ข้ามกาลบันดาลรัก ส่วนที่ 1 - ตอนที่ 153.1
ความในใจของเมิ่งเหริน
เช้าวันถัดมาหลังจากกินอาหารเสร็จแต่เช้าตรู่ เมิ่งเชี่ยนโยวพาเมิ่งอี้เซวียนมายังบ้านใหญ่สกุลเมิ่ง
ครอบครัวเมิ่งจงจวี่ก็เพิ่งจะกินอาหารเช้าเสร็จ ภรรยาเมิ่งต้าจินกำลังเก็บล้างถ้วยชามอยู่ในลานบ้าน เห็นพวกเขาเข้ามาก็ดีใจ ร้องทักทายอย่างรักใคร่ “โยวเอ๋อร์ อี้เซวียน พวกเจ้ามาแล้ว รีบเข้าไปในบ้าน”
ทั้งสองเข้ามาในบ้าน ส่งเสียงทักทายทุกคน เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ท่านปู่ วันนี้ช่วงเช้าข้ากับพี่ใหญ่จะตามอี้เซวียนไปที่อำเภอ ที่มานี่เพื่อแจ้งให้ท่านทราบ และอยากขอให้ท่านบอกอี้เซวียนอย่างละเอียดว่าเวลาสอบถงเซิง เขาควรจะระวังเรื่องไหนบ้าง”
เมิ่งจงจวี่ยินดีเป็นอย่างมาก บอกเรื่องที่เขาควรจะระวังให้เขาฟังอย่างละเอียด ทั้งกำชับเขาเป็นพิเศษ “การสอบระดับอำเภอส่วนใหญ่เป็นความรู้ที่ปกติปู่สอนสั่งเจ้า ถึงเวลานั้นเจ้าไม่ต้องหวาดกลัว ตั้งใจตอบคำถามให้ดีก็พอ”
อี้เซวียนพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง
เมิ่งต้าจินก็บอกเล่าประสบการณ์ที่ตนเองเคยสอบถงเซิงแก่เขา เมิ่งอี้เซวียนจดจำไว้เป็นข้อๆ
เมิ่งจงจวี่นำจดหมายแนะนำจำนวนหนึ่งวางใส่มือเมิ่งอี้เซวียน พูดว่า “นี่เป็นจดหมายแนะนำของปู่และหัวหน้าสกุลทั้งสี่ เจ้าต้องเก็บไว้ให้ดี ยามเข้าสนามสอบ ท่านนายอำเภอจะสั่งให้คนมาเก็บไป ไม่มีจดหมายแนะนำจะเข้าร่วมการสอบถงเซิงระดับอำเภอไม่ได้”
เมิ่งอี้เซวียนรีบรับมา เก็บใส่อกอย่างดี พร้อมหันไปพูดกับเมิ่งจงจวี่ “ขอบคุณท่านปู่”
เมิ่งจงจวี่ลูบเครา ส่งยิ้มพยักหน้า
หญิงชราเมิ่งที่อยู่อีกด้านก็ดีใจเป็นอย่างมาก กำชับเมิ่งเชี่ยนโยวพอเข้าไปในอำเภอจะต้องเพิ่มความระมัดระวัง อี้เซวียนสอบเสร็จแล้วจะต้องรีบกลับมา
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้าเชื่อฟัง
กลับมาจากบ้านใหญ่ เมิ่งเสียนตระเตรียมรถม้าพร้อมแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวและเมิ่งอี้เซวียนแยกย้ายกลับห้องไปเก็บของ เมิ่งชื่อยังหวาดกลัวเรื่องที่เข้าอำเภอครั้งก่อนแล้วเมิ่งเจี๋ยหายตัวไป เดินตามติดเมิ่งเชี่ยนโยวคอยกำชับให้นางจะต้องดูแลเมิ่งอี้เซวียนให้ดี หากไม่มีเรื่องอันใดก็ให้อยู่แต่ในโรงเตี๊ยม ที่ไหนก็ไม่ต้องไป เมื่อสอบเสร็จแล้วก็ให้รีบกลับบ้าน
