ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 146.1
ฟังนางพูดจบ เมิ่งจงจวี่ก้มหน้าครุ่นคิด
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปกะพริบตาให้เมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเอ้ออิ๋นเข้าใจพลัน เอ่ยปากเกลี้ยกล่อมเมิ่งจงจวี่ “ท่านพ่อ ข้าว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดถูกต้อง ไม่เช่นนั้นท่านลองดูก็ได้ เรื่องดีเช่นนี้ไม่แน่ว่าเหล่าผู้นำสกุลจะตบปากรับคำทันที”
เมิ่งจงจวี่มองเมิ่งต้าจินแล้วถาม “จินเอ๋อร์ เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
เมิ่งต้าจินไม่นึกไม่ฝันว่าเมิ่งเชี่ยนโยวคิดจะให้เขาเป็นผู้ใหญ่บ้าน นิ่งอึ้งอยู่ในภวังค์ ตอนนี้ได้ยินเมิ่งจงจวี่ถามเขา ถึงได้สติคืนกลับมา ถามขึ้นอย่างทำตัวไม่ถูก “ข้า ข้า…”
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเขาตัดสินใจไม่ได้ เอ่ยปากถามเขา “ท่านลุงใหญ่ ท่านอยากเป็นผู้ใหญ่บ้านหรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านเป็นเจ้าหน้าที่ทางการที่มีอำนาจสูงสุดของหมู่บ้าน เรื่องใหญ่เรื่องน้อยเขามีอำนาจสิทธิ์ขาด ไม่ว่าใครในหมู่บ้านต่างก็อยากเป็น เมิ่งต้าจินเองก็ไม่ยกเว้น แต่เขาก็รู้ว่าการกระทำหลายปีที่ผ่านมาของตนเองไม่มีทางเป็นผู้นำของหมู่บ้านได้ จึงต้องหยุดความคิดนั้นไป ตอนนี้ได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวถามเขาเช่นนี้ ความคิดที่ซุกซ่อนอยู่ในใจมานานก็พลันทะลักล้นออกมา ตอบว่า “ย่อมต้องคิดจะเป็น”
“เมื่อท่านลุงอยากเป็นผู้ใหญ่บ้านก็คุยง่ายแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พรุ่งนี้ข้าท่านพ่อและลุงใหญ่จะไปหาผู้ใหญ่บ้าน ทุกอย่างรอคำตอบจากผู้ใหญ่บ้านแล้วค่อยว่ากันอีกที”
ภรรยาเมิ่งต้าจินยับยั้ง “ข้ายังคงไม่เห็นด้วยกับการกระทำเช่นนี้ของโยวเอ๋อร์ หากผู้ใหญ่บ้านยอมรับเงื่อนไขของพวกเรา เช่นนั้นเราก็ต้องมอบสูตรเครื่องในรมควันให้เขา หลายปีมาแล้ว พวกเราเพิ่งจะได้อาศัยสูตรอาหารนี้หาเงินทำกำไรให้ครอบครัว ไม่ว่าอย่างไรเราจะให้คนอื่นไปเปล่าๆ เพียงเพราะเรื่องการซื้อที่ดินไม่ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวขึ้นหน้าหนึ่งก้าว กอดแขนนาง พูดอย่างสนิทสนม “ท่านป้าใหญ่ ข้าไม่เพียงทำเพื่อซื้อที่ดิน ปลูกเรือนให้ท่านปู่ท่านย่าเท่านั้น ข้ายังคิดแทนครอบครัวของเราในภายภาคหน้าด้วย ตอนนี้พวกเรากับผู้ใหญ่บ้านมีความแค้นต่อกัน ไม่ต้องพูดถึงว่าต่อไปครอบครัวพวกเรามีเรื่องอะไร เขาจะต้องคอยจงใจกลั่นแกล้ง สู้พวกเราฉวยโอกาสนี้กำจัดเขาทิ้ง ส่วนเรื่องสูตรพวกท่านไม่ต้องเป็นกังวล เดิมข้าก็ไม่คิดจะทำการค้านี้ระยะยาวอยู่แล้ว”
ภรรยาเมิ่งต้าจินถามนางด้วยน้ำเสียงร้อนรน “เนื้อรมควันก็ไปได้ดีไม่ใช่หรือ? เหตุใดเจ้าถึงไม่คิดจะทำเป็นการค้าระยะยาว?”
