ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 149.1
จางจู้ก็ช่วยพูดเกลี้ยกล่อม “โยวเอ๋อร์ เจ้าเชื่อที่ผู้ใหญ่บ้านพูดเถอะ ตลอดหลายปีที่ผ่านมาอาผู้ใหญ่บ้านไม่เคยเรียกรับสิ่งของบ้านใดเพิ่ม อีกทั้งเจ้าจะซื้อภูเขาตั้งมากมายในคราเดียว ช่วยขจัดปัญหาปากท้องให้หมู่บ้านพวกเราได้ไม่น้อย อาผู้ใหญ่บ้านซาบซึ้งใจ จะรับเงินส่วนแบ่งได้อย่างไรอีก”
ผู้ใหญ่บ้านพยักหน้า “จู้จื่อพูดถูกแล้ว ข้าซาบซึ้งใจนัก เงินส่วนแบ่งนี้ไม่ว่าอย่างไรข้าก็รับไว้ไม่ได้”
เห็นทั้งสองต่างพูดเช่นนี้ เมิ่งเชี่ยนโยวจึงไม่ยื้อยุดอีก พูดอย่างเบิกบานใจ “ได้ ข้าจะซื้อภูเขาทั้งหมดนี้ พรุ่งนี้เมื่อคนของทางการมาทำรางวัดเสร็จ ท่านให้คนไปส่งข่าวบอกข้า พวกเราเข้าเมืองไปทำเรื่องโอนกรรมสิทธิ์”
ผู้ใหญ่บ้านรับคำอย่างยินดี
เจรจาเรื่องเป็นที่เรียบร้อย ทั้งสองก็ไม่อยู่ต่อ หลังจากบอกลาผู้ใหญ่บ้าน จางจู้และเมิ่งเชี่ยนโยวก็ออกมาจากประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน
คนในหมู่บ้านต่างมามุ่งล้อมหน้าประตูบ้านผู้ใหญ่บ้าน เห็นพวกเขาออกมา มีคนใจร้อนถามขึ้นอย่างอดใจไม่ไหว “จางจู้ หลานสาวของเจ้าถูกใจภูเขาร้างของหมู่บ้านเราหรือไม่?”
จางจู้ตอบอย่างยินดี “ถูกใจ พรุ่งนี้อาผู้ใหญ่จะไปเชิญคนของทางการมาทำรางวัด เมื่อโอนกรรมสิทธิ์เสร็จพวกเราก็จะมีงานทำแล้ว”
คนในหมู่บ้านไชโยโห่ร้อง หลีกทางให้พวกเขาโดยอัตโนมัติ
ทั้งสองเดินมาถึงข้างรถม้า จางจู้รับบังเ**ยนจากมือหลี่ฝู กล่าวขอบคุณเขา
หลี่ฝูรีบร้อนโบกมือ “พี่จางจู้ ท่านทำให้คนในหมู่บ้านมีงานทำ พวกเราซาบซึ้งใจจนพูดไม่ออก เรื่องเล็กแค่นี้ท่านไม่ต้องเกรงใจแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวก้าวขึ้นรถม้า จางจู้บังคับรถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวไปจากหมู่บ้าน
เมื่อทั้งสองจากไป คนในหมู่บ้านต่างเข้ามารุมล้อมผู้ใหญ่บ้าน ถามผู้ใหญ่บ้านว่าเมื่อไหร่พวกเขาจะเริ่มแผ้วถางภูเขา
ผู้ใหญ่บ้านตอบ “เรื่องนี้พวกเรายังไม่ได้คุยกัน แต่ข้าคิดว่าพอโอนกรรมสิทธิ์แล้วก็น่าจะเริ่มรับสมัครคนงานได้”
คนในหมู่บ้านปิติยินดี ต่างขอร้องผู้ใหญ่บ้านจะต้องให้ตัวเองมาทำงาน
ผู้ใหญ่บ้านโบกมือ “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจไม่ได้ ทุกอย่างต้องรอให้แม่นางเมิ่งรับสมัครคนค่อยว่ากันอีกที”
คนในหมู่บ้านพากันผิดหวัง ต่างเฝ้ารอให้พรุ่งนี้มาถึงโดยไว