เมิ่งเชี่ยนโยวเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย วางไว้อีกด้าน กอดแขนเมิ่งชื่อ แย้มยิ้มพูดกับนาง “ท่านแม่ เรื่องเจี๋ยเอ๋อร์ครั้งก่อนเป็นเพียงอุบัติเหตุ ท่านอย่าเอาแต่คิดถึงแต่เรื่องนั้น อีกอย่าง พี่ใหญ่และอี้เซวียนก็เรียนวรยุทธ์กับข้ามานานขนาดนี้แล้ว หากเกิดเรื่องอันใดเขาจะต้องรับมือได้ ท่านอย่าได้เป็นกังวลเกินไปเลย”
เมิ่งชื่อพูดอย่างกลัดกลุ้มใจ “แม่รู้ว่าเจ้าพูดถูกต้อง แต่แม่ก็ยังวางใจลงไม่ได้ หากไม่เพราะในบ้านมีเรื่องยุ่ง จะให้พ่อเจ้าตามไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวปลอบประโลมนาง “ท่านแม่ ท่านวางใจเถอะ? ข้ารับประกันกับท่าน พออี้เซวียนออกจากสนามสอบพวกเราจะกลับบ้านทันที สักนาทีเดียวก็ไม่ให้เสียเวลา”
เมิ่งอี้เซวียนก็เก็บของของตนเองเสร็จแล้ว เมิ่งชื่อมาส่งพวกเขาขึ้นรถม้าอย่างอาวรณ์ มองดูรถม้าจากไปไกลแล้ว ถึงถอนหายใจยาว หันหลังเดินกลับเข้าบ้าน
อากาศอบอุ่นขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวเปิดม่านบังรถออก พูดคุยกับเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนด้วยความเบิกบานใจ รถม้าก็มาถึงตัวอำเภออย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
เข้ามาถึงตัวเมือง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดว่า “พี่ใหญ่ พวกเราไปโรงเตี๊ยมครั้งก่อนเถอะ บรรยากาศดี ผู้คนที่ไปมาก็ไม่พลุกพล่านมาก อี้เซวียนจะได้พักผ่อนได้เต็มที่”
เมิ่งเสียนพยักหน้า หวนคิดถึงเส้นทางกลับมายังโรงเตี๊ยมเดิม
เสี่ยวเอ้อเห็นรถม้าเข้ามารีบออกมาต้อนรับ เห็นเมิ่งเชี่ยนโยวก็จำได้ ร้องทักทายนางอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง ท่านจะมาเข้าพักใช่หรือไม่?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า “ขอห้องพักอย่างดีสองห้อง”
เสี่ยวเอ้อรับคำอย่างยินดี สั่งเสี่ยวเอ้ออีกคนให้จูงรถม้าไปหลังโรงเตี๊ยม กำชับเขาให้ดูแลเป็นอย่างดี ถึงพาคนทั้งหมดมาที่โต๊ะรับรองแขกชั้นหนึ่ง พูดกับหลงจู๊ “หลงจู๊ แม่นางท่านนี้ต้องการห้องพักสองห้อง”
หลงจู๊เงยหน้าขึ้น และจำเมิ่งเชี่ยนโยวได้ พูดด้วยมิตรไมตรีเช่นกัน “แม่นาง เจ้ามาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มพยักหน้า “น้องชายข้ามาเข้าร่วมการสอบถงเซิงระดับอำเภอ ข้าเห็นว่าโรงเตี๊ยมของพวกท่านค่อนข้างสงบเงียบ เขาจะได้พักผ่อนเต็มที่ จึงมาที่นี่ ไม่ทราบว่าพวกท่านยังมีห้องพักชั้นดีเหลือหรือไม่”
