ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 152.3
รอจนพวกเขาไปแล้ว ซุนซ่านเหรินเดินเข้าหอชาไปพลางพูดตะคอกซุนวั่ง “เจ้าลูกสารเลว ตามข้าเข้ามา”
เพื่อนเกเรของซุนวั่งเห็นซุนซ่านเหรินโมโหเดือดดาล พูดกับซุนวั่งอย่างร้อนตัว “น้องซุนวั่ง เมื่อเจ้ามีธุระ เช่นนั้นพวกเราขอตัวก่อน”
ซุนซ่านเหรินได้ยินหยุดชะงักฝีเท้า หันกลับมาพูด “หยุดก่อน!”
ได้ยินเสียงตะโกนของเขา คนทั้งหมดที่เพิ่งจะก้าวขาออกถึงกับหยุดชะงัก
ซุนซ่านเหรินมองประเมินพวกเขาหลายครั้งถามขึ้น “พวกเจ้าก็คือเพื่อนกินไม่เป็นโล้เป็นพายพวกนั้น?”
คนทั้งหมดหันสบตากัน รีบร้อนประสานมือทำความเคารพซุนซ่านเหริน ร้องเรียกพร้อมกัน “ท่านลุง”
ซุนซ่านเหรินไม่ขานรับ หันไปพูดกับเสี่ยวเอ้อ “ไปเรียนหลงจู๊ออกมา”
เสี่ยวเอ้อรับคำ รีบวิ่งเข้าไปร้องเรียกหลงจู๊
คนทั้งหมดมองหน้ากันเลิกลั่ก ไม่รู้ว่าซุนซ่านเหรินจะทำอะไร
หลงจู๊ออกมาอยู่ตรงหน้าซุนซ่านเหรินโดยเร็ว ร้องเรียกอย่างนบนอบ “นายท่าน”
ซุนซ่านเหรินชี้เพื่อนทั้งหมดของซุนวั่งพูดกับหลงจู๊ “เหล่าหลิว เจ้าดูให้ดี ต่อไปห้ามคนพวกนี้เข้ามาในหอชาของพวกเราอีก ถ้าจะฝืนบุกเข้ามา ก็ให้เสี่ยวเอ้อตีพวกเขาออกไป”
คนทั้งหมดมาที่หอชาทุกวัน ใช้ห้องรับรองที่ดีที่สุด ดื่มใบชาชั้นดีที่สุด ทั้งยังนำใบชาชั้นดีติดมือกลับไปบ่อยครั้ง กลับไม่เคยจ่ายเงินแม้แต่อีแปะเดียว หลงจู๊ชิงชังขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนานแล้ว ได้ยินซุนซ่านเหรินพูดเช่นนี้ พลันรับคำเสียงกังวานทันที
ซุนวั่งพูดอย่างไม่พอใจ “ท่านพ่อ ท่านปฏิบัติกับเพื่อนข้าเช่นนี้ได้อย่างไร?”
ซุนซ่านเหรินโมโหคิดจะถีบเขาอีก ครั้งนี้ซุนวั่งเตรียมการป้องกัน หลีกตัวถอยหลบ
คนทั้งหมดเห็นเช่นนั้น ก้มหน้าวิ่งแผ่นแน่บ
ซุนซ่านเหรินหันหลังกลับเข้าหอชา ซุนวั่งเดินตามหลังไปอย่างไม่แยแส
เข้ามาในห้องรับรองหนึ่ง ซุนซ่านเหรินวางกุนเชียงในมือลง ถามซุนวั่ง “วันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
ซุนวั่งร้องโวยวาย “จะมีเรื่องอะไรได้? ท่านไม่เห็นท่าทีหยิ่งผยองของนังตัวดีนั่นหรือ แน่นอนว่าจะต้องมาหาเรื่อง”
ซุนซ่านเหรินโมโหขว้างถ้วยชาในมือออกไป ร้องด่า “เจ้าสารเลว จนถึงตอนนี้ยังไม่พูดความจริง วันนี้ข้าจะตีเจ้าให้ตาย”
ซุนวั่งเบี่ยงศีรษะหลบ พูดเดือดดาล “ข้าไม่พูดความจริงอย่างไร ไม่เชื่อท่านถามเสี่ยวเอ้อ ข้ากำลังรอเพื่อนๆ มาหาในห้องรับรองชั้นบน เสี่ยวเอ้อเข้ามาบอกว่ามีคนมาหาข้า ข้าลงไปดู เห็นนังตัวดีและพี่ชายนางยืนอยู่หน้าประตู ข้าถามนางดีๆ ว่ามาทำอะไร นางกลับไม่สนใจข้า จะเรียกหาแต่หลงจู๊ให้ได้ ท่านว่านางไม่ได้มาหาเรื่องแล้วมาทำอะไร?”
