคุณหนูอวี้ที่ภัตตาคารจริง แต่มิใช่ข้าไปพบนาง ตอนที่รถม้าของพวกเราผ่านภัตตาคาร คุณหนูอวี้ให้สาวใช้มาขวางพวกเรา ต้องการเจรจากับข้าให้ได้ เดิมข้าคิดจะไม่สนใจ แต่สาวใช้ของคุณหนูอวี้รบเร้าอ้อนวอน ข้าถึงยอมลงจากรถม้าไปพบนางด้วยเจตนาดี เพราะเรื่องนี้ ทำให้ข้าพลาดเรื่องสำคัญ ข้าไม่ได้คิดบัญชีกับพวกเจ้า พวกเจ้ากลับยังมาหาเรื่องข้า”
อวี้เทียนอารมณ์ร้อนเดือดดาล ร้องด่า “เจ้าโกหก หาใช่เช่นนี้ไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวถามกลับ “ความจริงเป็นเช่นนี้ เหตุใดข้าต้องโกหก? ไม่เชื่อเจ้าก็ถามเสี่ยวเอ้อ ข้าที่ไปก่อน หรือน้องสาวเจ้าไปก่อน”
อวี้เทียนมองเสี่ยวเอ้อ
เสี่ยวเอ้อรีบพูด “เป็นคุณหนูอวี้ที่พาสาวใช้มาถึงก่อนจริงๆ พวกนางขลุกอยู่ในภัตตาคารประมาณครึ่งชั่วยามได้ แม่นางท่านนี้ถึงเข้ามา แต่แม่นางท่านนี้ได้ออกไปก่อนหนึ่งครั้ง ประมาณหนึ่งชั่วยามกว่าถึงกลับมา พาชายหนุ่มและหญิงที่เริ่มมีอายุนางหนึ่งกลับมา พอสองคนนั้นเข้าไปในห้องรับรอง ไม่นานเท่าไหร่ก็ออกมา จากนั้นพวกเขาทั้งสามคนก็ออกไปพร้อมกัน”
อวี้เทียนชี้เมิ่งเสียนถามเขา “ชายหนุ่มคนนั้นคือเขาใช่หรือไม่?”
เสี่ยวเอ้อพินิจมองครู่หนึ่งแล้วพูด “ตอนนั้นข้าไม่ได้ตั้งใจดู เหมือนจะใช่ แต่ก็เหมือนไม่ใช่”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยความปรารถนาดี “สองคนนั้นก็คือพี่ใหญ่และท่านแม่ข้า วันนั้นหลังจากคุณหนูอวี้เรียกข้าเข้าไปในห้องรับรอง ถามข้าว่าทำไมบ้านพวกเราถึงไม่ไปทาบทามสู่ขอ ข้าบอกนางว่าบิดามารดาข้าไม่ยินยอม นางกลับวิงวอนขอร้องข้า ให้ข้าช่วยพูดแทนนาง ให้บิดามารดาข้ายอมเห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ เรื่องเช่นนี้ข้าจะตัดสินใจได้อย่างไร ถึงได้รีบร้อนกลับไปตามพี่ใหญ่และท่านแม่ข้ามา ให้คุณหนูอวี้พูดคุยกับพวกเขาเอง พวกเราเป็นคนบ้านนอก แต่งเอาคุณหนูใหญ่บอบบางอ้อนแอ้นเข้าบ้าน วันๆ คงได้แต่เฝ้าประคมประหงำ ไม่ว่าอย่างไรท่านแม่ข้าก็ไม่ตกลง หลังจากพูดเหตุผลที่พวกเราบอกปฏิเสธไป พวกเราสามคนก็กลับบ้านพร้อมกัน ส่วนที่ว่าภายหลังทำไมคุณหนูอวี้ถึงหายตัวไป พวกเราก็ไม่รู้แล้ว”
อวี้เทียนยังคงถามอย่างไม่เชื่อ “หากไม่ใช่พวกเจ้าเอาตัวนางไปซ่อน น้องสาวข้าจะหายไปได้อย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเสียดสี “คุณชายอวี้ เป็นคุณหนูอวี้ที่อยากแต่งงานกับพี่ใหญ่ข้า หากพวกเราเห็นชอบ นางคงรีบแต่งเข้ามาทันที เหตุใดพวกเราต้องเอานางไปซ่อน? ท่านไม่คิดว่าเหตุผลนี้น่าขบขันไปหน่อยหรือ?”