พอได้ยินว่าเมิ่งเชี่ยนโยวพาน้องชายมาสองถงเซิงระดับอำเภอ หลงจู๊พูดยกยอพลัน “น้องชายท่านอายุเพียงเท่านี้ก็มีสิทธิ์เข้าร่วมการสองถงเซิงระดับอำเภอ อนาคตข้างหน้าจะต้องไม่อาจคาดเดาได้ ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านไว้ก่อน”
เมิ่งเชี่ยนโยวโบกมือ “หลงจู๊อย่างเพิ่งพูดไปก่อน น้องชายข้าอายุยังน้อยวันนี้เพียงแค่พาเขามาทดสอบดู จะสอบผ่านหรือไม่ก็ยังไม่แน่ ยินดีกับพวกเราตอนนี้ดูเร็วเกินไปสักหน่อย”
หลงจู๊ยิ้มพูด “น้องชายท่านจะต้องสอบผ่านระดับอำเภอแน่นอน”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ยิ้มตอบกลับ “เช่นนั้นก็ขอบคุณคำมงคลของหลงจู๊แล้ว”
หลงจู๊เลือกห้องพักชั้นดีสองห้องให้พวกเขา หยิบกุญแจพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยว “แม่นางเมิ่ง ห้องพักทั้งสองห้องนี้อยู่ด้านในสุดของทางเดิน ค่อนข้างเงียบสงบ การตกแต่งภายในห้องก็ดี เหมาะไว้ให้น้องชายแม่นางทบทวนตำรา พวกเจ้าพักสองห้องนี้ก็แล้วกัน”
เมิ่งเชี่ยนโยวแย้มยิ้มพูด “ขอบคุณหลงจู๊ที่คิดแทนพวกเราอย่างรอบคอบ ทั้งหมดเป็นเงินเท่าไหร่?”
หลงจู๊ตอบกลับ “ห้องพักชั้นดีสองห้องนี้ปกติห้องละห้าสิบตำลึง ครั้งก่อนแม่นางช่วยพวกเราไว้มาก จ่ายห้องละสามสิบตำลึงก็พอ ทั้งหมดหกสิบตำลึง”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่เกรงใจ ให้เงินหลงจู๊ไปหนึ่งร้อยตำลึง พูดว่า “พวกเราก็ไม่รู้ว่าจะพักกี่คืน วางมัดจำกับพวกท่านไว้ก่อนหนึ่งร้อยตำลึง หากพรุ่งนี้พวกเรายังไม่ไป ถึงตอนนั้นค่อยจ่ายส่วนที่เหลือเพิ่มให้”
หลงจู๊รับคำด้วยความยินดี จดบันทึกอย่างดีลงในสมุดบัญชี สั่งเสี่ยวเอ้อให้พาคนทั้งสามไปที่ห้องพัก
เสี่ยวเอ้อพาคนทั้งสามมายังปลายสุดทางเดินของชั้นสองอย่างกระตือรือร้น เปิดประตูห้องพักที่ติดกันทั้งสองบานออก พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวด้วยความนบนอบ “แม่นางเมิ่ง นี่เป็นห้องพักของพวกท่าน ท่านดูก่อนว่าพอใจหรือไม่?”
ทั้งสามเดินเข้ามาในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวมองประเมินการตกแต่งภายในห้อง พยักหน้าพึงพอใจ
เสี่ยวเอ้อถามขึ้น “ไม่ทราบว่าแม่นางยังต้องการสิ่งใดหรือไม่?”
