ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 148.3
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เร่งเร้า นิ่งเงียบรอให้เขาพูดต่อ ครู่หนึ่ง เหวินซื่อถึงพูดขึ้น “ก่อนปีใหม่ท่านพี่ฉู่คุ้มกันข้ากลับไปถึงบ้าน ท่านปู่เห็นข้าบาดเจ็บสาหัส ถามข้าว่าเกิดอะไรขึ้น ข้าบอกเรื่องที่พวกเขาสองแม่ลูกวางแผนให้ข้ากลับเมืองหลวง แล้วส่งคนมาดักฆ่ากลางทาง จนข้าเกือบเอาชีวิตไม่รอดให้เขาฟัง พอท่านปู่ได้ฟังก็ซักถามพวกเขาสองแม่ลูกตามตรง พวกเขาปฏิเสธเสียงแข็ง ท่านพี่ฉู่จึงนำตัวโจรภูเขาจำนวนหนึ่งมาอยู่ต่อหน้าพวกเขา พวกเขาถึงพูดไม่ออก ท่านปู่โกรธมาก สั่งขับแม่เลี้ยงข้าออกจากสกุล และนำตัวน้องชายข้าไปขัง รอให้พ้นปีใหม่ค่อยทำการตัดสิน แต่ไม่รู้ว่าแม่เลี้ยงข้าใช้วิธีอะไร ไม่ว่าอย่างไรท่านพ่อก็ไม่ยอมหย่ากับนาง ทั้งพูดกับท่านปู่ว่า หากเขาจะขับแม่เลี้ยงข้าออกจากสกุลให้ได้ เขาก็จะไปด้วย และจะไม่กลับมาอีก ท่านปู่คิดว่าใกล้ปีใหม่แล้ว ไม่ควรเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ในบ้าน จึงยอมรับปากคำขอของท่านพ่อข้าชั่วคราว ไม่ขับแม่เลี้ยงข้าออกจากสกุล แต่ก็สั่งกักบริเวณนาง ไม่มีคำอนุญาตจากเขาห้ามแม่เลี้ยงข้าก้าวออกไปจากประตูบ้าน ส่วนน้องชายข้ายังถูกคุมขัง พวกเราคิดว่าเรื่องจะจบเท่านี้แล้ว ไม่คิดว่าน้องชายอำมหิตของข้าจะลอบเข้ามาในห้องข้ากลางดึก หมายจะเอาชีวิตข้าอย่างคลุ้มคลั่งเสียสติ หลังจากที่คนรับใช้เข้ามาช่วยข้า ท่านปู่โมโหมาก หลังจากลงโทษด้วยกฎบ้านก็ขับเขาออกจากสกุล”
เมิ่งเชี่ยนโยวมุ่นหัวคิ้วถาม “เพียงเท่านี้? เจ้ามิได้ฉวยโอกาสฆ่าเขา?”
เหวินซื่อส่ายหน้า “ถูกขับออกจากสกุลถือเป็นการลงทัณฑ์สถานหนักกับเขาแล้ว ข้าไม่จำเป็นต้องฆ่าเขาอีก อย่างไรพวกเราก็เป็นพี่น้องกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มเยาะ “ใจอ่อนเหมือนสตรี ตัดหญ้าไม่ถอนโคน ภายหน้าจักต้องมีภัยพิบัติไม่จบสิ้น รอไปเถอะ สักวันเจ้าจะต้องเสียใจที่เจ้าปล่อยเขาไปง่ายๆ เช่นนี้”
เหวินซื่อไม่พูด
เมิ่งเชี่ยนโยวคิดได้ว่าเขากลับไปหมั้นหมาย ถามอย่างประหลาดใจ “เจ้ามีสภาพอัปลักษณ์เช่นนี้ ไม่ทราบว่าได้หมั้นหมายกับคุณหนูใหญ่สกุลเฝิงแล้วหรือไม่?”
