ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 148.2
เช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารเช้าแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งฉี “พี่ใหญ่ พี่รองพวกท่านไปส่งพวกเขาไปโรงเรียนเถอะ วันนี้ข้ามีธุระต้องพูดกับคนงานของคุณชายเซี่ยและคุณชายจู”
ทั้งสองพยักหน้า บังคับรถม้าไปส่งเมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉไปโรงเรียน
หลังจากจูต้าจ้วงยิ้มตาหยีนำเนื้อหมูเข้ามาส่ง เมิ่งเชี่ยนโยวที่คิดเงินให้เขาเสร็จ ก็พูดกับเขาอย่างรู้สึกผิดว่า อีกสามวันโรงงานรมควันเนื้อของตนเองจะปิดตัวลงแล้ว ต่อไปไม่ต้องการเครื่องในหมูอีก
จูต้าจ้วงตะลึงเล็กน้อย ทว่าก็ยังยิ้มพูด “ไม่เป็นไร แม่นางเมิ่ง เจ้าซื้อเนื้อหมูข้าเพิ่มก็พอแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดเหมือนหยอกล้อเล่นว่า “เถ้าแก่จู เกรงว่าจะไม่ได้ อีกหนึ่งเดือน โรงงานกุนเชียงของข้าก็จะปิดตัวลง”
จูต้าจ้วงชะงักงันอยู่ตรงนั้น ครู่หนึ่งถึงลองหยั่งเชิงถาม “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับครอบครัวแม่นางหรือ? เหตุใดถึงจะปิดโรงงานทั้งสองแห่ง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะอธิบายเหตุผลที่ตนเองต้องปิดโรงงานกุนเชียงกับเขา
จูต้าจ้วงฟังนางพูดจบ แม้จะเสียใจที่ต่อไปตนเองจะหาเงินได้น้อยลง แต่ก็รู้ว่านี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แย้มยิ้มพูดว่า “ข้ารู้แล้ว ตอนที่แม่นางจะปิดโรงงานให้แจ้งข้าก่อนด้วย ข้าจะได้ซื้อหมูมาฆ่าน้อยลง”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “แน่นอนอยู่แล้ว”
จูต้าจ้วงทอดถอนใจ “ต่อไปแม่นางไม่ซื้อเนื้อหมูข้าแล้ว เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าอยู่ๆ ก็จะหาเงินได้น้อยลง”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ “เถ้าแก่จูอย่าเพิ่งใจร้อน รอหน้าหนาวโรงงานข้าจะยังเปิดอีก ไม่แน่ว่าจะเพิ่มอีกหลายโรงด้วย ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยมาค้าขายกันต่อ”
จูต้าจ้วงดวงตาเปล่งประกายพลัน “แม่นางพูดจริงๆ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งยิ้มพยักหน้า
จูต้าจ้วงรีบร้อนพูด “เช่นนั้นพวกเราก็ตกลงกันแล้ว ถึงตอนนั้นแม่นางจะต้องเลือกใช้เนื้อหมูของข้าอีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “เถ้าแก่จูวางใจเถอะ ขอเพียงท่านยังรับประกันว่าเนื้อหมูของท่านสดใหม่ ข้าเปิดโรงงานยาวนานแค่ไหนก็จะซื้อเนื้อหมูของท่านนานแค่ไหน”
จูต้าจ้วงบังคับรถเทียมเกวียนกลับไปอย่างยินดี
เมิ่งเชี่ยนโยวร้องบอกเมิ่งชื่อ แล้วจึงมาโรงงานรมควันเนื้อ รอคนงานของจูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงมา
วันนี้หลังจากที่อู๋ต้าและพวกห้าคนพร้อมกับคนงานหมู่บ้านหลี่เข้ามาทำงานที่โรงงานรมควันเนื้อ ถึงได้ยินเรื่องที่อีกสามวันโรงงานจะปิดตัวลงจากปากคนในหมู่บ้าน เกิดความรู้สึกหวาดหวั่นในใจ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ต่างมองมาที่นางเป็นตาเดียว
อู๋ต้าเดินตรงมาเบื้องหน้านาง ถามนางอย่างระวัง “นายหญิง อีกสามวันโรงงานของพวกเราก็จะปิดตัวลงแล้ว?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
อู๋ต้ายิ่งเพิ่มความระวังถาม “เช่นนั้นพวกเราทั้งหมดจะทำอย่างไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวย่นหัวคิ้ว “พวกเจ้าทั้งหมดก็ต้องอยู่ทำงานต่ออย่างไร มีปัญหาอะไรหรือ?”