“ไม่มีแล้ว เมื่อข้าต้องการสิ่งใดค่อยเรียกหาเจ้า” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เสี่ยวเอ้อพยักหน้า แล้วพูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวอย่างซาบซึ้งใจ “ครั้งก่อนโชคดีได้แม่นางพูดขอร้อง หลงจู๊ถึงไม่ไล่ข้าออก ครอบครัวข้าทั้งผู้เฒ่าและเด็กต่างก็ซาบซึ้งใจแม่นาง ภายหน้าหากแม่นางมีสิ่งใดที่ข้าช่วยเหลือได้ขอให้บอกข้าได้ทันที”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า เสี่ยวเอ้อถอยออกไปอย่างพินอบพิเทา
ทั้งสามเข้ามาในห้อง เมิ่งเชี่ยนโยวพูดกับเมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียน “พวกท่านพักผ่อนกันตามอัธยาศัยก่อนเถอะ เมื่อกินข้าวเที่ยงเสร็จ พวกเราจะออกไปดูข้างนอก ครั้งก่อนฉุกละหุกเกินไป ไม่ทันได้เดินเที่ยวเล่นในตัวอำเภอเลย อุตส่าห์มีโอกาสพักผ่อนหย่อนใจ พวกเราไปเดินเที่ยวให้ทั่ว จะได้ซื้อเครื่องเขียนชั้นดีให้อี้เซวียนด้วย”
ทั้งสองพยักหน้า
เมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปที่ห้องพักข้างๆ วางสัมภาระของตัวเองลง ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยล้ามาก จึงเปิดหน้าต่างมองออกไปด้านนอก ตัวอำเภอมีความวุ่นวายพลุกพล่าน คนที่เดินไปมาตามท้องถนนก็ค่อนข้างมาก มองได้ครู่หนึ่ง ก็เริ่มง่วง จึงปิดหน้าต่าง กลับมานอนบนเตียง หลับตาพริ้มไม่นานก็เข้าสู่ห้วงนินทา
หลังจากตื่นขึ้นมา มองดูท้องฟ้า เป็นเวลาเที่ยงแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวลุกขึ้น ล้างหน้าล้างตา ออกไปเคาะห้องข้างๆ “พี่ใหญ่ อี้เซวียน พวกท่านตื่นหรือยัง?”
เมิ่งเสียนเปิดประตู แย้มยิ้มพูด “พวกเราหลับไปครู่หนึ่งก็ตื่น เห็นห้องเจ้าไม่มีความเคลื่อนไหว จึงไม่ได้ไปเรียกเจ้า”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแก้เก้อ “คงเพราะเมื่อคืนวานดีใจมากเกินไป ไม่ได้นอนเต็มอิ่ม เมื่อครู่เอนตัวนอนเล่นบนเตียง กลับหลับสนิทไปได้”
เมิ่งเสียนพูด “ช่วงเวลานี้เหน็ดเหนื่อยมาก อย่างไรวันนี้พวกเราก็ไม่มีเรื่องเร่งด่วนอะไร เจ้าเลยได้พักผ่อนไปด้วย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “อือ ข้าพักผ่อนพอแล้ว ตอนนี้พวกเราไปกินข้าวเถอะ”
เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนพยักหน้า ปิดประตูห้อง เดินลงไปชั้นล่างพร้อมเมิ่งเชี่ยนโยว
เสี่ยวเอ้อเห็นพวกเขาลงมา พูดอย่างกระตือรือร้น “แม่นาง พวกท่านจะออกไปข้างนอกหรือ?”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามขึ้น “เสี่ยวเอ้อ แถวโรงเตี๊ยมของพวกท่าน มีภัตตาคารหรูบ้างหรือไม่ พวกเราจะไปหาอะไรกินสักหน่อย”
“มี ออกไปเลี้ยวซ้าย เดินตรงไปไม่ไกลจะมีภัตตาคารหนึ่ง อาหารรสชาติใช้ได้ ลูกค้าไม่น้อยของที่นี่ต่างไปกินข้าวที่นั่น” เสี่ยวเอ้อตอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวกล่าวขอบคุณ “ขอบใจเสี่ยวเอ้อ”
เสี่ยวเอ้อโบกมือพูดว่าไม่ต้อง
ทั้งสามก้าวออกจากประตู เดินมาถึงหน้าภัตตาคารตามทางที่เสี่ยวเอ้อบอก เสี่ยวเอ้อต้อนรับลูกค้าเห็นพวกเขา กล่าวทักทายด้วยมิตรไมตรี “เชิญพวกท่านด้านใน เป็นห้องโถงใหญ่หรือห้องรับรองขอรับ?”