เหวินซื่อแสยะปากยกยิ้ม
“แม่เจ้า เจ้าอย่ายิ้มดีกว่า ทำข้าตกใจหมดแล้ว” เมิ่งเชี่ยนโยวตบหน้าอกตัวเองหลังความตกใจ
เหวินซื่อชักสีหน้าง้ำงอ
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่เห็น หันไปพูดอย่างเห็นใจกับหมอชรา “ลำบากคนแก่คนเฒ่าอย่างท่านแล้ว ต่อไปต้องเห็นใบหน้าน่าหวาดผวานี้ทุกวัน”
หมอชรามองใบหน้าที่ดำยิ่งกว่าก้นหม้อของเหวินซื่อไม่พูดอะไร
ใบหน้ามีรอยแผลเป็น จะบอกว่าไม่แยแสก็คงจะโกหก แต่ยังไม่เคยมีใครกล้าพูดต่อหน้าเขาเช่นนี้มาก่อน วันนี้ถูกเมิ่งเชี่ยนโยวเดียดฉันท์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เหวินซื่อบันดาลโทสะร้องคำราม “อย่าคิดว่าเจ้าเคยช่วยชีวิตข้า ก็จะถลกบาดแผลข้าได้เรื่อยไป เชื่อหรือว่าข้าจะให้คนนำเมล็ดฉั่งฉินพวกนั้นไปโยนทิ้งเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวแบมือกางออก พูดอย่างไม่แยแส “ก็ตามใจเจ้า อย่างมากข้าก็ขอให้แม่ทัพฉู่ช่วยหามาให้”
เหวินซื่อสะอึกกึก
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปหัวเราะกับหมอชราอย่างได้ใจ
หมอชราถึงได้เข้าใจว่านางเพียงแหย่เย้าเหวินซื่อ ไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้นยืน พูดอย่างมีนัยแฝงกับหมอชรา “ข้าไม่อยากเห็นใบหน้าน่าหวาดผวาของใครบางคนแล้ว รบกวนท่านพาข้าไปดูเมล็ดฉั่งฉินด้วยเถอะ”
หมอชรายังไม่พยักหน้า เหวินซื่อก็บันดาลโทสะร้องตะโกน “เมิ่งเชี่ยนโยว!”
เมิ่งเชี่ยนโยวแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน หันหลังเดินออกไป เดินมาได้ถึงหน้าประตูกลับชะงักเท้า หันหลังพูดกับพวกเขา “ไม่ว่าอย่างไร ไม่ตายก็ดีแล้ว”
เหวินซื่อไม่โง่ เข้าใจความห่วงใยของนาง แสยะปากยกยิ้มขึ้นอีกครั้ง
หมอชรายกยิ้มมุมปากตามนางลงไปชั้นล่าง พานางไปดูเมล็ดฉั่งฉิกในห้องหนึ่งหลังร้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวแก้เชือกเส้นหนึ่งออก หยิบเมล็ดฉั่งฉิกออกมาพินิจดู พบว่าเป็นเมล็ดที่ทั้งใหญ่และอวบอิ่ม พยักหน้าพอใจ พูดกับหมอชราว่า “เมล็ดเหล่านี้ไม่เลวเลย ดูท่านายท่านของพวกท่านจะลงแรงกำลังไปไม่น้อยจริงๆ รบกวนท่านขอบคุณเขาแทนข้าด้วย”
หมอชราถามนางอย่างไม่เข้าใจ “นายท่านยังอยู่ข้างบน เหตุใดแม่นางเมิ่งถึงไม่ขึ้นไปขอบใจเขาเอง”
เมิ่งเชี่ยนโยวเงียบไปครู่หนึ่ง ถึงตอบ “พอข้าเห็นสภาพน่าหวาดกลัวของเขา ก็สะกดกลั้นโทสะในใจไม่ได้ ข้าไม่ไปดีกว่า ไม่เช่นนั้นจะควบคุมตัวเองไม่ให้อัดเขาไม่ได้”
หมอชราถอนหายใจ “นายท่านเป็นคนจิตใจดี ห่วงหาคนในครอบครัว ถึงทำให้พวกเขาได้ใจไม่จบสิ้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไร
ทั้งสองกลับมาที่โถงกลาง เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบพู่กัน เขียนรายชื่อยาบนกระดาษเป็นแถว ส่งให้พนักงาน “รบกวนเจ้าจัดยาทั้งหมดนี้ให้ข้าด้วย”
พนักงานรับคำ รับใบสั่งยาไปอย่างนอบน้อม เดินไปหน้าตู้ยาลงมือจัดยา
หมอชรายืนคอยาวชะเง้อมอง อยากดูว่าตัวยาที่เมิ่งเชี่ยนโยวให้จัดพวกนั้น จะนำไปปรุงเป็นยาอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ท่านไม่ต้องดูแล้ว ยาพวกนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ข้ากลับไปยังต้องคิดหาวิธีนำตัวยาที่ร้านของพวกท่านไม่มีมา ถึงจะปรุงยาลบรอยแผลเป็นได้”