ได้ยินว่าคนทั้งหมดยังอยู่ทำงานต่อได้ หลิวต้าดีอกดีใจใหญ่ โบกมือเป็นพัลวัน “ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหา นายหญิงวางใจ ไม่ว่าทำงานอะไร พวกเราก็จะทำอย่างเต็มที่”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างประหลาดใจแวบหนึ่ง อู๋ต้าผลุนผลันหันกลับไปทำงาน ทั้งนำข่าวดีนี้ไปบอกกับอีกสี่คนที่เหลือ คนทั้งหมดที่อกสั่นขวัญแขวนแต่เช้าในที่สุดก็วางใจลงได้
คนจากหมู่บ้านหลี่ได้ยินว่าอู๋ต้าและพวกจะยังได้อยู่ทำงานอื่นต่อ ก็ถามขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความหวังบ้าง “นายหญิง พวกเราเล่า?”
เมิ่งเชี่ยนโยวถึงรู้แจ้งว่าพวกเขาเป็นกังวลว่าหลังจากปิดโรงงานแล้ว พวกเขาจะไม่มีงานทำ แย้มยิ้มแล้วพูดกับพวกเขาว่า “ไม่นานพวกเจ้าก็จะมีงานอื่นให้ทำ”
คนทั้งหมดได้ยินนางพูดเช่นนี้ ต่างยินดีปรีดา
คนงานของจูหลานและเซี่ยเจียงเฟิงยังคงมาถึงโรงงานรมควันเนื้อตามเวลาเดิม เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ด้วย ร้องทักทายนางอย่างนอบน้อม “แม่นางเมิ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวขานรับ รอพวกเขาบรรจุเนื้อรมควันเสร็จ จึงนำจดหมายสองฉบับและสูตรอาหารแบ่งมอบให้พวกเขา พูดว่า “นี่คือจดหมายและสูตรเนื้อรมควันที่มอบให้นายของพวกเจ้า พวกเจ้ากลับไปแล้วมอบให้พวกเขาเถอะ”
คนงานรีบรับมา วางใส่อกเสื้อตัวเองอย่างระวัง หลังจากบอกลาเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างนบนอบ ก็ลากเนื้อรมควันและเครื่องในรมควันกลับไป
เมิ่งเชี่ยนโยวเห็นเมิ่งต้าจินยังมาทำความสะอาดเครื่องใน เดินไปพูดกับเขา “ท่านลุงใหญ่ ท่านไม่ต้องทำความสะอาดเครื่องในแล้ว ไปวัดที่ดินผืนนั้นพร้อมพ่อข้าเถอะ พวกเราจักได้ปลูกเรือนเสร็จไวขึ้น”
เมิ่งต้าจินรับคำลุกขึ้น ล้างมือเสร็จก็เดินไปหาเมิ่งเอ้ออิ๋น
เมิ่งเชี่ยนโยวว่างไม่มีอะไรทำ จึงตามมายังที่ดินที่พวกเขาพูดกัน มองด้วยตาเปล่า รู้สึกว่าใหญ่มาก ปลูกเรือนสี่ด้านได้เหลือเฟือ จึงเกิดความคิดบางอย่างขึ้น คิดจะปลูกเรือนแห่งนี้ให้เป็นคฤหาสน์สี่เรือน[1]ตามแบบที่เคยเห็นในทีวีก่อนที่จะทะลุมิติมา
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นเข้ามาวัดพื้นที่ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็อยู่ที่นี่ด้วย รู้สึกประหลาดใจ
ไม่รอพวกเขาถาม เมิ่งเชี่ยนโยวจัดแจงอธิบายให้พวกเขาเอง “ข้าเบื่อไม่มีอะไรทำ จึงตามมาดู จะได้คิดดูด้วยว่าจะปลูกคฤหาสน์อย่างไรดี”
เมิ่งเอ้ออิ๋นแนะนำ “ปลูกเหมือนกับบ้านพวกเราก็พอ”
เมิ่งต้าจินก็รู้สึกว่าปลูกเรือนเหมือนบ้านของเมิ่งเอ้ออิ๋นก็ดี หน้าหลังอย่างละหลัง ทั้งไปมาหาสู่กันได้และอยู่ตามลำพังก็ได้
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “ที่ดินใหญ่ขนาดนี้ ปลูกเรือนเช่นนั้นน่าเสียดายเกินไป”
“มีอะไรน่าเสียดาย เราเว้นที่ว่างระหว่างเรือนหน้าเรือนหลังให้มากหน่อยก็ได้แล้ว?” เมิ่งเอ้ออิ๋นพูด
เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้าจนผมยุ่ง พูดว่า “พวกท่านทำรางวัดออกโฉนดที่ดินให้เสร็จก่อนค่อยว่ากันเถอะ ข้าจะกลับไปขบคิดอย่างละเอียด ครั้งนี้ข้าจะปลูกคฤหาสน์ที่มีเพียงหนึ่งเดียวของตำบลชิงซี”