อวี้เทียนสะอึกกึก พูดไม่ออก
ซุนซ่านเหรินได้ฟังพอประมาณแล้ว ยิ้มตาหยีพูด “หลานอวี้ เรื่องนี้ข้าฟังเข้าใจแล้ว น้องสาวเจ้าหายตัวไป ไม่เกี่ยวข้องกับแม่นางเมิ่งจริงๆ เจ้ามาขวางทางหาเรื่องเช่นนี้ เป็นการทำเกินกว่าเหตุ”
อวี้เทียนที่พอได้ยินเสี่ยวเอ้อบอกว่าก่อนที่อวี้อวี่จะหายตัวไป ได้พบเมิ่งเชี่ยนโยวที่ภัตตาคาร เขาจึงเอาแต่ยึดมั่นว่าเป็นพวกนางที่จับตัวน้องสาวตัวเองไปซ่อน จึงนำกำลังคนมาซุ่มอยู่หน้าประตูเมืองหลายวันแล้ว แต่ตอนนี้มาได้ยินนางพูดเช่นนี้ เขาก็รู้สึกว่าพวกเขาไม่มีความจำเป็นต้องจับน้องสาวตนเองไปซ่อน เพราะหลังจากวันนั้นที่เขากลับมาบ้าน บิดามารดาเขาก็บอกเขาแล้ว ว่าอวี้อวี่พึงใจเมิ่งเสียน ร้องอาละวาดจะแต่งกับเขาให้ได้ พวกเขาสองคนคิดว่าพวกเขาเป็นคนบ้านนอก ทั้งครอบครัวยากจน อวี้อวี่แต่งงานไปแล้วจะลำบาก ถึงไม่ได้รับปาก เมื่อเป็นเช่นนี้ บ้านเมิ่งก็ไม่มีเหตุผลซ่อนตัวนาง เหมือนที่เมิ่งเชี่ยนโยวพูด ขอแค่พวกเขายินยอมมาสู่ขอก็พอแล้ว ทำไมต้องทำเรื่องให้ยุ่งยากอีก
คิดได้เช่นนี้ อวี้เทียนก็รู้สึกว่าตัวเองร้อนใจเกินไป ไม่คิดเรื่องราวให้รอบคอบ ก็ออกมาขวางล้อมพวกเขา แต่ก็ลดศักดิ์ศรีขอโทษไม่ได้ ยืนอยู่ตรงนั้นไม่รู้ควรทำอย่างไร
ซุนซ่านเหรินอ่านความคิดเขาออก ยิ้มตาหยีพูด “หลานอวี้ ข้าว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด ไม่เช่นนั้นข้าขอเป็นคนกลางพูดไกล่เกลี่ยให้ เรื่องในวันนี้ให้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้น ภายหน้าไม่ต้องหาความกันและกันอีก”
อวี้เทียนกำลังกลัดกลุ้มว่าจะจบเรื่องนี้อย่างไร ได้ยินคำพูดซุนซ่านเหรินก็เห็นพ้องพลัน พูดตามน้ำว่า “เมื่อท่านเอ่ยปาก เรื่องนี้ก็ให้ว่าตามนี้เถอะ ท่านวางใจ ภายหน้าข้าจะไม่หาเรื่องพวกเขาอีก”
ซุนซ่านเหรินยิ้มตาหยีถามเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง เจ้าล่ะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวได้ต่อสู้ไปหนึ่งยก ระบายความเคืองขุ่นในใจที่อัดอั้นมาหลายวัน บวกกับเรื่องที่อวี้อวี่หนีไปตนเองก็มีส่วนช่วยพวกเขา ดังนั้นก็พยักหน้าเห็นพ้อง ตอบว่า “ว่าตามท่านเถอะ”
ซุนซ่านเหรินหัวเราะเสียงต่ำพูดว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ เรื่องนี้ก็จบเพียงเท่านี้ หากภายหน้าใครมาหาเรื่องอีกฝ่ายเพราะเรื่องนี้ แปลว่าไม่เห็นหัวข้า”
อวี้เทียนรีบร้อนพูด “ไม่แน่นอนๆ”
ซุนซ่านเหรินลูบเครา ยิ้มตาหยีพูด “เช่นนั้นก็ดี”
เมื่อเรื่องกระจ่างแล้ว อวี้เทียนก็ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ จึงแสดงความเคารพซุนซ่านเหริน พูดอย่างนอบน้อม “ท่านลุงซุน เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน”
ซุนซ่านเหรินพยักหน้า หัวเราะเฮอะๆ “กลับไปแล้วบอกบิดาเจ้า วันไหนถ้ามีเวลา พวกเราไปดื่มชาที่หอน้ำชาด้วยกัน”
อวี้เทียนรับปากยินดี “ข้ากลับไปถึง จะต้องบอกบิดาข้า เขาจะต้องดีใจมาก”
ซุนซ่านเหรินพยักหน้า
อวี้เทียนแสดงความเคารพอีกครั้ง หันหลังพูดกับผู้ติดตาม “ไป!”