“ห้องรับรอง” เมิ่งเชี่ยนโยวตอบ
เสี่ยวเอ้อเพียงเอ่ยถามด้วยความเคยชิน ไม่คิดว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะต้องการห้องรับรอง นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ มองทั้งสามคนอย่างถี่ถ้วน เห็นพวกเขาแต่งกายไม่เหมือนเป็นลูกเศรษฐีมีเงิน พูดเตือนด้วยความหวังดี “ภัตตาคารของเรามีกฎระเบียบ ลูกค้าที่ใช้ห้องรับรองจะต้องใช้จ่ายไม่น้อยกว่าสิบตำลึง”
“รู้แล้ว หาห้องรับรองที่ดีที่สุดให้พวกเราด้วย ขอที่สงบเงียบหน่อย” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด
เสี่ยวเอ้อลังเลครู่หนึ่ง แต่ก็พาพวกเขาไปยังห้องรับรอง รินน้ำชาให้พวกเขาคนละถ้วย ถามพวกเขาว่าจะสั่งอาหารอะไร
เมิ่งเชี่ยนโยวพูด “ขออาหารแนะนำของร้านพวกเจ้ามาสองอย่าง แล้วขอเป็นอาหารรสจืดอีกสองอย่าง กับข้าวสวยสามถ้วย”
ทุกครั้งนางจะเป็นคนตัดสินใจ เสี่ยวเอ้อเห็นแบบนั้นมองนางด้วยความประหลาดใจ ออกไปร้องสั่งอาหารอย่างนอบน้อม
แม้จะเป็นตอนเที่ยงที่ลูกค้ามากันมาก อาหารกลับขึ้นโต๊ะไว รอไม่นาน เสี่ยวเอ้อก็ยกอาหารเข้ามา วางเรียงทีละจานจนเต็มโต๊ะ พูดกับพวกเขาว่า “อาหารมาครบแล้ว เชิญพวกท่านตามสบาย”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า
เสี่ยวเอ้อออกไปอย่างนบนอบ
เมิ่งเชี่ยนโยวหยิบตะเกียบขึ้น คีบอาหารเข้าปาก เคี้ยวสองสามครั้ง พยักหน้าพึงพอใจ “พี่ใหญ่ อี้เซวียน อาหารภัตตาคารนี้ไม่เลวเลย กินเถอะ”
เมิ่งเสียนและเมิ่งอี้เซวียนก็หิวเช่นกัน หยิบตะเกียบคีบอาหารใส่ถ้วย พุ้ยใส่ปากคำใหญ่
ทั้งสามเอาแต่กินข้าว ไม่มีใครพูดกับใคร ในห้องรับรองมีเพียงเสียงตะเกียบกระทบกับถ้วยข้าว
กินไปได้ครู่หนึ่ง เริ่มรู้สึกไม่หิวมากแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวกำลังจะเอ่ยปากพูด ด้านนอกกลับมีเสียงอึกทึกหนึ่งดังลอยมา รู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้วมุ่น เสียงเข้มดังของชายคนหนึ่งดังลอยเข้ามา “ไม่ดูสารรูปตัวเองเสียบ้าง กล้าเพ้อฝันอาจเอื้อมน้องสาวข้า จะบอกให้นะ ครั้งหน้าถ้าข้าเห็นว่าเจ้าแอบตามพวกเรามาอีก ข้าจะให้คนหักขาของเจ้าทิ้ง”
เสียงดูแคลนของหญิงสาวนางหนึ่งดังขึ้น “พี่ใหญ่ พวกเราไปเถอะ ด้วยสภาพยากจนแร้นแค้นอย่างเขา ให้มาถือรองเท้าข้ายังรังเกียจว่าเขาสกปรกเลย”