คนอื่นๆ ในห้องก็มองนางอย่างไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มอธิบายให้ทุกคนฟัง “ความจริงเนื้อรมควันทำง่ายมาก ขอแค่มีความตั้งใจขบคิดสักระยะหนึ่งก็คิดออกมาได้แล้ว ดังนั้นที่พวกเราขายดีเช่นนี้ เพราะพวกเราช่วงชิงโอกาสได้ก่อน คนที่นี่ยังคิดวิธีนี้ไม่ได้ แต่ผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่งก็ไม่เหมือนกันแล้ว จะต้องมีคนคิดออกมาได้ ถึงตอนนั้นเนื้อรมควันก็จะไม่ขายดีเช่นนี้แล้ว ผู้ใหญ่บ้านและภรรยาเห็นว่าตอนนี้พวกเราขายได้กำไรดี เกิดความคิดละโมบ ขอเพียงพวกเขายอมถอนตัวออกจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน เราจะให้สูตรนี้กับพวกเขา แต่ไม่นาน พวกเขาก็ต้องร้องไห้แงๆ”
ภรรยาเมิ่งต้าจินเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง “โยวเอ๋อร์ เจ้าคงไม่ได้จงใจพูดหลอกพวกเรา เพื่อปลอบใจพวกเราหรอกนะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วย้อนถาม “หลอกพวกท่าน ข้าได้ประโยชน์อันใดเล่า?”
ภรรยาเมิ่งต้าจินหลุดขำ “เจ้าเด็กคนนี้ ทะเล้นขึ้นทุกวัน”
หญิงชราเมิ่งก็หัวเราะ พูดเกลี้ยกล่อมเมิ่งจงจวี่ “เมื่อโยวเอ๋อร์พูดเช่นนี้แล้ว ท่านก็ยอมลดศักดิ์ศรีไปบ้านหัวหน้าแต่ละสกุลสักครั้ง จะได้ไม่เสียแรงที่โยวเอ๋อร์คิดแทนพวกเราทั้งครอบครัวตั้งมากมาย”
เมิ่งจงจวี่พยักหน้า “ได้ ขอเพียงผู้ใหญ่บ้านยอมรับเงื่อนไขของพวกเรา ข้าก็จะไป ต่อให้ข้าไม่เหลือศักดิ์ศรีแล้ว ก็จะขอร้องจนกว่าพวกเขาจะตกลง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพ่นหัวเราะ “ท่านปู่ ท่านจะไปขอร้องพวกเขาไม่ได้ หากท่านทำเช่นนี้ ภายหน้าจะเป็นจุดอ่อนให้พวกเขา ท่านต้องวางตนอย่างเหมาะสม บอกพวกเขาว่าหากลุงใหญ่เป็นผู้ใหญ่บ้านจะนำมาซึ่งประโยชน์ใดให้คนในหมู่บ้าน ขอเพียงพวกเขาไม่โง่ จะต้องเห็นด้วย”
เมิ่งจงจวี่ชะงักงันเล็กน้อย ถามอย่างแคลงใจ “เช่นนั้นจะได้หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าหนักแน่น
เมิ่งจงจวี่ลูบเคราใคร่ครวญครู่หนึ่งพูดว่า “คืนนี้ปู่จะพิจารณาถ้อยคำให้ดี พรุ่งนี้จะไปพูดกับพวกเขาตามที่เจ้าบอก”
เห็นเขาตกลง เมิ่งเชี่ยนโยวก็วางใจ นัดเวลาไปหาผู้ใหญ่บ้านวันพรุ่งกับเมิ่งต้าจินเสร็จ ก็ออกมาจากบ้านใหญ่พร้อมเมิ่งเอ้ออิ๋น
พอเมิ่งเชี่ยนโยวกลับไป สองผู้เฒ่าชรา เมิ่งต้าจินและภรรยาเมิ่งต้าจินต่างก็ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พวกเขาเรียกเมิ่งเสียวเถี่ยออกมา ปรึกษาเรื่องไปหาหัวหน้าสกุลต่างๆ ในวันพรุ่งนี้