เมิ่งต้าจินตกใจสะดุ้งโหยง ร้อนรนถาม “เช่นนั้นจะไม่เป็นการอวดโอ้หรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะตอบ “ที่ต้องการก็คืออวดโอ้ ยิ่งอวดโอ้ยิ่งดี”
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นไม่เข้าใจ
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่อธิบายกับพวกเขาอีก บอกพวกเขาเมื่อทำรางวัดเสร็จ ให้ไปเอาเงินที่บ้าน แล้วรีบไปทำตามขั้นตอนที่ศาลาว่าการให้เรียบร้อย
เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า ตั้งใจลงมือทำรางวัดที่ดิน
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปที่บ้าน คิดจะวาดแบบคฤหาสน์สี่เรือนที่ตัวเองคิดออกมา แล้วค่อยๆ ลงรายละเอียด
ยังไม่ถึงหน้าประตูใหญ่ ก็เห็นคนงานร้านยาเต๋อเหรินจูงรถม้ายืนพูดอะไรบางอย่างกับเมิ่งชื่อที่หน้าประตูใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวรีบสืบเท้าเข้าไป เมิ่งชื่อเห็นนาง ร้องเรียกนางเข้ามา “โยวเอ๋อร์ รีบมา คนงานคนนี้บอกว่านายท่านของพวกเขามีธุระอยากพบเจ้า”
คนงานหันหลังเห็นเมิ่งเชี่ยนโยว พูดอย่างพินอบพิเทา “แม่นาง นายท่านของพวกเรากลับมาแล้ว บอกว่านำสิ่งของที่แม่นางต้องการมาด้วย ให้ท่านเข้าไปรับ”
อยู่ต่อหน้าเมิ่งชื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ถามอะไรเพิ่ม พูดกับคนงาน “เจ้ารอครู่เดียว ข้าเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วพวกเราจะไปทันที”
คนงานรับคำ รออยู่ด้านนอกอย่างนอบน้อม
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าในห้อง เมิ่งชื่อตามติดเข้ามา ถามอย่างเป็นห่วง “โยวเอ๋อร์ เจ้ารอพวกพี่ใหญ่กลับมาแล้วไปกับเจ้าเถอะ เจ้าเข้าเมืองไปลำพัง แม่รู้สึกไม่วางใจ”
เมิ่งเชี่ยนโยวใส่เสื้อผ้าเสร็จ พูดปลอบนาง “ท่านแม่ ไม่เป็นไร ด้านนอกเป็นคนงานร้านยาเต๋อเหริน ตอนปีใหม่นายท่านของพวกเขากลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง คงจะนำของเล่นหายากอะไรกลับมาฝากข้า ข้าจะไปดู ไม่นานก็กลับ”
เมิ่งชื่อได้ยินแม้จะวางใจลงบ้าง แต่ก็ยังพูดกำชับ “เจ้าต้องรีบไปรีบกลับ อย่าให้แม่เป็นห่วง”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับคำอย่างชื่นบาน ทั้งบอกนางว่า เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นไปวัดที่ดิน ประเดี๋ยววัดเสร็จจะกลับมา บอกว่าต้องใช้เงินเท่าไหร่ ให้เมิ่งชื่อเอาให้พวกเขา จะได้รีบไปทำตามขั้นตอนที่ศาลาว่าการให้เสร็จแต่เนิ่นๆ และปลูกเรือนเสร็จโดยไว
พอได้ยินว่าวันนี้จะไปทำเรื่องขอโฉนดในเมือง อีกไม่กี่วันก็ปลูกเรือนได้แล้ว เมิ่งชื่อดีใจยกใหญ่ ไม่เหลือความรู้สึกเป็นกังวลแล้ว พยักหน้าหงึกๆ แสดงว่ารับรู้แล้ว
เมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นนั่งบนรถม้า คนงานร้านยาเต๋อเหรินบังคับรถม้ากลับมาถึงร้านยาเต๋อเหริน
พอลงจากรถม้า เมิ่งเชี่ยนโยวก็เดินเข้าไปในร้านยาเต๋อเหริน พนักงานจัดยารีบเข้ามาทักทายนางอย่างนอบน้อม “แม่นาง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า มองไปโดยรอบ ไม่เห็นหมอชรา มุ่นหัวคิ้วถาม “หมอชราเล่า?”