จางจู้บังคับรถม้าห่างออกมาจากบ้านผู้ใหญ่บ้านไม่ไกล เมิ่งเชี่ยนโยวก็พูดกับเขา “ลุงใหญ่ นี่ก็เย็นมากแล้ว ข้าคงไม่แวะเข้าไปหาท่านตาท่านยายแล้ว คืนนี้ท่านกลับถึงบ้านฝากบอกพวกเขาด้วย ครั้งหน้าข้ามาเร็วกว่านี้ค่อยไปหาพวกเขา”
จางจู้รับคำ บังคับรถม้ามุ่งหน้าออกไปจากหมู่บ้านหลี่ กลับไปที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยว
เมิ่งเสียนรออยู่หน้าประตูบ้านแล้ว เห็นพวกเขากลับมา รีบเข้าไปกล่าวทักทายจางจู้ รับบังเ**ยนมาจากมือเขา แล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “น้องสาว เย็นมากแล้ว พวกเราต้องรีบไปรับพวกอี้เซวียนเลิกเรียน”
เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ลงจากรถม้า มาถึงโรงเรียนในเมืองพร้อมกับเมิ่งเสียนด้วย
วันนี้มาถึงช้าไปจริงๆ นักเรียนในโรงเรียนต่างไปกันหมดแล้ว เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉกำลังรอพวกเขาอย่างกระวนกระวายใจหน้าประตู
เห็นรถม้ามาถึง ทั้งสองก็ดีใจวิ่งเข้าหา รถม้ายังไม่ทันจอดสนิท ซุนเหลียงไฉก็เปิดม่านบังรถ พูดอย่างขอความชอบจากเมิ่งเชี่ยนโยว “วันนี้ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้ห้าใบ”
เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสัญญาณให้ทั้งสองขึ้นมานั่งบนรถม้า ถึงแย้มยิ้มชมเชยซุนเหลียงไฉ ทั้งถามเขาว่าขายออกไปได้อย่างไร
ซุนเหลียงไฉพูดกับเขาอย่างตื่นเต้น “วันนี้เช้าพอข้ามาถึงโรงเรียน พวกพ่างตุนเห็นกระเป๋านักเรียนใบใหม่ของข้าก็ริษยาตาโต ข้าฉวยโอกาสนี้บอกพวกเขาว่าบ้านพวกเรามีกระเป๋านักเรียนสวยๆ แบบนี้เยอะมาก ราคาใบละสิบตำลึง หากพวกเขาต้องการ พรุ่งนี้ให้นำเงินมาด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าชื่นชม “ทำได้ดีมาก พรุ่งนี้พวกเรานำกระเป๋านักเรียนไปมากหน่อย ให้พวกเขาเลือกตามใจชอบ”
ซุนเหลียงไฉพยักหน้า พูดอย่างดีใจ “เจ้าอย่าลืมนะ พรุ่งนี้พอพวกเขาจ่ายเงินแล้ว เจ้าต้องให้เงินค่าขนมข้าหนึ่งร้อยอีแปะ”
เมิ่งเชี่ยนโยวรับประกัน “วางใจเถอะ ขอเพียงพวกเขายอมจ่ายเงิน ข้าจะให้เงินค่าขนมเจ้าไม่ขาดสักอีแปะเดียว”
เมิ่งอี้เซวียนนั่งหน้าหงอยอยู่อีกด้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวรู้ว่าทำไมเขาถึงซึมเศร้าเช่นนี้ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ไม่ต้องใจร้อน เป็นเพราะว่าซุนเหลียงไฉมีเพื่อนสนิทหลายคน พวกเขาเชื่อใจเขาถึงได้ซื้อด้วย ส่วนเจ้าเพิ่งจะมาโรงเรียนไม่กี่วัน ยังไม่สนิทกับนักเรียนคนอื่นๆ ย่อมไม่มีใครซื้อกระเป๋านักเรียนกับเจ้า”
เมิ่งอี้เซวียนมุ่นหัวคิ้วถาม “เช่นนั้นข้าควรทำอย่างไร?”
