ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 147.2
เมิ่งจงจวี่และภรรยาและภรรยาเมิ่งต้าจินรวมถึงเมิ่งเสียวเถี่ยเฝ้ารออย่างกระวนกระวายใจอยู่ที่บ้าน เห็นเขากลับมา ภรรยาเมิ่งต้าจินถามเขาอย่างอดใจรอไม่ไหว “จัดการเรื่องเสร็จเรียบร้อยแล้ว?”
เมิ่งต้าจินพยักหน้าตอบ “เสร็จเรียบร้อยแล้ว ข้าไปขึ้นทะเบียนกับทางการแล้ว นับจากนี้ไป ข้าก็คือผู้ใหญ่บ้านแล้ว”
ภรรยาเมิ่งต้าจินปลาบปลื้มน้ำตาไหลริน
เมิ่งจงจวี่ก็ดีใจลูบเคราพูดไม่หยุด “ดีๆๆ”
หญิงชราเมิ่งตื่นเต้นดีใจ เมิ่งเสียวเถี่ยปิติยินดีจนลุกขึ้นยืน เดินลากขามาตรงหน้าเมิ่งต้าจิน กล่าวว่า “พี่ใหญ่ ท่านคือเกียรติแห่งวงศ์ตระกูล”
เมิ่งต้าจินพยักหน้าไม่หยุด
หลังความปิติยินดี เมิ่งต้าจินบอกเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้เขาซื้อของกำนัลมอบให้หัวหน้าสกุลต่างๆ และเรื่องที่ให้เร่งประกาศว่าตนเองเป็นผู้ใหญ่บ้าน เมิ่งเสียวเถี่ยได้ฟังพูดขึ้นพลัน “เรื่องประกาศเป็นผู้ใหญ่บ้านไม่ยาก เอาไว้ตอนกลางคืนข้าจะไปวนร้องป่าวประกาศในหมู่บ้าน ให้คนในหมู่บ้านมารวมพลกันยังสถานที่ที่ปกติผู้ใหญ่บ้านเอาไว้ประกาศเรื่องราว”
เมิ่งต้าจินขบคิดครู่หนึ่ง พยักหน้าเห็นพ้อง “เช่นนั้นก็จัดการตามที่เจ้าว่า โยวเอ๋อร์บอกว่า เรื่องนี้ยิ่งประกาศเร็วยิ่งดี สำหรับเรื่องหัวหน้าแต่ละสกุลนั้น ข้าจะไปซื้อของกำนัลตอนบ่าย หลังจากนั้นจะนำไปให้พวกเขาทันที”
หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาถึงบ้าน คนงานต่างก็กินข้าวเที่ยงเสร็จแยกย้ายกันไปเข้างานหมดแล้ว แม้แต่หญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนก็เข้ามานั่งบนเตียงเตาในห้องเมิ่งชื่อพลางพูดคุยพลางเย็บกระเป๋านักเรียน
เมิ่งชื่อคอยชะเง้อออกไปด้านนอกเป็นระยะ พอเห็นพวกเขากลับมา รีบวิ่งออกไปจากในห้อง ร้อนใจถาม “โยวเอ๋อร์ เรื่องเป็นอย่างไรบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวเข้าใกล้นาง ตอบอย่างปิติ “สำเร็จแล้ว ลุงใหญ่ได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้ว ต่อไปครอบครัวเราทำอะไรก็จะไม่มีใครกลั่นแกล้งพวกเราแล้ว”
เมิ่งชื่อดีอกดีใจ พูดพร่ำไม่หยุด “ดีเหลือเกิน ดีเหลือเกินแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวกอดแขนนางแน่น พูดออดอ้อน “ท่านแม่ เหน็ดเหนื่อยมาทั้งเช้า ข้าหิวจะแย่แล้ว”
เมิ่งชื่อถลกแขนเสื้อ เดินเข้าครัวพลางพูด “แม่จะไปทำอาหารให้พวกเจ้าสองพ่อลูกเดี๋ยวนี้ อาหารเที่ยงวันนี้ถือเป็นการฉลองให้พวกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะส่ายหน้า เดินเข้าไปในบ้าน
กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋าทยอยกันเรียกขานนาง เมิ่งเชี่ยนโยวเอ่ยปากขานรับ จากนั้นหยิบกระเป๋านักเรียนที่อยู่ใกล้มือที่สุดขึ้นมาพินิจดู พบว่าตัวกระเป๋านักเรียนฝีเข็มถี่แน่น ภาพปักละเอียดประณีต ชื่นชมพวกนาง “สมแล้วที่เป็นยอดฝีมือปักเย็บของหมู่บ้านเรา เย็บปักได้ดีมาก”