บรรดาผู้ติดตามตามอวี้เทียนกลับจวน
เสี่ยวเอ้อเห็นว่าตัวเองหมดธุระแล้ว ก็รีบกลับไปทำงานที่ภัตตาคารต่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับซุนซ่านเหริน “เย็นมากแล้ว พวกเราก็ควรกลับแล้ว เรื่องในวันนี้ขอบคุณท่านมาก”
ซุนซ่านเหรินโบกมือ หัวเราะพูด “แม่นางเมิ่งเกรงใจไปแล้ว เรื่องเล็กน้อย อย่าได้เอ่ยถึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจอีก หันหลังขึ้นรถม้า
ซุนเหลียงไฉหันไปพูดกับซุนซ่านเหริน “ท่านปู่ ข้าไปนะ” พูดจบตามขึ้นรถม้าอย่างไม่อาวรณ์แม้แต่น้อย
ซุนซ่านเหรินนิ่งงันอยู่ตรงนั้น กระทั่งรถม้าของพวกเขาจากไปไกล ก็ยังไม่ได้สติกลับมา
คนรับใช้ร้องเรียกอย่างระวัง “นายท่าน!”
ซุนซ่านเหรินตื่นจากภวังค์ หัวเราะร่วนพูด “ดีๆ!”
คนรับใช้มองเขาอย่างไม่เข้าใจ
ตอนที่เมิ่งเชี่ยนโยวและคนทั้งหมดมาถึงบ้าน ฟ้าก็มืดสนิทแล้ว เมิ่งชื่อกำลังยืนชะเง้อมองอย่างกระวนกระวายอยู่หน้าประตู เห็นรถม้าเข้ามา รีบร้อนถาม “เสียนเอ๋อร์ เกิดเรื่องอะไรขึ้นใช่หรือไม่? เหตุใดพวกเจ้าถึงกลับมาป่านนี้?”
ไม่รอให้เมิ่งเสียนตอบ เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถ แย่งตอบก่อน “วันนี้ซุนเหลียงไฉได้รับคำชมจากอาจารย์ ข้ารับปากจะทำหมูในน้ำมันให้เขา เสียเวลาไปเล็กน้อยตอนซื้อเนื้อหมู ถึงกลับมาค่ำ”
ได้ยินว่าไม่เกิดเรื่องอะไร เมิ่งชื่อก็โล่งใจ พูดตำหนิ “ต่อไปจะกินอะไรให้บอกเร็วกว่านี้ แม่จะเตรียมให้พวกเจ้าเอง แต่ห้ามกลับมาดึกเช่นนี้อีก แม่เป็นห่วงจะแย่แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า เดินไปตรงหน้านาง คล้องแขนนาง เดินเข้าไปในบ้านพลางยิ้มร่าพูด “ท่านแม่อย่าได้เป็นกังวล ไม่เกิดเรื่องอันใดกับพวกเราดอก”
เมิ่งชื่อคิดจะพูดอีก เมิ่งเชี่ยนโยวรีบยกหมูเนื้อแดงในมือพูดแทรกขึ้น “ท่านแม่ ท่านช่วยหั่นเนื้อให้ข้าได้ไหม ข้าจะกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง”
เมิ่งชื่อรับเนื้อจากมือนางแล้วพูด “ไปเถอะ แม่จะเตรียมวัตถุดิบให้เจ้า ประเดี๋ยวเจ้าออกมาทำได้เลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแป้นพูด “ท่านแม่ดีที่สุด ขอบคุณท่านแม่” พูดจบเดินกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง
เมิ่งชื่อรู้สึกว่าวันนี้บุตรสาวอารมณ์ดีมาก ถามเมิ่งอี้เซวียนที่เพิ่งพ้นประตูเข้ามาอย่างข้องใจ “วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับพวกเจ้า? เหตุใดโยวเอ๋อร์ถึงอารมณ์ดีเช่นนี้?”
ไม่รอให้เมิ่งอี้เซวียนตอบ ซุนเหลียงไฉก็แย่งพูดขึ้น “วันนี้พวกเรา…” ยังพูดไม่จบ เมิ่งอี้เซวียนรีบปิดปากเขาตอบอย่างเร็วรี่ “คงเพราะวันนี้ซุนเหลียงไฉได้รับคำชมจากท่านอาจารย์ ทำให้นางอารมณ์ดีเช่นนี้”
เมิ่งชื่อพยักหน้า ถือเนื้อหมูเดินเข้าครัว
เมิ่งอี้เซวียนถึงเอามือออกจากปากซุนเหลียงไฉ
ซุนเหลียงไฉถามอย่างไม่พอใจ “เหตุใดเจ้าต้องปิดปากข้า?”