“เช่นนั้นก็ต้องให้เจ้าคิดหาวิธีเองแล้ว แต่ต้องบอกก่อนว่า ตั้งใจศึกษาเล่าเรียนถึงจะเป็นเป้าหมายหลักของการมาโรงเรียนของเจ้า สิ่งนี้เป็นเพียงทางผ่านเท่านั้น เข้าใจหรือไม่?” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า
กลับมาถึงบ้าน ซุนเหลียงไฉเห็นใครก็ลิงโลด พูดเรื่องที่วันนี้ตนเองขายกระเป๋านักเรียนได้ห้าใบ ได้รับคำชมจากเมิ่งชื่อและคนอื่นๆ ไปอีกหลายกระบุง ซุนเหลียงไฉกระหยิ่มยิ้มย่องใจ วิ่งเข้าไปในห้องเมิ่งชื่อเลือกกระเป๋านักเรียนที่ลายแตกต่างกันห้าใบเอามาวางไว้ในห้องตัวเอง
ตกกลางคืนเมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมาจากปรับหน้าดิน ซุนเหลียงไฉย่อมเข้าไปพูดโอ้อวดกับเขาอีกรอบ เมิ่งเอ้ออิ๋นชมไม่ขาดปาก หางซุนเหลียงไฉยกลอยเกือบจะชี้ฟ้าแล้ว
คนทั้งครอบครัวเมิ่งเชี่ยนโยวเห็นแล้วต่างหัวเราะท้องแข็ง
คนงานของจูหลานและคนงานของเซี่ยเจียงเฟิงแยกกันมอบจดหมายและสูตรให้พวกเขา ทั้งสองเห็นแล้วก็ตกตะลึง ไม่เข้าใจว่าโรงงานรมควันเนื้ออยู่ดีๆ ทำไมถึงไม่ทำแล้ว หรือจะเกิดเรื่องอะไรที่แก้ไขไม่ได้ขึ้น
อาการบาดเจ็บของจูหลานยังไม่หายดี ไม่กล้าเคลื่อนไหวมาก จำต้องให้พ่อบ้านไปตามเซี่ยเจียงเฟิงมาที่บ้านตนเอง ให้วันรุ่งขึ้นเขาจะต้องไปดูที่บ้านเมิ่งเชี่ยนโยวกับตา ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
ต่อให้จูหลานไม่พูดเช่นนี้ เซี่ยเจียงเฟิงก็ต้องไปอยู่แล้ว จึงพยักหน้ารับปาก เตือนเขาว่าอย่ากระวนกระวายใจไป ตนเองจะไปดูให้เห็นกับตาเอง
เช้าตรู่วันถัดมา เซี่ยเจียงเฟิงก็มาถึงบ้านเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกับคนงาน
วันนี้ยังคงเป็นเมิ่งเสียนและเมิ่งฉีไปส่งทั้งสองคนไปโรงเรียน เมิ่งเชี่ยนโยวอยู่ในบ้านวาดแบบคฤหาสน์ เห็นเซี่ยเจียงเฟิงเข้ามา ตกอกตกใจ ส่งยิ้มถาม “คุณชายเซี่ยเหตุใดวันนี้ถึงมาด้วยตัวเองได้?”