หญิงสาวได้รับคำชมจากเมิ่งเชี่ยนโยวดีใจจนหน้าแดง พูดอย่างเขินอาย “แต่เย็บได้ช้าสักหน่อย สองวันข้าเพิ่งจะเย็บกระเป๋านักเรียนออกมาได้หนึ่งใบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบนาง “ไม่เป็นไร ไม่นานพวกท่านก็จะคล่องเอง ถึงตอนนั้นเย็บใบละวันก็ไม่ใช่ปัญหา”
หญิงสาวพยักหน้าพูด “เมื่อครู่พวกเรายังพูดกันว่า วันนี้เร็วขึ้นกว่าเมื่อวานแล้ว”
“ความชำนาญทำให้คล่องแคล่วอย่างไร พอเวลาผ่านไปนานเข้า ไม่แน่ว่าพวกท่านจะทำได้เร็วขึ้นสามวันเย็บได้สองใบ หนึ่งวันสามารถทำเงินได้เจ็บสิบกว่าอีแปะ”
กลุ่มหญิงสาวเบิกโตโพลง ถามขึ้นพร้อมกัน “เจ็บสิบกว่าอีแปะ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
หญิงสาวคนหนึ่งจินตนาการถึงภาพเหตุการณ์นั้น โพล่งปากพูด “สวรรค์ หากข้าหาเงินได้วันละเจ็ดสิบอีแปะ ข้าใช้สามีมาล้างเท้าให้ทุกวันคาดว่าเขาก็ต้องยอม”
ทุกคนในห้องหัวเราะครืน
หญิงสาวถึงรู้สึกตัวว่าพูดอะไรออกมา เขินหน้าแดงจนแทบจะคั้นออกมาเป็นหยดเลือด
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพูด “ไม่เพียงเท่านั้น คนในบ้านจะต้องยกยอท่าน คอยปรนนิบัติด้วยของดีของอร่อย ทั้งไม่ให้ท่านต้องทำนาทำไร่”
หญิงสาวคนหนึ่งก็หัวเราะพูด “นายหญิงพูดหยอกล้อแล้ว คนบ้านนอกมีใครไม่ทำนาทำไร่กัน”
คนอื่นที่เหลือก็พยักหน้าเห็นพ้อง
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดจริงจังกับพวกเขา “พวกท่านไม่เชื่อใช่ไหม? เช่นนั้นข้าถามพวกท่าน ชายฉกรรจ์หนึ่งคนออกไปทำงานได้ค่าแรงต่อวันเท่าไหร่”
หญิงสาวคนหนึ่งตอบ “อย่างมากก็สามสิบอีแปะ อย่างน้อยก็ยี่สิบอีแปะ”
“เช่นนั้นหากพวกท่านสามารถหาได้วันละเจ็ดสิบอีแปะ ได้เงินดีกว่าที่พวกเขาออกไปทำงานเหนื่อยยากสองสามวัน พวกท่านว่า คนในครอบครัวจะยกยอพวกท่าน งานอะไรก็ไม่ให้พวกท่านทำหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวถามพวกเขา
กลุ่มหญิงสาวขบคิด ให้รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้นจริงๆ ตอนนายหญิงปลูกเรือนสะใภ้ซุนเข้ามาช่วยทำอาหารทุกวัน วันหนึ่งได้ค่าแรงยี่สิบอีแปะ พอกลับบ้านคนในครอบครัวก็ไม่ให้นางทำงานอะไร หากตนเองสามารถหาเงินได้วันละเจ็ดสิบอีแปะ ไม่แน่ว่าคนในครอบครัวจะยกยอตนเอง ไม่ต้องทำงานในบ้านอีกก็เป็นได้จริงๆ”
คิดถึงตรงนี้ กลุ่มหญิงสาวเลือดร้อนพลุ่งพล่าน พูดให้กำลังใจกันและกัน “เช่นนั้นพวกเราต้องมุมานะ สามวันเย็บให้ได้กระเป๋านักเรียนสองใบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเตือนพวกนาง “อย่าเพิ่งใจร้อนไป พวกท่านทำให้คล่องก่อนเถอะ กระเป๋านักเรียนชั้นดีนี้ พวกเราตั้งใจนำไปขายให้ลูกหลานเศรษฐี ด้านการผลิตจะให้เกิดความผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