ฟังเขาพูดจบ ซุนซ่านเหรินโมโหเขวี้ยงถ้วยชาอีกใบออกไป
ครั้งนี้ซุนวั่งหลบไม่พ้น ถ้วยชาฟาดเข้ามาที่หน้าผากเขาพอดี เลือดสดๆ ไหลเป็นทางลงมาพลัน
รู้สึกได้ว่ามีของเหลวอุ่นๆ ไหลย้อยที่ใบหน้า ซุนวั่งใช้มือแตะดู มือเต็มไปด้วยเลือด ตกใจตัวโยน อ่อนระทวยนั่งไปกับพื้น
หลงจู๊ก็ตกใจไม่แพ้กัน รีบร้อนพูด “ข้าจะไปเชิญหมอ” พูดจบยกเท้าก้าวออกไปข้างนอก
ซุนซ่านเหรินร้องเรียกเขา “ไม่ต้องแล้ว แผลเล็กแค่นี้ไม่ถึงตาย”
หลงจู๊เห็นซุนซ่านเหรินโมโหจริงๆ หลบไปยืนอีกด้านอย่างเชื่อฟัง ไม่พูดอะไร
ซุนวั่งได้ยินซุนซ่านเหรินพูดเช่นนี้ เพลิงโทสะในใจก็พวยพลุ่งออกมา ร้องถามเสียงหลง “ข้าเป็นลูกแท้ๆ ของท่านจริงหรือเปล่า ท่านถึงกลับลงมือกับข้ารุนแรงเช่นนี้?”
ซุนวั่งยิ่งโมโหหนัก ก่นด่า “สารเลว เจ้าทำผิดยังไม่รู้สำนึก วันนี้ข้าตีเจ้าให้ตายก็ไม่เกินไป”
ซุนวั่งร่ำร้องพูด “ข้าทำผิดตรงไหน นังตัวดีนั่นเข้ามาหาเรื่องก่อนชัดๆ ท่านไม่ช่วยข้าจัดการนาง ยังมาตีข้า มีพ่อที่ไหนเห็นคนอื่นดีกว่าลูกในไส้ได้เช่นท่านอีก”
ซุนซ่านเหรินโมโหสั่นไปทั้งตัว พูดเกรี้ยวกราด “เหล่าหลิว เจ้าไปเรียกเสี่ยวเอ้อที่เฝ้าประตูวันนี้มา ให้เขามาพูดว่าเกิดอะไรขึ้น ฟังความจบ ข้าจะดูว่าเจ้ายังกล้าปากแข็งอีกไหม?”