เมิ่งอี้เซวียนพูดกับเขาเสียงเบา “เมื่อครู่หากเจ้าเอาเรื่องที่พวกเรากลับมาช้าพูดไปตามจริง พรุ่งนี้เช้าโยวเอ๋อร์ต้องให้เจ้าวิ่งวนรอบท่อนไม้สามสิบรอบเป็นแน่”
ซุนเหลียงไฉตกใจตัวสั่น ถามเขาเสียงเบา “เพราะอะไร?”
เมิ่งอี้เซวียนตอบ “โยวเอ๋อร์ไม่อยากให้ท่านพ่อท่านแม่เป็นกังวล”
ซุนเหลียงไฉถึงร้อง “อ่อ” พูดอย่างใจหาย “โชคดีที่เมื่อครู่เจ้าปิดปากข้า ไม่เช่นนั้นข้าได้ดวงซวยอีกแน่”
เมิ่งอี้เซวียนไม่ได้ตอบเขา กลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง
ภายในห้องถูกจัดเก็บเรียบร้อยแล้ว แม้แต่ชุดฉางเผ่าที่ซุนเหลียงไฉถอดทิ้งไว้เมื่อเช้าก็ถูกซักตากจนแห้งดี พับเก็บเป็นระเบียบวางอยู่บนเตียงเตา
ซุนเหลียงไฉไม่ได้สนใจอะไร นำฉางเผ่าที่ซักสะอาดแล้วมาวางรวมกับเสื้อผ้าที่นำติดตัวมา
ตอนเช้าที่เมิ่งอี้เซวียนกลับเข้าห้องมาเตรียมอุปกรณ์การเรียนให้ซุนเหลียงไฉ เห็นสภาพห้องยุ่งเหยิง ผ้าห่มก็ไม่ได้พับ เสื้อผ้าที่เปลี่ยนแล้วก็ทิ้งสะเปะสะปะ ตอนนี้กลับมาเห็นห้องสะอาดสะอ้าน เป็นระเบียบเรียบร้อย รู้ว่าจะต้องเป็นเมิ่งชื่อช่วยเก็บห้องให้พวกเขา จึงพูดกับซุนเหลียงไฉว่า “โยวเอ๋อร์บอกว่าเรื่องของตัวเองต้องจัดการเอง ต่อไปทุกวันพอเจ้าตื่นนอน ต้องพับผ้าห่มของตัวเองวางให้เป็นระเบียบ ยังมีเสื้อผ้าที่เปลี่ยนแล้วของเจ้า ห้ามโยนสะเปะสะปะ ให้วางพาดไว้บนเก้าอี้ นี้ พอท่านแม่ข้าเข้ามาจะนำออกไปซักให้เจ้า”
เกิดมาซุนเหลียงไฉก็ไม่เคยทำเรื่องพวกนี้ ได้ยินก็ตาโตถามอย่างตกตะลึง “ต้องพับผ้าห่มด้วยตัวเอง?”
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
ซุนเหลียงไฉฟุบไปบนเตียงเตาด้วยใบหน้าหมดอาลัยตายอยาก
เมิ่งอี้เซวียนพูดอีกประโยค “หากเป็นที่โรงเรียนกินนอน เสื้อผ้าของตัวเองก็ต้องซักเอง”
ซุนเหลียงไฉฟุบหน้าไปบนเตียงเตาแกล้งตายแน่นิ่ง
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เมิ่งชื่อก็เตรียมวัตถุดิบให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว เห็นนางออกมา เมิ่งชื่อติดไฟ เมิ่งเชี่ยนโยวเป็นแม่ครัว ไม่นานหมูในน้ำมันหอมกรุ่นก็ออกจากเตา
ซุนเหลียงไฉที่ยังแกล้งตายได้กลิ่นหอมฉุย ถลันตัวลุกขึ้นพลัน หันไปพูดกับเมิ่งอี้เซวียน “หมูในน้ำมันทำเสร็จแล้ว” พูดจบรีบวิ่งปรู๊ดออกไป
เห็นท่วงท่าแคล่วคล่องปราดเปรียวของเขา เมิ่งอี้เซวียนส่ายหน้าขบขัน เดินตามออกไป
เมิ่เงสียนและเมิ่งฉีตักข้าวเตรียมวางไว้บนโต๊ะแล้ว เมิ่งชื่อยกอาหารจำนวนหนึ่งที่ตัวเองทำเสร็จไว้นานแล้ววางบนโต๊ะ เมิ่งเชี่ยนโยววางหมูในน้ำมันไว้กลางโต๊ะอย่างระมัดระวัง
ทั้งครอบครัวนั่งพร้อมหน้าลงมือกินอาหารค่ำ
ซุนเหลียงไฉเห็นหมูในน้ำมันที่อยากกินมานานวางอยู่ตรงหน้า ดวงตาเปล่งประกาย หยิบตะเกียบคีบเนื้อหมูใส่ปาก เคี้ยวไปพูดไปว่า “อร่อยมาก!”