เซี่ยเจียงเฟิงตอบนาง “พอข้าเห็นจดหมายของแม่นาง ก็เป็นห่วงว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับครอบครัวพวกเจ้า ตั้งใจมาดูว่ามีอะไรให้ช่วยหรือไม่”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มกล่าวขอบคุณ “เกิดเรื่องขึ้นเล็กน้อย แต่ข้าจัดการเรียบร้อยแล้ว พวกท่านไม่ต้องเป็นกังวล”
เซี่ยเจียงเฟิงถาม “เรื่องอะไร?”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่ปิดบัง เล่าเรื่องที่ตัวเองต้องการซื้อที่ดินปลูกเรือน แต่ถูกผู้ใหญ่บ้านคนก่อนกลั่นแกล้ง ฉวยโอกาสเสนอเงื่อนไข ให้ตนเองมอบสัญญาทาสของบุตรชายเขาและสูตรเนื้อรมควันให้เขา ส่วนตัวเองก็ยื่นข้อเสนอ ให้เขาถอนตัวจากตำแหน่งผู้ใหญ่บ้าน
เซี่ยเจียงเฟิงได้ฟังแล้วเอาแต่ทอดถอนใจ เกิดมาไม่เคยเห็นคนไร้ยางอายเช่นนี้มาก่อน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “ยังมีที่ไร้ยางอายกว่านี้” จากนั้นก็เล่าเรื่องที่ภรรยาผู้ใหญ่บ้านคนก่อนพอได้สูตรไปก็เห่อเหิมวางอำนาจเรียกร้องให้ตนเองปิดโรงงานทันที ตนเองไม่ได้รับปาก นางก็เลยมาร้องอาละวาดในงานประกาศเป็นผู้ใหญ่บ้านลุงใหญ่ของตนเอง คิดจะให้วิธีนี้มาข่มขู่ตนเอง ตนเองบันดาลโทสะก็เลยรับปากจะเผยแพร่สูตรให้กับทุกคน
เซี่ยเจียงเฟิงได้ฟังก็พูดไม่ออก
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเขาอย่างรู้สึกผิด “เดิมข้าจะรออีกหนึ่งเดือนค่อยหยุดงาน ตอนนี้กลับตัดสินใจเช่นนี้กะทันหัน จักต้องส่งผลกระทบกับการค้าของพวกท่านเป็นแน่ เพื่อแสดงความรู้สึกผิดจากข้า นอกจากจะให้สูตรเนื้อรมควันเปล่าๆ กับพวกท่านแล้ว เนื้อรมควันและเครื่องในรมควันสองวันสุดท้ายนี้ข้าก็จะให้เปล่ากับพวกท่านด้วย อีกทั้งระหว่างที่ผลิตเนื้อรมควันหากมีขั้นตอนไหนไม่เข้าใจ ข้ายังจะไปให้คำปรึกษาพวกท่านด้วยตนเอง”
เซี่ยเจียงเฟิงตอบกลับ “แม่นางเมิ่งอย่าได้พูดเช่นนี้เด็ดขาด พวกเราเดิมก็เป็นคู่ค้ากัน ต่อให้เจ้าจะไม่ส่งสินค้าให้พวกเรา พวกเราก็พูดอะไรไม่ได้ อีกทั้งตอนนี้เจ้ายังให้เปล่าสูตรเนื้อรมควันกับพวกเรามาอีก พวกเราไม่มีทางเอาเนื้อรมควันเปล่าๆ จากเจ้าได้อีก”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพูด “พวกเราไม่เพียงเป็นคู่ค้ากัน พวกเรายังเป็นเพื่อนกัน ระหว่างเพื่อนไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน หากเจ้ายังเกรงใจข้าแบบนี้อีก แสดงว่าเจ้าไม่ได้เห็นข้าเป็นเพื่อน”
เซี่ยเจียงเฟิงรีบร้อนพูด “ข้าจะไม่เห็นแม่นางเมิ่งเป็นเพื่อนได้อย่างไร เพียงแต่เจ้าทำเช่นนี้ พวกเราทำใจรับไม่ได้จริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “พวกเจ้าไม่ต้องทำใจรับไม่ได้ดอก เอาไว้ภายหน้าเมื่อข้ามีเรื่องเดือดร้อน พวกเจ้ายื่นมือมาช่วยข้าก็พอ”
เซี่ยเจียงเฟิงรับประกัน “เรื่องนี้ไม่มีปัญหา ไม่ว่าแม่นางเมิ่งมีเรื่องเดือดร้อนอะไร ขอเพียงส่งคนไปแจ้งข่าวพวกเรา พวกเราจะรีบมาช่วยทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “เช่นนั้นข้าต้องขอบใจคุณชายเซี่ยไว้ก่อนแล้ว”