หมอชราได้ฟังถามอย่างยินดี “เจ้าจะบอกว่ารอยมีดใบหน้านายท่านสามารถขจัดออกได้?”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้ยอมรับและไม่ได้ปฏิเสธ
หมอชราดีอกดีใจ กล่าวขอบคุณไม่หยุด
พนักงานนำยาที่จัดมามอบให้เมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปพูดกับหมอชรา “เมล็ดฉั่งฉิกฝากไว้กับพวกท่านที่นี่ก่อน รอข้าแผ้วถางภูเขาร้างเสร็จค่อยมาลากไป”
หมอชราพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่พูดอะไรอีก ให้คนงานร้านยาเต๋อเหรินบังคับม้าพานางกลับไปส่งบ้าน
เมิ่งชื่อเห็นนางสองมือว่างเปล่ากลับมา ถามอย่างประหลาดใจ “โยวเอ๋อร์ เจ้าบอกว่านายท่านร้านยาเต๋อเหรินมีของฝากกลับมาให้เจ้ามิใช่หรือ? เหตุใดเจ้าถึงกลับมามือเปล่า”
เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ “ของเยอะเกินไป บ้านเราไม่มีที่วาง ข้าก็เลยฝากไว้ที่ร้านยาเต๋อเหรินก่อน ไว้พวกเราต้องการใช้ค่อยไปเอา”
เมิ่งชื่อยิ่งงุนงง คิดจะถามต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวกลับเปลี่ยนเรื่องถามขึ้น “ท่านแม่ ท่านพ่อและลุงใหญ่ไปทำเรื่องขอโฉนดกับทางการแล้วหรือยัง?”
เมิ่งชื่อพยักหน้า “ไปแล้ว เพิ่งจะไป คาดว่าตอนบ่ายก็น่าจะกลับมาได้”
เป็นดังคาด ก่อนเที่ยง เมิ่งต้าจินและเมิ่งเอ้ออิ๋นก็บังคับรถม้ากลับมาอย่างยินดี บอกคนในบ้านว่าทำเรื่องขอโฉนดเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเขาสามารถปลูกเรือนได้ทันที
ทั้งครอบครัวดีใจกันยกใหญ่
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งต้าจินว่า “ท่านลุงใหญ่ พอกินข้าวเที่ยงเสร็จ ท่านจงไปหาคนมาทำความสะอาดที่ผืนนั้น เก็บกวาดให้เรียบร้อย ค่าแรงยังคงให้คนละสามสิบอีแปะต่อวัน”
เมิ่งต้าจินรับคำ เดินหน้าบานเข้าไปหาคนในหมู่บ้าน
เมิ่งเอ้ออิ๋นจัดเก็บรถม้าไปพลางพูดกับเมิ่งชื่อ “ตอนที่ข้าและพี่ใหญ่เข้าเมือง เห็นหลิวต้าเป่าด้วย”
เมิ่งชื่อพูด “ท่านเห็นหลิวต้าเป่ามีอะไรแปลก ตอนนี้เขาเป็นอิสระแล้ว อยากไปไหนก็ไปได้”
“มิใช่ ตอนที่ข้าและพี่ใหญ่เห็นเขา เขากำลังเดินคอตกออกมาจากบ่อนแห่งหนึ่ง” เมิ่งเอ้ออิ๋นพูดเสียงเบา
เมิ่งชื่อเบิกตาโพลง ถามอย่างตกใจ “เขาเดินออกมาจากบ่อน?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นพยักหน้า “ข้าและพี่ใหญ่เดาว่าเขาจะต้องเอาเงินในครอบครัวไปเล่นพนันในเมือง”
เมิ่งชื่อไม่เชื่อ “จะเป็นไปได้อย่างไร? พ่อแม่เขาหวงเงินยิ่งกว่าอะไร จะยอมให้เขาเอาเงินไปเล่นพนันได้อย่างไร?”
เมิ่งเอ้ออิ๋นก็คิดไม่ตก
คนงานพักเที่ยงออกมากินข้าว เมิ่งชื่อลบเรื่องนี้ไปจากสมอง แล้วไปตักอาหารให้คนงาน
กินข้าวเที่ยงเสร็จ เมิ่งเชี่ยนโยวเดินมาตรงหน้าจางจู้ พูดกับเขา “ท่านลุงใหญ่ พวกเราไปดูภูเขาร้างที่หมู่บ้านพวกท่านด้วยกันเถอะ ถ้าใช้ได้ ข้าจะซื้อไว้วันนี้เลย”
จางจู้รับคำทันควัน บังคับรถม้ามาถึงหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านหลี่
รถม้าจอดสนิท จางจู้ร้องเรียก “ท่านอาผู้ใหญ่บ้านอยู่บ้านหรือไม่?”