ชายผู้นั้นแค่นเสียงหึ พูดว่า “ได้ยินหรือยัง เจ้ารีบตัดใจแต่เนิ่นๆ ซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะไม่เกรงใจแล้ว”
เสียงคุ้นหูของชายคนหนึ่งแว่วดังเข้าหูทั้งสามคน “พี่ตู้ ก่อนปีใหม่พวกท่านหาได้พูดเช่นนี้ไม่ ท่านรับปากข้า รอให้ข้าสอบซิ่วไฉได้จะให้ข้าไปสู่ขอบ้านพวกท่าน”
ได้ยินเสียงนี้ เมิ่งเสียนไม่ทันได้วางถ้วยตะเกียบในมือ ผุดลุกขึ้นพรวด พูดตะกุกตะกัก “น้องสาว นี่ๆๆ”
เมิ่งเชี่ยนโยวก็ฟังออกว่าเป็นเสียงเมิ่งเหริน ขมวดคิ้วยู่ย่น
เมิ่งเสียนวางถ้วยตะเกียบในมือ พูดว่า “ข้าจะออกไปดู”
เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามเขา “ตอนนี้พวกเรายังไม่รู้เรื่องราว ท่านอย่าเพิ่งใจร้อน พวกเราฟังอีกหน่อยค่อยว่ากัน”
เมิ่งเสียนนั่งกลับไปบนเก้าอี้
เสียงผู้ชายด้านนอกยังดังลอยเข้ามา “คำพูดเจ้าช่างน่าขันนัก เจ้าให้ทุกคนดู ด้วยสารรูปบ้านนอกคอกนาอย่างเจ้า มีตรงไหนคู่ควรกับน้องสาวข้า เจ้าคงฟั่นเฟือนไปแล้วถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา”
เสียงเมิ่งเหรินเริ่มร้อนรน “พี่ตู้ ตอนนั้นท่านพูดเช่นนี้จริงๆ ท่านคิดจะกลับคำพูดหรือ?”
ชายหนุ่มถมถุยใส่เขา “อะไรคือกลับคำพูด ข้าไม่เคยกล่าวคำพวกนั้นเลยต่างหาก เจ้ามันคางคกคิดอยากจะกินเนื้อห่านฟ้าจนสติฟั่นเฟือนไปแล้ว”
เสียงไม่พอใจของหญิงสาวก็ดังแว่วตามมา “เจ้าช่างไม่มีความละอายเสียบ้าง พวกเราไม่เคยเจอหน้ากันมาก่อน เหตุใดต้องมาทำลายชื่อเสียงข้าเช่นนี้ จะบอกให้นะ ครอบครัวข้าเพิ่งจะเจรจาเรื่องหมั้นหมายให้ข้า หากต้องถูกเจ้าทำให้แยกจากกัน ข้าจะขอสู้ตายกับเจ้า”
น้ำเสียงเมิ่งเหรินทวีความร้อนรน “พวกเราจะไม่เคยเจอหน้ากันได้อย่างไร ก่อนปีใหม่ข้ายังซื้อปิ่นปักผมอันหนึ่งให้เจ้าอยู่เลย”
หญิงสาวถมถุย “เจ้าให้ทุกคนดูเถิด การแต่งเนื้อแต่งตัวของเจ้าแม้แต่คนรับใช้บ้านพวกเรายังสู้ไม่ได้ จะมีเงินมาซื้อปิ่นให้ข้าได้อย่างไร เสียแรงที่เกิดเป็นคน คนห้อมล้อมมากเช่นนี้ยังกล้าพูดโกหกได้อย่างหน้าไม่อาย ไม่กลัวจะขายหน้าตัวเองบ้าง”
น้ำเสียงกระวนกระวายของเมิ่งเหรินดังขึ้นอีกครั้ง “ทำไมเจ้าถึงไม่ยอมรับ ปิ่นนั่นข้าต้องใช้เงินค่าแรงครึ่งปีของน้องเล็กถึงเอามาซื้อให้เจ้าได้”
คนในภัตตาคารส่งเสียงอื้ออึง
เมิ่งเสียนทนต่อไปไม่ไหวแล้ว ลุกขึ้นยืนพูดว่า “ข้าจะออกไปดู”
พูดจบเปิดประตูห้องรับรองเดินออกไป