เมิ่งชื่อยิ้มพูด “อร่อยคุณชายน้อยซุนก็กินเยอะๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้ว
ซุนเหลียงไฉรับคำ คีบเนื้ออีกชิ้นเข้าปาก กินอย่างสำราญใจ
เมิ่งเจี๋ยเมิ่งชิงเห็นแล้วน้ำลายสอ คีบเนื้อจำนวนหนึ่งมากิน เมิ่งเสียนและเมิ่งฉีคีบเนื้อมากินบ้างทีละชิ้น เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งชื่อกลับกินอาหารที่เหลือสองจาน เป็นเช่นนี้ หมูในน้ำมันกะละมังใหญ่ไม่นานก็เห็นก้นกะละมัง ซุนเหลียงไฉยังกินไม่พอ ลุกขึ้นยืน ใช้ตะเกียบควานหาในกะละมัง
เมิ่งเชี่ยนโยววางตะเกียบและถ้วยข้าว พูดอย่างฉุนเฉียว “นั่งลง!”
ซุนเหลียงไฉตกใจตะเกียบเกือบจะร่วงใส่กะละมัง ลนลานนั่งลง แหงนหน้ามองนางอย่างงุนงง ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด
เมิ่งเชี่ยนโยวตวาดเขา “ไม่มีใครสอนเจ้าเวลากินข้าวต้องมีมารยาทเรอะ? คนมากมายกินข้าวด้วยกัน ให้อาหารอร่อยแค่ไหนก็ห้ามลุกขึ้นยืนกิน อีกทั้งอาหารหนึ่งกะละมังใหญ่นี้เจ้ากินไม่สนใจใครไปกว่าครึ่งแล้ว”
ซุนเหลียงไฉอยู่ที่บ้านถูกตามใจจนเสียเด็ก ไม่ว่ามีของอร่อยอะไร จะต้องให้เขาได้กินได้ดื่มก่อน ไม่เคยมีใครบอกเขามาก่อนว่า ต้องเอื้อเฟื้อคนอื่น อีกทั้งเขากินข้าวอยู่ที่บ้านมีแต่คนปรนนิบัตพัดวี ขอเพียงรู้สึกว่าอาหารชนิดไหนอร่อย แค่ชี้มือก็จะมีสาวใช้ยกมาให้ทันที ไฉนเลยจะต้องลุกขึ้นยืนคีบเอง จึงยิ่งไม่มีคนบอกเรื่องพวกนี้กับเขา ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวดุว่า ย่อมรู้สึกน้อยใจอย่างไม่ได้รับความเป็นธรรม
เมิ่งชื่อพูดเตือน “โยวเอ๋อร์ คุณชายน้อยซุนอยู่ที่บ้านถูกคนตามใจจนเคยชิน ยังปรับตัวไม่ได้ ให้เวลาผ่านไปนานกว่านี้ ก็จะดีเอง”
เมิ่งชื่อฉวยโอกาสพูด “ท่านแม่ ท่านไม่ต้องเอาแต่เรียกเขาว่าคุณชายน้อยซุนได้แล้ว เรียกชื่อเขาตามตรงก็พอ”
พูดจบก็หันไปพูดกับซุนเหลียงไฉ “หากเจ้ารู้สึกอร่อย ยังกินไม่พอ ให้บอกข้า ข้าทำให้เจ้าอีกได้ ครั้งหน้าหากเจ้ายืนขึ้นมาตักอาหารอีก ดูว่าข้าจะลงโทษเจ้าอย่างไร”
ซุนเหลียงไฉที่พอได้ยินว่าต่อไปเมิ่งเชี่ยนโยวจะทำให้กินอีกบ่อยๆ ก็ดีอกดีใจ พยักหน้าเป็นพัลวัน “ข้ารู้แล้ว” พูดจบนั่งอย่างสงบเสงี่ยม ยกถ้วยโจ๊กของตัวเองเข้าปาก