เมิ่งเสียวเถี่ยได้ยินเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะให้เมิ่งต้าจินเป็นผู้ใหญ่บ้านแม้จะตกใจไม่น้อย แต่ก็สนับสนุนเต็มที่ ช่วยแสดงความคิดเห็นมากมาย บอกเมิ่งจงจวี่ว่าต้องพูดอย่างไรถึงจะยิ่งบรรลุผล
เมิ่งจงจวี่ได้ฟังก็พยักหน้าไม่หยุด ชื่นชมเขาไม่เสียแรงไปหากินในเมืองมาหลายปี
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาถึงบ้าน บอกแผนการของตัวเองกับเมิ่งชื่อ เมิ่งชื่อตกใจเกือบตกจากเตียงเตา พูดว่า “โยวเอ๋อร์ จะเป็นไปได้อย่างไร? ผู้ใหญ่บ้านไม่มีทางยอมรับเงื่อนไขของเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดปลอบใจนาง “พวกเราต้องลองดู เขาไม่ตกลงก็ไม่เป็นไร อย่างไรพวกเราก็ไม่มีอะไรเสียหาย”
เมิ่งชื่อยิ่งทวีความเป็นห่วง “หากเพราะเรื่องนี้ทำให้พวกเขายิ่งชิงชังพวกเราเล่า ภายหน้าพวกเขาไม่ยิ่งคอยหาเรื่องพวกเราหรือ”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ไม่หรอก ไม่ว่าครั้งนี้พวกเขาจะยอมรับเงื่อนไขของพวกเราหรือไม่ ภายหน้าก่อนที่พวกเขาจะหาเรื่องพวกเราจักต้องยิ่งคิดให้รอบคอบ”
เมิ่งชื่อก็ยังเป็นกังวล เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดปลอบประโลมนาง “พอแล้ว เจ้าเชื่อโยวเอ๋อร์เถอะ เจ้ายังไม่รู้จักบุตรสาวของพวกเราหรือ มีครั้งไหนที่ทำอะไรแล้วไม่มั่นใจบ้าง?”
เมิ่งชื่อคิดแล้วก็เห็นด้วย จึงไม่พูดอะไรมากอีก เพียงแค่ถอนหายใจ นั่งบนเตียงเตาด้วยใจตุ๊มๆ ต่อมๆ แม้แต่อารมณ์เย็บกระเป๋านักเรียนก็ไม่มีแล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวแลบลิ้น กะพริบตาปริบๆ อย่างเด็กทะเล้นให้เมิ่งเอ้ออิ๋น
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้าเข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรเพิ่มอีก หันหลังเดินมาที่ห้องของพวกเมิ่งเสียน ตรวจการบ้านซุนเหลียงไฉ
วันนี้ซุนเหลียงไฉได้รับคำชมจากอาจารย์ เริ่มมีกำลังใจอยากอ่านหนังสือ ตอนท่องหนังสือกลอนตามเมิ่งอี้เซวียน เห็นได้ชัดว่าเร็วกว่าเมื่อวานขึ้นเล็กน้อย ใช้เวลาไม่นานเท่าไหร่ก็จำได้แล้ว เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา แทบทนไม่ไหวอยากท่องให้นางฟัง
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ เปิดหนังสือกลอน พลิกไปยังหน้าที่เขาต้องจำให้ได้ ตั้งใจฟังเขาขับขาน
ซุนเหลียงไฉเผชิญหน้ากับเมิ่งเชี่ยนโยวแล้วยังมีความหวาดกลัวอยู่บ้าง ตอนที่ท่องออกมาก็เลยติดๆ ขัดๆ เกิดความกลัวว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะตีตัวเอง ร้อนรนจนเหงื่อซึมไปทั้งตัว
เมิ่งเชี่ยนโยวเงยหน้ามองเขาแวบหนึ่ง
ซุนเหลียงไฉตกใจหยุดกึก
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วถาม “เจ้ากลัวข้ามากหรือ?”