ตั้งแต่ตอนปีใหม่ที่จางจู้มาบอกเรื่องเมิ่งเชี่ยนโยวต้องการซื้อภูเขารกร้างของหมู่บ้านตนเอง ผู้ใหญ่บ้านแห่งหมู่บ้านหลี่ก็เฝ้ารอคอยนางทุกวัน ได้ยินเสียงจางจู้มาร้องเรียก กุลีกุจอออกมา เห็นรถม้าของเมิ่งเชี่ยนโยวก็ยินดีปรีดา “พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้ามากินน้ำในบ้านก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า แย้มยิ้มพูด “ท่านไม่ต้องเกรงใจ พวกเราไปดูภูเขาร้างก่อนเถอะ”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้าพูด “ทางไปภูเขาร้างค่อนข้างลำบาก พวกเจ้าทิ้งรถม้าไว้หน้าบ้านข้าเถอะ ข้าจะสั่งให้คนคอยเฝ้าดู”
เมิ่งเชี่ยนโยวตกลง
ผู้ใหญ่บ้านส่งเสียงร้องเรียกคนในบ้าน “หลี่ฝู เจ้าออกมาดูแลรถม้าของพี่จางจู้ให้ดี”
ชายคนหนึ่งรับคำเดินออกมา เมิ่งเชี่ยนโยวได้เห็น คือชายที่เป็นผู้นำคนมาถามจางจู้ตอนปีใหม่ว่าโรงงานของพวกเขายังรับสมัครคนหรือไม่
หลี่ฝูทักทายทั้งสองคนด้วยมิตรไมตรี “พวกท่านมาแล้ว รีบเข้ามานั่งในบ้านก่อน”
จางจู้โบกมือ “ไม่ล่ะ ข้าจะตามโยวเอ๋อร์ไปดูภูเขาร้าง รบกวนน้องหลี่ฝูช่วยดูแลรถม้าให้ด้วยเถอะ”
หลี่ฝูได้ยินว่าจางจู้จะพาเมิ่งเชี่ยนโยวมาซื้อภูเขาร้าง ก็ให้ดีอกดีใจ รีบร้อนพูด “พวกท่านไปดูอย่างสบายใจเถอะ ข้าจะดูแลรถม้าให้พวกท่านเป็นอย่างดีเอง”
จางจู้พูดตามมารยาทอีกเล็กน้อย ผู้ใหญ่บ้านจึงพาทั้งสองคนมุ่งหน้าไปทางภูเขาร้าง
ตอนปีใหม่ที่เมิ่งเชี่ยนโยวจัดการครอบครัวอาสะใภ้รองของจางจู้ คนในหมู่บ้านแห่ไปดูกันเกือบทั้งหมด ต่างก็รู้จักนาง ตอนนี้เห็นนางเดินออกไปนอกหมู่บ้านพร้อมจางจู้และผู้ใหญ่บ้าน ก็สอบถามผู้ใหญ่บ้านอย่างอยากรู้อยากเห็น
ผู้ใหญ่บ้านครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วบอกเรื่องที่เมิ่งเชี่ยนโยวจะมาซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านตนเองแก่ทุกคน
คนในหมู่บ้านตื่นเต้นดีใจ กระจายข่าวอย่างรวดเร็ว ยังมีคนคอยตามหลังพวกเขาห่างๆ อย่างตื่นเต้นยินดี
ผู้ใหญ่บ้านพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างรู้สึกผิด “แม่นางเมิ่ง อย่าได้ถือสา เพราะคนในหมู่บ้านยากจนข้นแค้น พอได้รับข่าวดี ก็อดตามมาด้วยไม่ได้ หากเจ้าไม่พอใจ ข้าจะไล่พวกเขากลับไปเดี๋ยวนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ไม่เป็นไร ขอแค่พวกเขาไม่เกะกะรบกวน ใครอยากตามก็ตามมาเถอะ”
ผู้ใหญ่บ้านเห็นนางไม่ถือสา ก็เบาใจลง พาพวกเขามาถึงภูเขาร้างที่อยู่ใกล้หมู่บ้านที่สุดพูดว่า “ภูเขาลูกนี้มีขนาดประมาณสองร้อยหมู่ เป็นภูเขาลูกที่เล็กที่สุด”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าพูด “พวกเราขึ้นไปดูกันเถอะ”
ผู้ใหญ่บ้านพาทั้งสองขึ้นมาบนเขา เมิ่งเชี่ยนโยวมองบริเวณโดยรอบ ภูเขาร้างนี้ก็มิใช่ภูเขาร้างเสียทีเดียว บนเขายังมีร่องรอยของผักป่าดอกไม้ป่าแห้งเฉาบางส่วนอยู่ อีกทั้งเป็นเขาสูงใหญ่ แสงแดดส่องถึงเต็มที่ เหมาะที่จะปลูกฉั่งฉิกมาก