หลงจู๊รับคำออกไป ไม่นานก็เรียกตัวเสี่ยวเอ้อที่เฝ้าประตูขึ้นมา
ซุนซ่านเหรินให้เขาเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นจนจบออกมา
เสี่ยวเอ้อไม่กล้าปิดบัง เล่าเรื่องทั้งหมดออกมาตามความจริง
พอได้ยินว่าซุนวั่งกล้ากล่าววาจาไร้มารยาทกับหลงจู๊ ซุนซ่านเหรินโมโหจนทนไม่ไหว ร้องด่าเขา “เจ้าสาระเลวไม่ได้ความ เหล่าหลิวอยู่กับข้ามาหลายปี เจ้ากลับกล้าปฏิบัติต่อเขาเช่นนี้ นับจากนี้ไป เจ้าไสหัวกลับไปอยู่บ้าน เรื่องในหอชาไม่ต้องแทรกแซงอีก”
“ซวบ” ซุนวั่งผุดลุกขึ้นมาทันควัน “ไม่ได้ ในมือข้ามีเพียงหอชานี้ ถ้าท่านไม่ให้ข้าดูแล ต่อไปข้าและเพื่อนจะไปสังสรรค์กันที่ไหน ท่านจะปฏิบัติกับลูกในไส้อย่างข้าเพราะคนนอกสองคนนั้นเช่นนี้ไม่ได้”
ซุนซ่านเหรินโมโหจนเส้นเลือดที่หน้าผากโป่งพอง พูดกับหลงจู๊ “เหล่าหลิว เจ้าไปตามเสี่ยวเอ้ออีกสองสามคนขึ้นมา จับเจ้าลูกทรพีนี่ส่งไปให้พ่อบ้านที่บ้านข้า บอกเขาว่า นับจากนี้ไปหากไม่มีคำอนุญาตจากข้า ห้ามไม่ให้เจ้าสารเลวนี่ก้าวออกจากประตูแม้เพียงก้าวเดียว”
หลงจู๊รับคำ เรียกเสี่ยวเอ้อสองสามคนเข้ามา นำตัวซุนวั่งที่ร้องเอ็ดตะโรไม่หยุดกลับไป
รอจนไม่ได้ยินเสียงร้องตะโกนของซุนวั่งแล้ว ซุนซ่านเหรินถึงพูดกับหลงจู๊อย่างรู้สึกผิด “เหล่าหลิว วันนี้ผิดต่อเจ้าแล้ว ข้าขอโทษเจ้าแทนเจ้าลูกทรพีนั่นด้วย หวังว่าเจ้าจะไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ”
หลงจู๊ตอบด้วยความนบนอบ “นายท่านพูดเกินไปแล้ว คุณชายไม่ได้มีเจตนา เรื่องนี้ข้าไม่มีทางนำมาใส่ใจ”
ซุนซ่านเหรินพูดอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบใจที่เจ้าไม่คิดหยุมหยิมกับเขา เจ้าวางใจ ข้ารับประกันกับเจ้า ต่อไปจะไม่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นอีก”
หลงจู๊กล่าวขอบคุณเขาอีกครั้ง
ซุนซ่านเหรินหันไปพูดกับเสี่ยวเอ้อเฝ้าประตู “แม่นางเมิ่งพูดกับเจ้าชัดแจ้งว่ามาหาหลงจู๊ เจ้ากลับไปรายงานคุณชาย เรื่องนี้เจ้าก็มีส่วนต้องรับผิดชอบ แต่เห็นกับที่เจ้าไม่เคยทำเรื่องผิดพลาดมาก่อน ครั้งนี้จะแค่หักเงินเดือนเจ้าครึ่งเดือน หากยังมีครั้งหน้าอีก เจ้าไปหางานใหม่เถอะ”
เสี่ยวเอ้อก็รู้ว่าตัวเองก่อเรื่อง นึกว่าจะถูกไล่ออก ไม่คิดว่าจะแค่ถูกหักเงินเดือนครึ่งเดือน กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้งใจ “ขอบคุณนายท่าน ขอบคุณนายท่าน”
ซุนซ่านเหรินโบกมือ เสี่ยวเอ้อถอยออกไป
ซุนซ่านเหรินสูดลมหายใจเข้าลึก พูดกับหลงจู๊ “เหล่าหลิว ข้าเคยบอกแม่นางเมิ่งไว้ ภายหน้าหากนางมีเรื่องอันใดให้มาหาข้าที่หอชา เจ้าจงไปสั่งกำชับเสี่ยวเอ้อ ภายหน้าหากแม่นางเมิ่งมาอีก ไม่ว่าใครจะต้องปฏิบัติต่อนางอย่างพินอบพิเทา ห้ามให้เกิดเรื่องผิดพลาดอีก”