กลุ่มหญิงสาวทยอยพูด “วางใจเถอะ นายหญิง พวกเรารู้ว่าต้องทำอย่างไร จักไม่ให้เกิดปัญหาด้านการผลิตเด็ดขาด”
เมิ่งชื่อทำอาหารเสร็จ ร้องเรียกจากลานบ้าน “โยวเอ๋อร์ รีบออกมากินข้าวเถอะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ ทั้งกำชับกลุ่มหญิงสาวอีกสองสามคำ ถึงเดินออกไปจากห้อง
เมิ่งเอ้ออิ๋นล้างมือช่วยเมิ่งชื่อตักข้าวรอไว้แล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งชื่อทำมันฝรั่งเส้นผัดพริกอีก พูดสัพยอกนาง “ท่านแม่ นี่คือมันฝรั่งที่หนึ่งจินราคาหลายตำลึงเชียวนะ เหตุใดท่านถึงทำใจเอาออกมาผัดได้”
เมิ่งชื่ออารมณ์ดี ไม่สนใจคำสัพยอกของนาง พูดอย่างสะใจ “วันนี้บุตรสาวแม่ช่วยครอบครัวเมิ่งของเราให้ลืมตาอ้าปากได้ อย่าว่าแต่กินมันฝรั่งจินละหลายตำลึงเลย ต่อให้เป็นอาหารที่เหลาจวี้เสียน แม่ก็จะไปซื้อให้เจ้าได้ทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวแกล้งพูดน้อยใจกับเมิ่งเอ้ออิ๋น “ท่านพ่อ ข้าจักต้องมิใช่ลูกแท้ๆ ของพวกท่าน ไม่เช่นนั้นเหตุใดถึงได้รับการปฏิบัติดีด้วยหลังจากกระทำเรื่องดีเรื่องใหญ่เท่านั้น”
เมิ่งเอ้ออิ๋นหลุดขำ
เมิ่งชื่อกรอกตาขาวใส่นาง พูดว่า “แม่เคยบอกเจ้าอย่างไร เจ้าเป็นลูกที่พ่อเก็บได้จากบนเขา”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่คิดว่าเมิ่งชื่อจะตอบเช่นนี้ สะอึกกึก
เมิ่งเอ้ออิ๋นหัวเราะร่วน
เพิ่งจะกินอาหารเที่ยงเสร็จ เมิ่งต้าจินก็เข้ามาขอยืมรถม้า บอกว่าจะเข้าเมืองไปซื้อของให้หัวหน้าสกุลต่างๆ เมิ่งเอ้ออิ๋นไม่ได้พูดอะไร บังคับรถม้าเข้าเมืองไปพร้อมเขา
ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาหาจางจู้ที่โรงงานกุนเชียง เรียกเขาไปยังที่ไร้ผู้คนแล้วถาม “ท่านลุงใหญ่ ที่ข้าให้ท่านถามตอนปีใหม่ เรื่องการซื้อภูเขาร้างที่หมู่บ้านพวกท่านได้ความอย่างไรบ้าง?”
จางจู้ตอบ “ข้ากำลังจะมาพูดกับเจ้าเรื่องนี้ ข้าไปหาผู้ใหญ่บ้านของพวกเรามาแล้ว พอเขาได้ยินว่าเจ้าต้องการซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านเราก็ดีใจมาก บอกว่าขอเพียงเจ้าพึงพอใจ อยากจะซื้อลูกไหนก็ได้ แต่เขามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง คือตอนแผ้วถางพื้นที่ จักต้องใช้คนในหมู่บ้านพวกเรา”
“แน่นอนอยู่แล้ว ต่อให้เขาไม่พูดเช่นนี้ ข้าก็ต้องเลือกใช้คนในหมู่บ้านพวกท่าน แต่ท่านต้องบอกเขาว่า ข้าจะเลือกใช้แต่คนตั้งใจทำงานเท่านั้น พวกอู้งานเหลาะแหละข้าไม่เอาเด็ดขาด” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
จางจู้พยักหน้า “ข้าก็บอกกับผู้ใหญ่บ้านเช่นนี้แล้ว เขาบอกให้เจ้าวางใจ ถึงเวลานั้นจะช่วยเลือกคนให้เจ้าด้วยตัวเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงวางใจ “ดี สองวันนี้ข้าจะไปหมู่บ้านพวกท่าน พูดคุยเรื่องราคาภูเขาร้างกับผู้ใหญ่บ้าน”