พยักงานตอบ “นายท่านเพิ่งกลับมาถึงเมื่อเช้า ท่านหมอกำลังไปรายงานความเป็นมาเป็นไปช่วงที่ผ่านมาของร้านยาเต๋อเหรินขอรับ”
เมิ่งเชี่ยนโยวเหยียดคลายหัวคิ้วถาม “พวกเขาอยู่ที่ไหน?”
พนักงานตอบ “อยู่ชั้นบน นายท่านกล่าวว่าพอท่านมาแล้วให้ขึ้นไปได้ทันที” พูดจบผายมือออกเชื้อเชิญนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะเดินมาถึงชั้นสอง เสียงของหมอชราก็ดังแว่วมา “นายท่าน สภาพท่านตอนนี้อีกประเดี๋ยวจะทำแม่นางเมิ่งตกใจหรือไม่”
น้ำเสียงไม่แยแสของเหวินซื่อดังลอยมา “นังตัวแสบนั่น ออกจะกล้าหาญชาญชัย อย่าว่าแต่สภาพนี้ของข้า ต่อให้ข้ากลายเป็นผีมายืนตรงหน้านาง นางก็ไม่กลัวดอก”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปล่งเสียงร้องพูด “เจ้าก็ลองกลายเป็นผีดู ดูว่าข้าจะกลัวหรือไม่?”
สิ้นเสียง ก็เดินเข้ามาในห้อง พอเห็นใบหน้าเหวินซื่อ ฝีเท้าพลันหยุดชะงัก
หางตาเหวินซื่อ เห็นอากัปกิริยานาง ยิ้มเยาะ “เจ้าคงไม่ได้ตกใจกับสภาพเช่นนี้ของข้าจริงๆ ดอกนะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวกรอกตาขาวใส่เขา “คนอัปลักษณ์เยี่ยงเจ้า ใครเห็นก็ต้องหวาดกลัว อีกทั้งข้าก็ยังเป็นเด็ก ไม่ตกใจจนตายก็นับว่าไม่เลวแล้ว”
เหวินซื่อหัวเราะร่วน
หมอชราที่เอาแต่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดได้ยินคำพูดเช่นนี้ของเมิ่งเชี่ยนโยวถึงผ่อนคลายลงมาได้บ้าง
เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งลงบนเก้าอี้ พูดอย่างไม่ไยดี “ไม่คิดว่าเจ้าจะรอดชีวิตกลับมาได้ เกินกว่าที่ข้าคาดเอาไว้จริงๆ”
เหวินซื่อโมโห พูดว่า “เกรงว่าจะทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว ที่ข้ายังไม่ตาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวราดน้ำมันบนกองไฟพูดขึ้นอีก “สภาพเหมือนผีสางน่าตกใจของเจ้านี้ สู้ตายไปเสียยังดีกว่า”
เหวินซื่อโมโหจนเกือบลุกขึ้นเต้น พูดอย่างเกรี้ยวกราด “เสียแรงที่ข้าทุ่มเทสุดกำลังหาเมล็ดฉั่งฉิกจำนวนมากมาให้เจ้า หากข้ารู้ว่าเจ้าจะมีท่าทีเช่นนี้กับข้า ข้าจะไม่สนใจเรื่องของเจ้าเลย”
เมิ่งเชี่ยนโยวย้อนถาม “ข้าขอร้องให้เจ้าทำหรือไร?”