เซี่ยเจียงเฟิงโบกมือ
เมิ่งเชี่ยนโยวซักถามอาการของจูหลานต่อ เซี่ยเจียงเฟิงบอกว่าบาดแผลของจูหลานสมานดีแล้ว เพียงแต่ตอนนี้ยังเดินเหินไม่คล่องไม่สะดวกมาด้วย
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
คนงานของเซี่ยเจียงเฟิงบรรทุกเนื้อรมควันและเครื่องในรมควันเสร็จแล้ว เซี่ยเจียงเฟิงเห็นว่านางไม่มีเรื่องอะไรจริงๆ จึงลุกขึ้นกล่าวลา เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มส่งเข้าออกจากประตูไป เห็นรถม้าของพวกเขาไปไกลแล้ว ถึงหันหลังกลับเข้ามาวาดแบบคฤหาสน์ในบ้านต่อ
หลังจากกลับมาถึงตัวอำเภอ เซี่ยเจียงเฟิงสั่งคนงานไปร้านค้าขนถ่ายสินค้า ส่วนตัวเองมาที่บ้านจูหลาน เล่าเรื่องของเมิ่งเชี่ยนโยวตั้งแต่ต้นจนจบให้เขาฟัง จูหลานได้ฟังแล้วทอดถอนใจ พูดว่า “ไม่เป็นไรก็ดี แต่พวกเราจะรับเนื้อรมควันและเครื่องในรมควันเปล่าๆ จากนางสองวันติดไม่ได้ ลองคิดหาวิธีอื่นคืนให้นางไปเถอะ”
เซี่ยเจียงเฟิงสนับสนุน “ข้าก็คิดเช่นนี้ รอให้มีโอกาสเหมาะค่อยคืนน้ำใจนี้กลับคืนไป”
ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่เข้าเมืองมาพร้อมบุตรชายหลี่ฝูตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง ตอนที่ประตูศาลาว่าการเปิดออกก็มาถึงตัวเมืองพอดี ผู้ว่าการตำบลเห็นผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่เข้ามา ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “หลายวันมานี้เกิดอะไรขึ้น? ผู้ใหญ่บ้านจากหมู่บ้านต่างๆ มาที่ศาลาว่าการไม่ขาดสาย”
ผู้ใหญ่บ้านหมู่บ้านหลี่และบุตรชายหลี่ฝูแสดงความเคารพผู้ว่าการตำบลอย่างนอบน้อม บอกว่ามีคนต้องการซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านตนเอง ให้ผู้ว่าการตำบลหาคนไปทำรางวัด ผู้ว่าการตำบลที่พอได้ยินว่าจะมีเงินไหลเข้ากระเป๋าตัวเองอีกแล้ว ดีอกดีใจ ไม่รีรอ บอกให้กุนซือตามผู้ใหญ่บ้านไปทำรางวัดภูเขาทันที
ผู้ใหญ่บ้านพูดว่า “ผู้ว่าการตำบล เด็กสาวนางนั้นคิดจะซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านพวกเราหลายลูก ท่านคิดว่าพอจะลดราคาลงอีกได้หรือไม่?”
ภูเขาร้างและที่ดินร้างเดิมก็เป็นที่รกร้าง ปลูกอะไรก็ไม่ขึ้น ชาวบ้านจึงไม่สนใจจะบุกเบิก ดังนั้นหลายปีมานี้ภูเขาร้างและที่ดินร้างของแต่ละหมู่บ้านน้อยนักที่จะขายออก ตอนนี้ได้ยินว่ามีคนจะซื้อภูเขาร้างหมู่บ้านหลี่ ผู้ว่าการตำบลเดิมทีก็ดีใจมากแล้ว ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะมือหนักเช่นนี้ คิดจะซื้อภูเขาร้างทั้งหมดของหมู่บ้านหลี่ในคราเดียว ผู้ว่าการตำบลยิ่งยินดีปรีดา พูดว่า “ได้ กำหนดราคาเดิมของภูเขาร้างคือหนึ่งหมู่ครึ่งตำลึง ผู้ซื้อรายนั้นต้องการซื้อภูเขาร้างทั้งหมดของหมู่บ้านเจ้า เช่นนั้นพวกเราก็คิดนางถูกหน่อย หมู่ละสี่เฉียนเป็นอย่างไร”
ผู้ว่าการตำบลยังไม่พอใจ พูดต่อ “ท่านพอจะให้ราคาถูกกว่านี้อีกได้หรือไม่ เป็นหมู่ละสามเฉียน?”