จางจู้พูด “เรื่องนี้ผู้ใหญ่บ้านก็บอกข้าแล้ว เหมือนว่าหนึ่งหมู่ราคาครึ่งตำลึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว ข้าจะกลับไปคำนวณดูว่าต้องซื้อภูเขาร้างกี่ลูก เมื่อข้าคำนวณเสร็จ ท่านช่วยไปหาผู้ใหญ่บ้านของพวกท่านพร้อมข้าด้วย”
ทั้งสองพูดคุยเสร็จ จางจู้ก็กลับไปทำงานที่โรงงานต่อ ส่วนเมิ่งเชี่ยนโยวกลับเข้ามาในห้องตัวเอง หยิบกระดาษพู่กันมาคำนวณว่าตนเองต้องการภูเขากี่ลูก
เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งต้าจินซื้อขนมค่อนข้างดีจำนวนหนึ่งกลับมา เมิ่งเอ้ออิ๋นพาเมิ่งต้าจินไปส่งที่บ้านใหญ่เมิ่งก่อน ถึงบังคับรถม้ากลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวเอาแต่คิดคำนวณเรื่องการซื้อภูเขาในห้อง เมิ่งเสียนเข้ามาพูดว่า “น้องสาว ได้เวลาแล้ว พวกเราควรไปรับเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเลิกเรียนแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยววางพู่กันในมือลุกขึ้นยืน ไปโรงเรียนในตัวเมืองพร้อมเมิ่งเสียน ระหว่างทางพูดเรื่องที่เมิ่งต้าจินได้เป็นผู้ใหญ่บ้านแล้วออกมา
เมิ่เงสียนไม่เคยได้ยินเมิ่งเชี่ยนโยวพูดเรื่องนี้มาก่อน พลันแปลกประหลาดใจ ซักถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวจึงบอกเรื่องการซื้อที่ดินติดขัด ผู้ใหญ่บ้านและภรรยาฉวยโอกาสนี้เสนอเงื่อนไข ตัวเองก็เลยใช้โอกาสนี้เรียกร้องให้ผู้ใหญ่บ้านถอนตัวจากตำแหน่ง
เมิ่งเสียนได้ฟังแล้วให้ยินดีปรีดา พูดว่า “น้องสาว ดีเหลือเกินแล้ว ต่อไปครอบครัวพวกเรามีเรื่องอะไรอีก ก็จะไม่มีใครกลั่นแกล้งพวกเราได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ดังนั้นอีกไม่กี่วันพวกเราก็จะยุ่งตัวเป็นเกลียว ข้าเตรียมจะซื้อภูเขาร้างและที่ดินร้างมาปลูกฉั่งฉิกและมันฝรั่ง จึงไม่มีเวลามารับพวกเขาแล้ว”
เมิ่งเสียนพูดทันควัน “ไม่เป็นไร เจ้ายุ่งเรื่องของเจ้าไป พี่ใหญ่มารับเองคนเดียวก็ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “พี่ใหญ่ ต่อไปท่านก็จะยุ่งมาก จนไม่ได้มีเวลาว่าง ข้ากำลังคิดว่าจะหาใครมารับส่งพวกเขาโดยเฉพาะ”
เมิ่งเสียนถาม “หาใครเล่า?”
“นี่ก็เป็นเรื่องที่ข้ายังลำบากใจ หาใครก็ไม่รู้ในหมู่บ้านมา ข้าไม่วางใจ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้นระหว่างทางจะลำบาก แต่ถ้าหาคนไม่ได้ พวกเราก็ต้องไปซื้อคน”
ได้ยินเช่นนั้นเมิ่งเสียนพรึงเพริด “ซื้อคน?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เมิ่งเสียนถลึงตาโตถาม “บ้านพวกเราก็ซื้อคนได้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดหัวเราะ “พี่ใหญ่ ขอเพียงมีเงิน ใครก็ซื้อคนได้”
เมิ่งเสียนใช้มือที่ไม่ได้จับบังเ**ยนขยี้หัวอย่างเก้อเขิน
ทั้งสองมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ประตูใหญ่เปิดออกพอดี เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเดินตามเด็กนักเรียนออกมา
พอเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว ซุนเหลียงไฉพูดกับนางอย่างยินดี “วันนี้อาจารย์ชมข้าอีกแล้ว เจ้าต้องพูดจริงทำจริง ให้กระเป๋านักเรียนสวยๆ กับข้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวเองก็ดีใจมาก พยักหน้ารับคำ “ไม่มีปัญหา ทำเสร็จหลายใบแล้ว พอกลับถึงบ้านข้าจะให้เจ้าเลือกสะพายใบที่เจ้าชอบ”
ซุนเหลียงไฉดีใจก้าวเดียวก็กระโดดขึ้นบนรถม้า เร่งเร้าเมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียน “พวกเจ้ารีบขึ้นมา พวกเรารีบกลับบ้าน ข้าจะรีบไปเลือกกระเป๋านักเรียนสวยๆ ใบใหม่”
เห็นท่าทีอดใจรอไม่ไหวของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกขบขัน ส่ายหน้าเล็กน้อย เดินขึ้นรถม้าไปพร้อมเมิ่งอี้เซวียน
เมิ่งเสียนบังคับรถม้าเดินทางกลับอย่างระวัง ซุนเหลียงไฉตั้งแง่ว่าเขาช้าเกินไป คอยเลิกม่านบังรถเร่งเขาอยู่เป็นนิจ ในที่สุดก็ได้กลับมาถึงหน้าประตูบ้าน รถม้ายังจอดไม่สนิท ซุนเหลียงไฉก็รีบกระโดดลงจากรถม้า ร่างอวบอัดสั่นไหว วิ่งเหยาะเข้ามาในห้องเมิ่งชื่อ
กลุ่มหญิงสาวเย็บกระเป๋านักเรียนยังไม่เลิกงาน เห็นซุนเหลียงไฉวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา ก็ให้คับข้องใจ เด็กที่ไหนกัน เหตุใดถึงตุ้ยนุ้ยเช่นนี้?
เมิ่งชื่อก็เห็นเขาแล้ว ถามอย่างประหลาดใจ “คุณชายซุน เป็นอะไรหรือ?”
ซุนเหลียงไฉไม่คิดว่าในห้องจะมีคนมากเช่นนี้ พลันนิ่งงัน แต่ก็ได้สติกลับมาโดยเร็ว ถามขึ้น “ท่านป้า เมิ่งเชี่ยนโยวให้ข้ามาเลือกกระเป๋านักเรียนใบใหม่”
เมิ่งชื่อให้เขาเข้ามา นำกระเป๋านักเรียนที่เย็บเสร็จแล้วทั้งหมดมาวางตรงหน้าเขา พูดว่า “อยู่ที่นี่แล้ว เจ้าเลือกเองเถอะ”
ซุนเหลียงไฉดูกระเป๋านักเรียนทั้งหมดหนึ่งรอบ ย่นหัวคิ้วสับสน พูดกับเมิ่งชื่ออย่างกลัดกลุ้ม “ทั้งหมดนี้ข้าล้วนชอบ”
ไม่รอให้เมิ่งชื่อพูด เสียงเมิ่งเชี่ยนโยวก็ดังขึ้น “ถ้าชอบ เจ้าใช้วันละใบก็ได้”
ซุนเหลียงไฉถามกลับอย่างยินดี “ข้าทำเช่นนั้นได้หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ได้”
ซุนเหลียงไฉดีใจกอดกระเป๋านักเรียนที่เย็บเสร็จแล้วตรงหน้าไว้แนบอก พูดอย่างเด็กไม่ประสา “เช่นนั้นข้าจะนำกระเป๋านักเรียนพวกนี้ไปไว้ที่ห้องข้า เดี๋ยวเจ้ากลับคำพูด”
เมิ่งเชี่ยนโยวยั้งเขา “เจ้าเลือกลายละใบเถอะ ที่เหลือยังต้องให้อี้เซวียน”
ซุนเหลียงไฉหอบกระเป๋านักเรียนกลับมายังห้องนอนตัวเองอย่างทุลักทุเล เห็นเมิ่งอี้เซวียนอยู่ข้างใน พูดจาโอ้อวด “เมิ่งเชี่ยนโยวบอกว่ากระเป๋านักเรียนทั้งหมดนี้เป็นของข้า ข้าสามารถเปลี่ยนใช้ได้วันละใบ”
เมิ่งอี้เซวียนได้ฟังเบะปาก ใช้ดวงตากลมโตงดงามคู่นั้นมองเมิ่งเชี่ยนโยวร้องอุทธรณ์
เมิ่งเชี่ยนโยวทนเห็นท่าทีเช่นนั้นของเขาไม่ได้ ลูบจมูกแล้วพูด “ในห้องท่านแม่ยังมีอีก”
เมิ่งอี้เซวียนเผยรอยยิ้มเจิดจ้า รีบวิ่งไปที่ห้องเมิ่งชื่อหอบกระเป๋านักเรียนสองสามใบกลับมา วางบนเตียงเตา ทำเหมือนซุนเหลียงไฉ วางสลับเรียงไปมาอย่างมีความสุข