หลงจู๊รับคำ “ทราบแล้ว นายท่าน ข้าจะไปสั่งการเดี๋ยวนี้”
เมื่อสั่งการเรื่องทั้งหมดเสร็จ ซุนซ่านเหรินหยิบกุนเชียงบนโต๊ะขึ้น สาวเท้าเดินออกไป
มาถึงหน้าประตูโรงเรียน เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงทำหน้าบึ้งตึง เมิ่งเสียนเตือนนาง “น้องสาว ข้าไม่เป็นไร เจ้าเป็นแบบนี้ อีกประเดี๋ยวอี้เซวียนกับเหลียงไฉออกมาจะตกใจได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวถอนหายใจยาว พูดอย่างรู้สึกผิด “พี่ใหญ่ ขอโทษนะ ข้าทำให้ท่านได้รับบาดเจ็บ”
เมิ่งเสียนยิ้มพูด “ไม่เป็นไร พี่ใหญ่หนังหนาหยาบกระด้าง แค่โดนท่อนไม้ฟาดไม่ใช่เป็นอะไรดอก ขอเพียงเจ้าไม่เป็นอะไรก็พอ แต่วันนี้พี่ใหญ่เพิ่งค้นพบเรื่องหนึ่ง”
เมิ่งเชี่ยนโยวมองเขาอย่างประหลาดใจ
เมิ่งเสียนพูดอย่างตื่นเต้น “พี่ใหญ่พบว่าการต่อสู้มันสะใจดีจริงๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะพรืด สีหน้าเคร่งเครียดสลายไปจากใบหน้า
เมิ่งเสียนแลบลิ้นปลิ้นตาให้นาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ่งหัวเราะเสียงดังลั่น
ประตูใหญ่โรงเรียนเปิดแล้ว เมิ่งอี้เซวียนและซุนเหลียงไฉเดินตามนักเรียนออกมา เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวนั่งริมรถม้า ต่างดีใจวิ่งเข้ามา
ซุนเหลียงไฉพูดด้วยความดีใจก่อน “ท่านพี่ วันนี้ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้อีกสามใบ”
ได้ยินคำเรียกของเขา เมิ่งเสียนตะลึงงัน เมิ่งเชี่ยนโยวหันไปแลบลิ้นใส่เขาอย่างซุกซน เมิ่งเสียนพลันเข้าใจ ยิ้มแล้วส่ายหน้า
เมิ่งอี้เซวียนก็ตกตะลึง แต่ใบหน้าก็แย้มบานขึ้นมาทันใด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดชมเชย “เหลียงไฉใช้ได้เลย มุมานะอย่างไม่ย่อท้อ พยายามขายกระเป๋านักเรียนให้ได้มากขึ้น”
ซุนเหลียงไฉพยักหน้าสุดพลัง
เมิ่งอี้เซวียนก็พูดกับนางอย่างดีใจ “ข้าก็มีข่าวดีจะบอกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวถาม “ข่าวดีอะไร?”
เมิ่งอี้เซวียนยิ้มตอบ “วันนี้อาจารย์บอกข้าว่า วันมะรืนให้ข้าไปเข้าสอบถงเซิงในตัวอำเภอ”
เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งเสียนถามอย่างดีใจระคนตกใจพร้อมกัน “จริงหรือ”
ซุนซ่านเหรินพยักหน้า
เมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยวดีใจเป็นยิ่งนัก
เมิ่งเชี่ยนโยวดีใจลูบหัวเมิ่งอี้เซวียน ถามเสียงละมุน “วันนี้อยากกินอะไร? ข้าจะทำให้กิน”
ซุนเหลียงไฉไม่ยอม พูดอย่างไม่พอใจ “ข้าขายกระเป๋านักเรียนได้เยอะเช่นนี้ ทำไมเจ้าไม่ทำของอร่อยให้ข้าบ้าง?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดโอ๋ “ได้ๆๆ ทำของอร่อยให้เจ้าด้วย”
ซุนเหลียงไฉถึงหัวเราะลั่น