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ผู้ใหญ่บ้านใช้เวลาอีกสองชั่วยามพาทั้งสองคนไปดูภูเขาอีกสองสามลูกที่ไกลออกไป ถึงพาคนทั้งสองกลับมาบ้านตัวเอง
คนในหมู่บ้านตรงเข้ามาล้อมหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน วาดหวังให้เมิ่งเชี่ยนโยวถูกใจภูเขารกร้างของหมู่บ้านพวกเขา ตนเองจะได้มีงานทำ
ผู้ใหญ่บ้านให้ภรรยาไปรินน้ำให้คนทั้งสอง ภรรยาผู้ใหญ่บ้านรับคำยินดี ไม่นานก็ยกน้ำร้อนสองถ้วยเข้ามา วางตรงหน้าพวกเขาอย่างระวัง
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ ยกถ้วยขึ้นเป่าสองสามครั้ง จิบสองสามคำ
ผู้ใหญ่บ้านถามนางอย่างประหม่า “ไม่ทราบว่าภูเขาร้างที่พวกเราไปดูเมื่อครู่สอดคล้องกับความต้องการของแม่นางหรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวยกยิ้มพยักหน้า
ผู้ใหญ่บ้านโล่งอก ความกลัดกลุ้มตลอดทั้งบ่ายในที่สุดก็วางลงได้
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “หากข้าต้องการซื้อภูเขาร้างทั้งหมดนั้น ไม่ทราบว่าต้องใช้เงินสักเท่าใด?”
ผู้ใหญ่บ้านนึกว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะซื้อแค่หนึ่งหรือสองลูก พอได้ยินว่านางจะซื้อทั้งหมด ลุกขึ้นยืนด้วยอารามดีใจ ถามนางอย่างยินดี “แม่นางต้องการจะซื้อภูเขาร้างที่พวกเราเพิ่งไปดูเหล่านั้นทั้งหมด?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
ผู้ใหญ่บ้านดีใจเอาแต่ถูมือเดินวนในห้องไม่หยุดอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ กระทั่งสงบสติอารมณ์ได้ ถึงกลับมานั่งบนเก้าอี้พูดว่า “ภูเขาร้างมีราคาที่ทางการกำหนดไว้แล้ว หนึ่งหมู่ครึ่งตำลึง หากซื้อทั้งลูกยังสามารถต่อรองได้ โดยในนั้นจะมีส่วนแบ่งของผู้ใหญ่บ้านรวมอยู่ หากปัดรายละเอียดพวกนี้ไป ก็จะอยู่ที่ประมาณหนึ่งหมู่สี่เฉียน[1] แต่ถ้าแม่นางซื้อเยอะ ข้าจะไปศาลาว่าการ ขอให้พวกเขาลดราคา คิดว่าหนึ่งหมู่สามเฉียนก็น่าจะซื้อได้แล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ขอบคุณผู้ใหญ่บ้านที่คิดแทนข้า แต่ส่วนแบ่งของท่านท่านจงรับไปเถอะ นั่นเป็นสิ่งที่ท่านสมควรได้”
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยถ้อยคำที่ไม่อาจปฏิเสธได้ “อยู่ๆ แม่นางก็นำพาคุณประโยชน์มหาศาลนี้มาให้หมู่บ้านของพวกเรา ข้าจะรับเงินส่วนแบ่งนั้นได้อย่างไร เรื่องนี้แม่นางไม่ต้องสนใจแล้ว พรุ่งนี้ข้าจะไปทำเรื่องกับทางการ ให้ผู้ว่าการตำบลส่งคนมาทำรางวัดภูเขาให้พวกเรา”
[1] 钱(เฉียน) หน่วยเหรียญเงินขาว มีรูตรงกลางเหมือนเงินอีแปะ แต่ทำจากโลหะเงิน จึงมีค่ามากกว่า โดย 1 เฉียนมีค่าเท่ากับ 10 เฟิน 10 เฉียนเป็น 1 ตำลึง ส่วนเงินอีแปะเป็นหน่วยเงินสำริด มีค่าน้อยที่สุดในหน่วยเงินตราโบราณจีน โดย1000 อีแปะเท่ากับ 1 ตำลึง, 100 อีแปะเท่ากับ 1 เฉียน