ผู้ว่าการตำบลมุ่นหัวคิ้วพูด “สามเฉียนน้อยเกินไป เราต้องส่งให้ทางการหนึ่งเฉียน แบ่งให้เจ้าหนึ่งเฉียน ที่เหลือคือหนึ่งเฉียน เงินที่ได้จากการขายภูเขาร้างหนึ่งลูกยังไม่พอให้ข้าไปกินข้าวที่เหลาจวี้เสียนสักมื้อเลย ไม่ได้ๆ”
ผู้ว่าการตำบลพูดอย่างนอบน้อม “เงินส่วนแบ่งของข้าไม่ต้องแล้ว ราคาภูเขาร้างหนึ่งหมู่จะได้สามเฉียนพอดี”
เป็นครั้งแรกที่ผู้ว่าการตำบลเห็นผู้ใหญ่บ้านไม่โกงกิน คลางแคลงใจถามขึ้น “ผู้ซื้อภูเขาร้างเป็นญาติฝ่ายไหนกับพวกเจ้าหรือ? เหตุใดเจ้าถึงคิดแทนเขาเช่นนี้?”
ผู้ใหญ่บ้านรีบร้อนโบกมือ ตอบกลับ “หาใช่ญาติฝ่ายไหนของพวกเราไม่ แต่เด็กสาวนางนั้นบอกว่า หลังจากซื้อภูเขาร้างไป จะให้คนในหมู่บ้านพวกเราไปบุกเบิกพื้นที่ ท่านใต้เท้าก็ทราบดี หมู่บ้านหลี่ยากจนข้นแค้น แต่ละปีไม่เคยมีใครได้กินอิ่มท้อง ตอนนี้มีโอกาสหาเงินที่ดีเช่นนี้มาวางตรงหน้าพวกเรา ข้าย่อมต้องคว้าไว้ หากปล่อยให้หลุดลอยไป ต่อไปข้าคงไม่มีหน้าไปเจอคนในหมู่บ้านอีก ดังนั้นจึงอยากขอร้องผู้ว่าการตำบลลดราคาภูเขาร้างให้ถูกลงกว่านี้ เพื่อให้เด็กสาวนางนั้นซื้อภูเขาร้างทั้งหมดโดยไม่ลังเล”
ผู้ว่าการตำบลได้ยินเขาเอ่ยถึงเด็กสาวนางนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถามขึ้นอย่างประหลาดใจ “คนที่มาซื้อภูเขาร้างเป็นเด็กสาวนางหนึ่ง?”
ผู้ใหญ่บ้านตอบกลับ “เป็นเด็กสาวแซ่เมิ่งคนหนึ่ง บ้านฝ่ายแม่ของนางอยู่หมู่บ้านพวกเรา นางถึงคิดจะมาซื้อภูเขาร้างของหมู่บ้านพวกเรา”
ผู้ว่าการตำบลขบคิดแล้วพูด “ใช่แม่นางน้อยที่เปิดโรงงานสองแห่งจากหมู่บ้านหวงหรือไม่?”
ผู้ใหญ่บ้านไม่คิดว่าผู้ว่าการตำบลจะรู้จักเมิ่งเชี่ยนโยว ตอบพลัน “ก็คือแม่นางน้อยผู้นั้น”
ผู้ว่าการตำบลถาม “บ้านนางก็เปิดโรงงานสองแห่งแล้ว จะซื้อภูเขาร้างไปทำสิ่งใดอีก?”
ผู้ใหญ่บ้านส่ายหน้า “แม่นางเมิ่งไม่ได้พูด ข้าเองก็ไม่ได้ถาม”
ผู้ว่าการตำบลตรึกตรองครู่หนึ่ง พูดว่า “ข้าจะให้ราคาถูกลงอีกหน่อย เป็นหมู่ละสองเฉียนแปดเฟิน หักส่วนแบ่งของเจ้า และของข้าอีกเล็กน้อย เจ้ากลับไปบอกนาง ทั้งหมดนี้เพื่อชมเชยที่นางสร้างงานหารายได้ให้คนในหมู่บ้าน ข้าถึงขายให้นางในราคาต่ำเช่นนี้”
ได้ราคาต่ำกว่าที่ตนเองคิดเอาไว้ ผู้ใหญ่บ้านย่อมปลาบปลื้มยินดี กล่าวขอบคุณไม่ขาดปาก
ผู้ว่าการตำบลโบกมือ ให้กุนซือตามพวกเขาไปทำรางวัดภูเขาร้าง