ซุนซ่านเหรินนั่งรถม้ารีบร้อนมาถึงหน้าประตูโรงเรียน ได้เห็นภาพแสนอบอุ่นนี้พอดี ความกลัดกลุ้มตลอดทางถึงวางลงได้ สั่งห้ามคนรถไปข้างหน้า แอบมองคนทั้งหมดอยู่ห่างๆ กระทั่งคนทั้งหมดนั่งรถม้าไปไกลแล้ว ถึงให้คนรถบังคับรถม้ากลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวและคนทั้งหมดมาถึงบ้าน เมิ่งเสียนหยุดรถม้า รีบเดินเข้าไปในลานบ้าน ร้องตะโกนอย่างดีใจ “ท่านแม่ ท่านรีบออกมา ข้ามีข่าวดีจะบอก”
เมิ่งชื่อได้ยินเสียงตะโกนของเขา รีบวางในมือแล้วเดินออกมา ถามขึ้น “ข่าวดีอะไร”
เมิ่งเสียนพูดด้วยความตื่นเต้น “อาจารย์ให้อี้เซวียนไปสอบถงเซิงแล้ว”
เมิ่งชื่อปิติยินดีจนน้ำตาเกือบไหล
เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากรถม้า รวบบังเ**ยนในมือ ยิ้มมองทั้งสองคนที่ตื่นเต้นยินดีในลานบ้าน
เหล่าหญิงสาวที่เย็บกระเป๋านักเรียนในบ้านได้ยินข่าวนี้ ต่างออกมากล่าวแสดงความยินดี
ตกค่ำตอนที่เมิ่งเอ้ออิ๋นกลับมากินข้าว ได้ยินข่าวดีนี้ ไม่สนใจแม้แต่จะกินข้าว วิ่งอ้าวไปบ้านใหญ่ บอกข่าวดีนี้กับเมิ่งจงจวี่
เมิ่งจงจวี่ลูกเคราอย่างปลาบปลื้มปิติ เอาแต่พูดว่าดี
หญิงชราเมิ่งดีใจจนน้ำตาไหล พูดว่า “หากอี้เซวียนสอบถงเซิงได้ตั้งแต่อายุเท่านี้ ต่อไปเมื่อเข้าสอบเคอจวี่จะต้องได้เป็นจองหงวนกลับมา ถึงตอนนั้นโยวเอ๋อร์ของเราก็สุขสบายแล้ว”
ภรรยาเมิ่งต้าจินพยักหน้าเห็นพ้อง
เมิ่งชื่อตาโตอ้าปากค้างมองเมิ่งเอ้ออิ๋นที่วิ่งหายลับไป ครู่หนึ่งถึงพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “สวรรค์ แม่แต่งงานกับพ่อเจ้าแต่งงานมาหลายปี เป็นครั้งแรกที่เห็นเขาวิ่งเร็วเช่นนี้”
เมิ่งเชี่ยนโยวหลุดขำ
เมิ่งชื่อถึงรู้สึกตัวว่าตนเองพูดอะไรออกไป พลันหน้าแดงเรื่อ
เมิ่งเชี่ยนโยวทนไม่ไหวอีกครั้ง หัวเราะครืน
ทั้งครอบครัวต่างดีอกดีใจจนนอนไม่หลับ นั่งล้อมวงหารือกันว่าใครจะพาเมิ่งอี้เซวียนไปเข้าสอบถงเซิงระดับอำเภอ ในท้ายที่สุดมติเป็นเอกฉันท์ พรุ่งนี้ให้เมิ่งเสียนและเมิ่งเชี่ยนโยวพาเขาไป
ซุนเหลียงไฉต้องหยุดพักอยู่บ้านก่อนสองวัน
ได้ยินการตัดสินใจนี้ ซุนเหลียงไฉย่อมดีใจลิงโลด
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดบั่นทอน “ข้าจะทิ้งการบ้านไว้ให้ เมื่อข้ากลับมาจะมาตรวจสอบ ถ้าเจ้าทำไม่เสร็จ ภายในสองวันไม่ต้องข้าวกิน”
ซุนเหลียงไฉร้องโอดโอย คอตกฟุบไปบนเตียงเตา
ทั้งครอบครัวหัวเราะครืนใหญ่
[1] ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงแบ่งการสอบขุนนางออกเป็น 3 ระดับ(ในที่นี้จะกล่าวถึงแค่ระดับต้น) ได้แก่ระดับต้น เรียกว่าถงเซิง รับสมัครผู้เข้าสอบตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น โดยเป็นการสอบในท้องถิ่น แบ่งระดับชั้นการสอบได้อีก 3 ลำดับ คือ เซี่ยนซื่อ(อำเภอ) ฝู่ซื่อ(จังหวัด) และย่วนซื่อ(คนของราชสำนักมาคุมการสอบเอง)