ซุนเหลียงไฉพยักหน้าก่อน จากนั้นพอได้สติก็ส่ายหน้าเต็มแรง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “เจ้าไม่ต้องกลัวข้า ขอเพียงเจ้าทำในสิ่งที่ข้าบอกได้ แม้จะทำออกมาแย่ไปบ้าง ข้าก็ไม่ลงโทษเจ้า”
ซุนเหลียงไฉตะลึงค้างมองนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้พูดอีก จ้องมองรอให้เขาได้สติกลับมา
ครู่หนึ่งซุนเหลียงไฉถึงได้สติกลับมาว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพูดอะไร ออกอาการดีใจลิงโลด
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้เขาท่องต่อไป
ซุนเหลียงไฉถึงคลายความกังวลใจลง ไม่พูดติดขัดอีก ไม่นานก็จำและท่องการบ้านที่อาจารย์สั่งวันนี้เสร็จเรียบร้อย
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพึงพอใจ พูดให้สัญญา “วันนี้ทำได้ไม่เลว หากพรุ่งนี้เจ้าจำได้เร็วขึ้นกว่านี้ ข้าจะให้เจ้าสะพายกระเป๋านักเรียนใบใหม่ไปโรงเรียน”
ซุนเหลียงไฉอยากได้กระเป๋านักเรียนแบบเมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงมานานแล้ว ได้ยินก็ลุกพรวดขึ้นจากเก้าอี้ด้วยอารามดีใจ กระวนกระวายถาม “เจ้าพูดจริงทำจริง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอน”
ซุนเหลียงไฉดีอกดีใจ พูดรับประกัน “พรุ่งนี้ข้าจะต้องท่องให้เร็วยิ่งขึ้น”
หลังจากตรวจการบ้านซุนเหลียงไฉเสร็จ ก็ออกมาจากห้องพวกเขา เตรียมจะกลับห้องขบคิดว่าพรุ่งนี้จะพูดเงื่อนไขกับผู้ใหญ่บ้านอย่างไร เมิ่งอี้เซวียนก็ตามออกมายืนตรงหน้านางอย่างไม่ให้ซุ้มให้เสียง มองนางอย่างน้อยใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่เข้าใจ ถามขึ้น “เจ้าเป็นบ้าอะไรอีก?”
เมิ่งอี้เซวียนมองนางด้วยดวงตากลมโตงดงามคู่นั้น ปากพร่ำพูดออกมาว่า “กระเป๋านักเรียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงได้สติกลับมา ตีไปที่ศีรษะเขาพูดว่า “กระเป๋านักเรียนเป็นของครอบครัวเรา เจ้าอยากได้ใบไหนก็เอาใบนั้นมาใช้ มาทำท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจมองข้าเช่นนี้ หากท่านพ่อท่านแม่มาเห็นจะนึกว่าข้ารังแกเจ้า ได้ว่าข้าอีก”
เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มสุกสกาวจนทำให้ดวงดาราทั้งฟ้าอับแสง
เมิ่งเชี่ยนโยวถูกยั่วเย้าจนตาเกือบบอด ก่นด่าในใจ “ปีศาจ มาไม้นี้อีกแล้ว”
เมิ่งอี้เซวียนได้คำตอบของตัวเองแล้ว เดินกลับเข้าไปนอนในห้องอย่างพึงพอใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับยืนอยู่หน้าประตูอีกครู่ใหญ่ ก่นด่าเขาในใจนับครั้งไม่ถ้วน ถึงกลับเข้าห้องตัวเอง หลังจากล้างหน้าล้างตาก็ล้มตัวลงบนเตียงเตา คิดต่อว่าพรุ่งนี้จะต้องไปพูดเงื่อนไขกับผู้ใหญ่บ้านอย่างไร