ครานี้เหวินซื่อโมโหกระโดดลุกขึ้นเต้นเร่าๆ หันไปร้องเอ็ดตะโรกับหมอชรา “เหล่าอวี๋ เจ้าดู ดูกิริยาของนางเข้า ข้าเพิ่งกลับมาถึง ก็รีบบอกให้คนงานไปเชิญนางมา เพื่อบอกข่าวดีนี้ นางไม่เพียงไม่รับน้ำใจ ยังจะพูดเช่นนี้กับข้า”
หมอชรามองเมิ่งเชี่ยนโยวที่มีสีหน้าเมินเฉย แล้วมองเหวินซื่อที่กำลังโมโหเกรี้ยวกราด ทอดถอนใจพูดเกลี้ยกล่อม “แม่นาง เจ้าอย่าได้ไม่พอใจอีกเลย ครั้งนี้นายท่านของพวกเราเอาชีวิตรอดกลับมาได้ถือได้ว่าโชคดีแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดด้วยโทสะ “สมน้ำหน้า! ก่อนจะไปข้ากำชับเจ้าไว้ว่าอย่างไร ให้เจ้าลงมือก่อนเป็นต่อ หากเจ้าเชื่อข้า จะมีสภาพเช่นนี้ไหม?”
เหวินซื่อคลายความเกรี้ยวกราดลง พูดเสียงแผ่ว “ข้าก็แค่คิดว่าอย่างไรก็เป็นพี่น้องสายเลือดเดียวกัน ละเว้นชีวิตเขา ไม่คิดว่าเขาจะโหดเ**้ยมอำมหิต ฉวยโอกาสตอนที่ข้ากลับสนิทกลางดึกเข้ามาลงมือในห้องข้า หากไม่เพราะข้าตกใจตื่น ตอนนี้คงไม่ได้เห็นเจ้าจริงๆ แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวแค่นเสียงหึ “สภาพสะอิดสะเอือนของเจ้านี้ ใครเห็นก็ต้องตกใจหวาดผวา สู้ไม่เห็นเสียยังดีกว่า”
เหวินซื่อร้องโวยวายกระเง้ากระงอดกับนาง “เจ้าคนใจร้ายใจดำ บาดแผลข้ายังรักษาไม่หาย ก็รีบกลับมานำเมล็ดฉั่งฉิกมอบให้เจ้า เจ้ากลับพูดกับข้าเช่นนี้ หากรู้ว่าเจ้าเป็นคนเช่นนี้ ข้าอยู่เมืองหลวงต่ออีกสองเดือนก็ดี”
เมิ่งเชี่ยนโยวผุดลุกขึ้น เดินมาตรงหน้าเหวินซื่อ
เหวินซื่อตกใจก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ถามขึ้น “เจ้าจะทำอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวจ้องบาดแผลถูกมีดฟันบนใบหน้าเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แลพูดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ไม่น่าจะมีปัญหา”
เหวินซื่อและหมอชราไม่รู้ว่านางพูดอะไร มองนางอย่างฉงนสงสัย
เมิ่งเชี่ยนโยวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ ถาม “จุดจบของพวกเขาเป็นอย่างไร?”
เหวินซื่อสีหน้าสลดลง กลับไปนั่งบนเก้าอี้ ครู่หนึ่งถึงพูดขึ้น “คืนวันนี้เขาเห็นข้าหลบดาบเอาชีวิตนั้นได้ ยิ่งทวีความเ**้ยมโหด ข้าไม่รู้ว่าเขาจะมีวรยุทธ์สูงส่งเช่นนี้ รับมือเขาไม่ได้ ถูกเขาฟันเข้าที่ใบหน้า เจ็บจนเกือบจะสลบไป ยังดีว่ายาที่เจ้าให้ข้าพกติดตัวไว้ตลอด ล้วงออกมาสาดออกไปได้ทันการ เขาไม่ทันระวัง สูดเข้าไปบางส่วน การเคลื่อนไหวถึงเชื่องช้าลง ข้าฉวยโอกาสนี้หนีออกทางประตู ตะเบ็งเสียงร้องตะโกน คนรับใช้ในบ้านได้ยินเสียงตะโกนของข้า ตรงเข้ามาช่วยชีวิตข้าได้ทันท่วงที”
พูดถึงตรงนี้ ก็นิ่งเงียบไป
[1] 四进四出大院子 เรือนอาศัยบนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้า โดยจะสร้างเรือนล้อมรอบทิศทั้งสี่ของพื้นที่ เว้นพื้นที่ตรงกลางเป็นลานโล่ง เหมือนวงแหวนสี่เหลี่ยมหนึ่งวง นับเป็นคฤหาสน์หนึ่งเรือน คฤหาสน์สี่เรือนนี้จะมีผังบ้านประกอบด้วยพื้นที่ใช้สอยแตกต่างกันสี่ส่วน เหมือนวงแหวนสี่เหลี่ยมสี่วงซ้อนกัน ดั่งเช่นตัวอักษร目