เช้าวันรุ่งขึ้น ซุนเหลียงไฉยังคงตื่นด้วยการร้องเรียกจากเมิ่งเสียน ลืมตาขึ้นมาเห็นในห้องเหลือแค่ตัวเองนอนบนเตียงเตา ผลุนผลันลุกขึ้น สวมเสื้อผ้ามาถึงลานท่อนไม้พร้อมเมิ่งเสียน
เมิ่งเชี่ยนโยวนำทุกคนยืดเส้นยืดสายอยู่ ทั้งสองรีบมาเข้าร่วม
หลังจากยืดเส้นยืดสายเสร็จ พวกเมิ่งเสียนทั้งสามคนสวมถุงทรายเหมือนเคย เดินบนท่อนไม้ด้วยความเร็วสูง
เมิ่งเชี่ยนโยวนำซุนเหลียงไฉและคนที่เหลือวิ่งวนรอบท่อนไม้ด้านล่าง
เมื่อวานซุนเหลียงไฉวิ่งไปสิบรอบ วันนี้เช้าตื่นมาปวดร้าวระบมไปทั้งขา แม้จะมีใจอยากวิ่งให้เร็วกว่านี้ แต่ทุกก้าวที่วิ่งไป ราวกับจะเอาชีวิตเขา ความเร็วย่อมหดหาย พูดได้ว่าเป็นการฝืนเดินตามเท่านั้น
เมิ่งเชี่ยนโยววิ่งมาข้างเขา พูดให้กำลังใจ “วันที่สองก็เป็นเช่นนี้ เจ้าอดทนวิ่งเหยาะๆ ก่อน พอร่างกายยืดตัวก็จะดีเอง”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอเมิ่งเชี่ยนโยวจนถึงตอนนี้ นางไม่เคยพูดกับตัวเองด้วยวาจาอ่อนโยนละมุนละไมเช่นนี้มาก่อน ซุนเหลียงไฉตะลึงงันฉับพลัน
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วถาม “ยังมีตรงไหนไม่สบายหรือ?”
ซุนเหลียงไฉถึงได้สติกลับมา รีบร้อนส่ายหน้า “ไม่มี”
“เช่นนั้นก็วิ่ง วิ่งช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดซ้ำ
ซุนเหลียงไฉพยักหน้า กัดฟันวิ่งเหยาะๆ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็คอยวิ่งเหยาะอยู่ข้างเขา
หลังจากวิ่งไปสองรอบ ขาก็ไม่ปวดมากขนาดนั้นแล้วจริงๆ แต่ซุนเหลียงไฉก็เหนื่อยแล้ว ความเร็วจึงไม่ได้เพิ่มขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ได้เร่งเร้าเขา คอยวิ่งข้างๆ เขาอย่างมีความอดทน หลังจากวิ่งได้สามรอบ ซุนเหลียงไฉก็พบว่าเมิ่งเชี่ยนโยวมิได้คิดจะตีเขาเหมือนเมื่อเช้าวานอีก ในที่สุดก็คลายความวิตกลง ขาก็มีพลังมากขึ้น อดทนวิ่งจนครบสิบรอบได้สำเร็จ ตอนที่กำลังจะหยุดหายใจหอบ เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดขึ้นข้างๆ เขา “ห้ามหยุดทันที ให้วิ่งช้าๆ อีกระยะหนึ่งถึงหยุดได้”
ซุนเหลียงไฉคิดถึงคำพูดที่เมิ่งเสียนพูดกับตัวเองเมื่อวาน กัดฟันเดินช้าๆ อีกระยะหนึ่งถึงหยุดเดิน
เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งชิงคอยปรบมือให้กำลังใจเขา แม้แต่เมิ่งเสียนเมิ่งฉีและเมิ่งอี้เซวียนที่ลงมาจากท่อนไม้แล้วก็ส่งรอยยิ้มชื่นชมให้เขา
ซุนเหลียงไฉยกยิ้มให้พวกเขาอย่างเห่อเหิมใจ แล้วหย่อนก้นนั่งไปกับพื้น
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่สนใจเขาอีก หันไปพูดกับเมิ่งเสียนและคนที่เหลือ “พวกท่านประลองฝีมือกันหน่อย ข้าจะดูว่าพวกท่านฝึกวิชาคว้าจับเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
เมิ่งเสียนพยักหน้า เริ่มจากประลองฝีมือกับเมิ่งฉีก่อน
เมิ่งเชี่ยนโยวตั้งใจมองดูพวกเขา คอยชี้แนะสิ่งที่บกพร่องไปของพวกเขา